บทที่ 215 นับนิ้วคำนวณ!
ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังถลึงตาใส่หลู่เทียนเหล่ย พลันได้ยินเสียงซ่งจวินหว่านพูดถึงตัวเอง จึงรีบเงี่ยหูฟังทันที
ไม่เพียงเขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ นักพรตทุกคนของสำนักธาราโลหิตเวลานี้ก็เงียบกันหมด มองไปทางซ่งจวินหว่าน ชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนนี้โด่งดังเกินไปในสำนักธาราโลหิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่แย่งชิงปราณฟ้าไปจากซ่งเชวีย หรือเรื่องการเข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่งในหุบเหวกระบี่อุกกาบาตก็ล้วนมากพอที่จะทำให้ทุกคนให้ความสำคัญกับชื่อนี้
“ผู้อาวุโสซ่งมาไม่ถูกเวลา ศิษย์น้องป๋ายกำลังปิดด่าน” สวีเหม่ยเซียงกล่าวอย่างเสียดาย
“ได้ยินมานานแล้วว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ลึกลับเกินคาดเดา พรสวรรค์เลิศล้ำ น่าเสียดายที่ครั้งนี้ไม่ได้เจอกัน” ซ่งจวินหว่านหัวเราะ ส่ายหัวถอนหายใจ ใบหน้างดงามเมื่อบวกเข้ากับสีหน้าทอดถอนใจนี้ ทำให้ตลอดทั้งร่างของนางยิ่งแผ่เสน่ห์น่าตกตะลึงออกมา ต่อให้สวีเหม่ยเซียงจะมีรูปโฉมงดงามไม่ธรรมดา ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็ยังดูมืดมนลง
พอทุกคนของสำนักธาราโลหิตนึกถึงความน่ากลัวของซ่งจวินหว่านจึงรีบฝืนใจก้มหน้าลงต่ำ ทว่าทุกคนของสำนักธาราเทพกลับเห็นได้ชัดว่าไม่ทันได้เตรียมตัวตั้งรับ นักพรตหลายคนพอมองไปจึงมีสีหน้าเลื่อนลอยทันที ดวงตาของหลู่เทียนเหล่ยก็ยิ่งฉายประกายแปลกประหลาด
“ผู้อาวุโสซ่งงามหยาดเยิ้มมาตั้งแต่เกิด วันธรรมดาลูกศิษย์ของเขาจงเฟิงสำนักธาราโลหิตคงไม่มีสมาธิฝึกบำเพ็ญตบะกันเลยกระมัง” ดวงตาสวีเหม่ยเซียงฉายแววคมกริบ น้ำเสียงดังไปทั่วด้าน นั่นถึงทำให้ทุกคนฟื้นคืนสติกลับมา พลันใจหายวาบ
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกปลงยิ่งนัก ลำพองใจอยู่กับตัวเอง เขาอยากจะถอดหน้ากากออกเสียเดี๋ยวนี้ บอกกับซ่งจวินหว่านว่านางมารร้าย เก็บเอาเล่ห์เหลี่ยมของเจ้ากลับคืนไป นายท่านป๋ายของเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว
เขากวาดสายตามองหลู่เทียนเหล่ยที่บัดนี้คืนสติแล้วทว่าสีหน้ายังคงเหลือความเลื่อนลอย ในใจก็ให้ดูหมิ่น แอบพูดกับตัวเองหากไม่เป็นเพราะตนปราดเปรื่อง ทำให้ซ่งจวินหว่านเปลี่ยนอาภรณ์แต่งกายได้ มิฉะนั้น หากซ่งจวินหว่านยังสวมชุดร้อนแรงอย่างก่อนหน้านี้ เกรงว่าเจ้าหลู่เทียนเหล่ยนี่คงถึงขั้นกระอักเลือด
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังรู้สึกปลงอนิจจัง ซ่งจวินหว่านเอามือปิดปากหัวเราะราวกับไม่รับรู้ถึงการเสียดสีในคำพูดของสวีเหม่ยเซียง มองไปที่ชายฝั่งทิศใต้ของสำนักธาราเทพ พูดเสนอขึ้นมา
“ได้ยินว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ถือกำเนิดขึ้นที่เขาเซียงอวิ๋น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ทราบว่าผู้นำสวีสามารถพาพวกเราไปเยี่ยมชมที่เขาเซียงอวิ๋นหน่อยได้หรือไม่?”
ครั้งนี้สวีเหม่ยเซียงไม่ได้ปฏิเสธ ภารกิจของนางครั้งนี้ก็คือพาคนของสำนักธาราโลหิตไปเยี่ยมชมสำนักธาราเทพ เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้า เดินไปทางเขาเซียงอวิ๋น
เพิ่งเข้ามาใกล้เขาเซียงอวิ๋นก็มีรุ้งยาวเส้นหนึ่งบินออกมา ประสานมือคารวะทุกคน ผู้ที่บินออกมาคือผู้หญิงคนหนึ่ง สวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้า สวยงามแบบเรียบๆ ราวเซียนสาว นางก็คือ…โจวซินฉี
เมื่อนางปรากฏตัว คนไม่น้อยของสำนักธาราโลหิตก็จำได้ทันที แต่ละคนมีสีหน้าแน่วนิ่งระวังตัวมากขึ้น
“คารวะผู้นำสวี” โจวซินฉีเอ่ยเสียงเรียบ สายตากวาดมองทุกคนของสำนักธาราโลหิต
“ซินฉี ท่านนี้คือผู้อาวุโสใหญ่เขาจงเฟิงแห่งสำนักธาราโลหิต ซ่งจวินหว่าน เขาเซียงอวิ๋นแห่งนี้ให้เจ้าเป็นคนพาแนะนำก็แล้วกัน” ขณะที่สวีเหม่ยเซียงเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ โจวซินฉีพยักหน้า พาทุกคนเดินขึ้นไปบนเขาเซียงอวิ๋น
เริ่มตั้งแต่ตีนเขา เส้นทางที่พาเดินไปคือเส้นทางที่สำนักธาราเทพกำหนดมาไว้นานแล้ว ตลอดทางที่คนสำนักธาราโลหิตมองเห็นก็ล้วนเป็นสิ่งที่สำนักธาราเทพจงใจให้พวกเขาเห็น
หรือแม้แต่ลูกศิษย์รอบด้านก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในกลุ่มคน มองต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นของเขาเซียงอวิ๋น มองแผ่นหลังของโจวซินฉีก็ถอนสะอื้นอยู่ในใจ
“ชื่อเสียงของข้าป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งใหญ่เกินไป ไม่ว่าใครก็รู้จัก ซ่งจวินหว่านผู้นี้เดินทางมาไกลแสนไกลก็เพื่อได้ยลโฉมหน้าข้าสักครั้ง เฮ้อ ต่อไปข้าต้องทำตัวสงบเสงี่ยมซะแล้ว ชื่อเสียงโด่งดังเกินไปก็น่าปวดหัวยิ่งนัก”
ขณะที่เขากำลังทอดถอนใจอยู่นั้น ซ่งจวินหว่านที่เดินชมไปได้ครึ่งหนึ่งก็ขมวดคิ้วน้อยๆ เอ่ยปากถามด้วยรอยยิ้ม
“ผู้นำสวี สหายนักพรตโจว ในเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนที่สร้างฐานรากวิถีฟ้าผู้นั้นถือกำเนิดขึ้นมาจากเขาเซียงอวิ๋น ไม่ทราบว่าจะช่วยพาพวกเราไปที่ถ้ำที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยพักหน่อยได้ไหม?”
เมื่อนางพูดอย่างนี้โจวซินฉีจึงขมวดคิ้ว มองไปทางสวีเหม่ยเซียง นัยย์ตาสวีเหม่ยเซียงเปล่งประกายน้อยๆ ยิ้มขึ้นมา มองสบสายตากับซ่งจวินหว่าน
“ได้ยินว่าเขาจงเฟิงของสำนักธาราโลหิตมีคนผู้หนึ่งถูกเรียกว่าเสินซ่วนจื่อ ถนัดในการพยากรณ์ฟ้าดิน มีชื่อเสียงไม่ธรรมดาในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน คาดว่าน่าจะเป็นสหายนักพรตท่านนี้ ถ้าอย่างนั้นลองคำนวณดูสิว่าถ้ำของศิษย์น้องป๋ายของข้าอยู่ที่ไหน” สวีเหม่ยเซียงพูดพลางมองเสินซ่วนจื่อไปด้วย
เสินซ่วนจื่อสีหน้าเย็นชา ไม่พูดอะไรสักคำ แต่ในใจกลับลำพองใจเป็นอย่างมาก
ซ่งจวินหว่านหรี่ตาทั้งคู่ลง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็มองไปยังเสินซ่วนจื่อแล้วพยักหน้า
เสินซ่วนจื่อกระแอมแห้งๆ หนึ่งครั้ง แอบบอกกับตัวเองว่าคราวนี้โอกาสของตัวเองมาถึงแล้ว จะต้องคว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ให้ได้ ให้ทุกคนได้เห็นความสามารถของตน
“แม้ว่าข้าจะไม่ถนัดประลองเวทคาถา แต่สำหรับเรื่องการพยากรณ์ฟ้าดินแล้ว ในบรรดาคนรุ่นเดียวกันตลอดทั้งสำนักธาราโลหิต กล้าพูดได้ว่าข้าคือที่หนึ่ง ไม่มีที่สอง!” เสินซ่วนจื่อกวาดตามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความดูแคลนหนึ่งครั้งถึงได้เดินออกมาสองสามก้าว ภายใต้การจับตามองของคนมากมายจากสำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิต เขาก็มือขวายกขึ้นแล้วทำมุทราทันที
เวลาเดียวกันนั้น ในดวงตาของเขาก็ยิ่งมีความคิดในการอนุมานลอยขึ้น ปากก็ท่องคาถาไปด้วย หลังจากที่ความเร็วในการทำมุทราเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของเขาก็คล้ายมีภาพต่างๆ ลอยวาบผ่านรวดเร็ว ทว่ากลับเหมือนมีหมอกปริศนาชั้นหนึ่งกั้นขวางเอาไว้ ทำให้เขามองเห็นได้ไม่ชัด
“มีค่ายกลอยู่จริงเสียด้วย!” เสินซ่วนจื่อหัวเราะเสียงเย็น ตอนที่เขาลงมือก็ได้เตรียมตัวตั้งรับไว้อยู่แล้ว เวลานี้จึงตบลงไปบนถุงเก็บของ กระดูกสีเทาชิ้นหนึ่งที่แฝงฝังไว้ด้วยพลังแห่งกาลเวลาก็ปรากฏออกมาอยู่กลางมือ เขาจับเอาไว้แล้วบีบลงไปอย่างแรง จากนั้นก็เริ่มอนุมาน
ไอสีเทาลอยขึ้นมาจากกระดูกชิ้นนี้ พริบตาเดียวก็ถูกเสินซ่วนจื่อดูดเอาไว้ พวกสวีเหม่ยเซียงที่อยู่ด้านข้างต่างก็จ้องมองนิ่ง
ทว่าไม่นานเสินซ่วนจื่อกลับเริ่มมีสีหน้าซีดขาว เหงื่อเย็นๆ ไหลมาตามหน้าผาก ไม่นานก็ต้องเบิกตากว้าง เขาพบว่าวิธีการที่ตัวเองเตรียมเอาไว้กลับใช้ไม่ได้ผล ต่อให้นี่คือกระดูกทำนายยุคดึกดำบรรพ์ ทว่ากลับไม่สามารถฝ่าค่ายกลนี้ไปได้ ค่ายกลตลอดทั้งในสำนักธาราเทพนี้น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง มันกลายมาเป็นคลื่นรบกวน ขัดขวางการทำนายและอนุมานทุกอย่าง
หากคำนวณต่อไปต้องถูกพลังตีกลับอย่างแน่นอน ถึงขนาดที่ว่าเวลาแค่ชั่วพริบตายังเผาผลาญจิตวิญญาณทั้งหมดของเขาจนร่างแห้งเหี่ยวไปทันที เขาไม่กล้าคำนวณต่อ ขณะที่กำลังจะยอมแพ้ ดวงตาก็พลันเปล่งแสงวาบ กวาดมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังมองด้วยความสนใจอยู่ไม่ไกล
จิตสังหารในใจพุ่งขึ้นสูง เสินซ่วนจื่อถอยหลังไปหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะซ่งจวินหว่านหนึ่งครั้ง
“ตอนที่เดินทางมาศิษย์น้องเย่จั้งเคยบอกว่าบนรู้ดวงดาว ล่างรู้น้ำพุใต้ธรณี แค่สะบัดปลายแขนเสื้อ ทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในรัศมีหมื่นลี้ก็กระจ่างอยู่กลางใจ ตอนนี้ให้ทำนายหาถ้ำที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยอยู่บนเขาเซียงอวิ๋น ข้าเสินซ่วนจื่อทำได้เพียงถอนหายใจที่สู้ไม่ได้ คำนวณไม่ออก ให้เขาเป็นคนคำนวณแล้วกัน คาดว่าด้วยวิชาอนุมานขั้นเซียนของศิษย์น้องเย่จั้ง ต้องสามารถคำนวณออกมาได้อย่างง่ายดายแน่นอน”
“ใช่ไหมล่ะ ศิษย์น้องเย่จั้ง” เสินซ่วนจื่อมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยดวงตาเย็นชา
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงไปทันที เมื่อครู่เขากำลังมองดูเรื่องสนุก นึกไม่ถึงว่าเจ้าเสินซ่วนจื่อไร้ยางอายผู้นี้ ตัวเองคำนวณไม่ได้ กลับยังลากตนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แถมเมื่อครู่เสินซ่วนจื่อทั้งหน้าซีด ทั้งเหงื่อแตก เห็นได้ชัดว่าการอนุมานนี้ไม่เพียงแต่ยากลำบาก ทั้งยังอันตรายมากด้วย
พวกสวีเหม่ยเซียงสีหน้ากระตุกน้อยๆ หันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพร้อมเพรียง โจวซินฉีเองก็กวาดสายตาเย็นชามองมาเช่นกัน จากนั้นสายตาของทุกคนจากสำนักธาราเทพ สำนักธาราโลหิตก็พากันหันมามอง
ซ่งจวินหว่านขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด เสินซ่วนจื่อหัวเราะเสียงเย็น พูดออกมาอีกครั้งว่า
“ศิษย์น้องเย่จั้ง ตอนที่เดินทางมาเจ้าก็บอกแล้วว่ารู้เรื่องทุกอย่างในรัศมีหมื่นลี้ ทำไม? ตอนนี้ไม่กล้าคำนวณแล้วรึ? หรือว่าเรื่องพวกนั้นที่เจ้าพูดกับข้าล้วนเป็นเรื่องที่เจ้าโม้ทั้งสิ้น? หากเจ้าสามารถคำนวณได้ ข้าเสินซ่วนจื่อขอยอมแพ้ นับแต่นี้ไปจะก้มหน้ารับใช้เจ้าเย่จั้ง!” คำพูดของเสินซ่วนจื่อทำให้รอบด้านเงียบสงัดทันที
คนสำนักธาราเทพสนุกสนานที่เห็นนักพรตของสำนักธาราโลหิตขัดแย้งกันเอง โดยเฉพาะเย่จั้งและเสินซ่วนจื่อที่ต่างก็มีชื่อเสียงทั้งคู่ คนทั้งสองไม่ถูกกัน สำหรับสำนักธาราเทพแล้วนี่ถือว่าเป็นเรื่องดี
ส่วนลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตเองก็ยินดีที่จะมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนปล่อยไก่ อีกทั้งเสินซ่วนจื่อพูดถึงขนาดนี้แล้ว พวกเขาย่อมไม่คิดพูดขัดแน่นอน
ซ่งจวินหว่านหรี่ตาทั้งคู่ลง การกระทำของเสินซ่วนจื่อทำให้นางเดือดดาล ยามนี้นัยน์ตาจึงมีประกายเย็นเยียบเปล่งวาบ
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นว่าทุกคนล้วนมองมายังตัวเอง เขากะพริบตาปริบๆ คิดว่าถ้ำของตน ตนจะไม่รู้ได้อย่างไร ในเมื่อทุกคนอยากรู้พาไปดูก็สิ้นเรื่อง ยังไงซะด้านในนั้นก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว อีกทั้งเขายังจำได้ว่าถ้ำนั่นพังทลายไปนานแล้วด้วย
ดังนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเชิดคางขึ้นอย่างลำพองใจ มองเสินซ่วนจื่อด้วยสายตาดูแคลน ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เดินออกไปสองสามก้าว หลังจากดึงดูดสายตาของทุกคนได้แล้ว เขาก็เอ่ยปากเนิบนาบ
“ช่างเถอะ เดิมทีข้าเย่จั้งคิดจะทำตัวสงบเสงี่ยม ไม่อยากจะเผยความสามารถที่แท้จริงของตัวเองออกมาที่นี่ เพราะข้ารู้ว่าหากข้าเผยความสามารถที่แท้จริงเมื่อไหร่ จะต้องทำให้เกิดความวุ่นวายที่ไม่จำเป็นตามมาแน่นอน”
“แต่ในเมื่อเจ้าเสินซ่วนจื่อถึงกับเอ่ยคำสัญญาเช่นนี้แล้ว ก็ได้ ข้าจะคำนวณให้เจ้าดู!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง นัยน์ตาเผยประกายแสงเฉียบคม เขาในเวลานี้มีพลังอำนาจระเบิดออกมาครั่นครืน
จากการระเบิดนั้น เส้นผมของเขาปลิวไสว ไม่ได้ทำมุทรา ไม่ได้ท่องคาถา แต่หลับตาทั้งคู่ลง ยกมือทั้งสองข้างขึ้น คล้ายว่ากำลังสื่อสารกับฟ้าดิน หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับโลกใบนี้
เมื่อเห็นภาพนี้เสินซ่วนจื่อก็หัวเราะเสียงเย็น รู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนแสร้งทำหลอกผีหลอกเจ้าตบตาคน
“ข้ามิอาจสัมผัสได้ถึงคลื่นใดๆ แม้แต่นิดเดียว ดูสิว่าเจ้าจะคำนวณอย่างไร!”
เวลาแต่ละชั่วลมหายใจผ่านไป ไม่นาน ผ่านไปประมาณยี่สิบชั่วลมหายใจ ขณะที่เสินซ่วนจื่อยิ่งหัวเราะเย็นชาเสียงดังมากขึ้น ขณะที่ทุกคนรอบด้านกำลังตกใจระคนสงสัย ทันใดนั้นดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเบิกโพลง นัยน์ตาฉายแววแปลกประหลาด ยกมือขวาขึ้นชี้ไปที่ไกลๆ
“ตามข้ามา!” ระหว่างที่พูดป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินนำหน้าออกไปก่อนหนึ่งก้าว ตรงดิ่งไปยังจุดที่เขาชี้ ทุกคนเดินตามไปข้างหลัง ไม่นานก็มาถึงพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเศษซากกองหินแห่งหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนชี้ไปที่นั่น
“ถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ตรงนี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากอย่างถือดี คำพูดคำจาเฉียบขาดไม่ลังเล ราวกับว่าไม่มีอะไรจะแน่ใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“ตลก ที่นี่คือซากปรักหักพังจะเป็นถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุนไปได้อย่างไร?” เสินซ่วนจื่อหัวเราะเสียดสี ทว่าขณะที่กำลังหัวเราะ อยู่ๆ กลับรู้สึกทะแม่งๆ พอมองไปยังคนของสำนักธาราเทพ เขาก็ต้องเบิกตากว้างทันใด
โจวซินฉีตาถลนอ้าปากค้าง สวีเหม่ยเซียงสำลักลมหายใจ จางต้าพั่งตัวสั่น และยังมีลูกศิษย์สำนักธาราเทพคนอื่นๆ ที่อยู่รอบด้าน แต่ละคนหายใจติดขัด พร้อมใจกันหันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาฉายแววเหลือเชื่อ ในประกายตานี้มีทั้งความสะท้านสะเทือน มีทั้งความตะลึงพรึงเพริด และมีทั้ง…ความรู้สึกที่ว่าเย่จั้งผู้นี้ลึกล้ำเกินคาดเดา!
โดยเฉพาะโจวซินฉีและสวีเหม่ยเซียง พวกนางรู้ว่ามีค่ายกลอยู่ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงระดับนี้ สามารถมองข้ามค่ายกลแล้วคำนวณออกมาได้โดยตรง
ทุกคนของสำนักธาราโลหิตพอเห็นสีหน้าเช่นนั้นของนักพรตสำนักธาราเทพก็เข้าใจได้ทันทีว่าเย่จั้งคำนวณถูกต้องแล้ว แต่ละคนใจเต้นกระหน่ำบ้าคลั่ง วิชาพยากรณ์ฟ้า แม้ว่าลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตหลายคนเคยเรียนมาก่อน แต่ก็มีความรู้แค่งูๆ ปลาๆ เท่านั้น น้อยคนนักที่จะตั้งใจศึกษาอย่างเสินซ่วนจื่อ ทว่าตอนนี้เย่จั้งกลับข่มทับเสินซ่วนจื่อเสียมิด ภาพนี้ทำให้จิตใจของทุกคนสะดุ้งสะเทือน
ซ่งจวินหว่านเองก็อึ้งไปเช่นกัน ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน ประกายสดใสในดวงตายิ่งเพิ่มมากขึ้น นางเองก็ไม่นึกเหมือนกันว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะคำนวณออกมาได้จริงๆ
เสินซ่วนจื่อตัวสั่นเยือก ยากที่จะเชื่อได้ มองเซ่อไปทันที
“เป็นไปไม่ได้ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร…”
——