บทที่ 220 ซากปราการโอสถศักดิ์สิทธิ์
ถือโอกาสที่ฟ้ามืด ป๋ายเสี่ยวฉุนลงจากเขาจงเฟิงไปที่ตีนเขาของมือยักษ์ มาถึงชายฝั่งแม่น้ำทงเทียนนอกสำนักธาราโลหิต ด้วยตัวตนของเขา การที่จะเอาน้ำของแม่น้ำทงเทียนมาบางส่วนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก หาเหตุผลตามใจชอบสักข้อหนึ่งก็สามารถผ่านด่านของนักพรตที่เฝ้าอยู่ตรงนี้ไปที่ริมฝั่งแม่น้ำทงเทียน เอาน้ำของแม่น้ำทงเทียนกลับมาสิบกว่าหยด
เมื่อเอาน้ำเหล่านี้มารวมกันจะได้ปริมาณหนึ่งถ้วยพอดี ป๋ายเสี่ยวฉุนเอากลับไปที่ถ้ำด้วยความระมัดระวัง ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็เริ่มทำการดูดซับ
หลายวันต่อมา เมื่อในที่สุดเขาก็สามารถดูดซับน้ำของแม่น้ำทงเทียนหนึ่งถ้วยนี้เข้าไปในรวมอยู่ในมหาสมุทรวิญญาณชั้นที่สี่ได้หมด เขาถึงได้ยุติการบำเพ็ญตบะ
“อันดับต่อไปก็คือค่อยๆ หลอมละลายน้ำของแม่น้ำทงเทียนเหล่านี้ หลังจากที่มันละลายได้ครบหมดแล้วก็จะเป็นช่วงเวลาที่ข้าเหยียบย่างเข้าสู่สร้างฐานรากช่วงท้าย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม เดินไปเดินมาอยู่ในลานที่พัก เอามือไพล่หลัง พูดอยู่กับตัวเองในใจด้วยความลำพอง
“ตอนนี้ข้าสร้างฐานรากช่วงกลางแล้ว ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว!”
“ในเมื่อข้าร้ายกาจขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นหากข้าจะกลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเหลือบมองไปยังพื้นที่นิ้วส่วนบนของยอดเขาจงเฟิง ความรู้สึกที่รู้ชัดเจนว่าวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญซ่อนอยู่ที่นั่น ทว่ากลับไม่สามารถเอามาครองได้ ทำให้เขากลุ้มใจอยู่เสมอ
ตอนนี้เขาล้มเลิกความคิดที่จะแอบเข้าไปขโมยวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญมาเรียบร้อยแล้ว เขารู้สึกว่าถ้ำสถิตของซ่งจวินหว่านมีการป้องกันแน่นหนาเกินไป ตัวเขาไม่มีความมั่นใจใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว
“ทำยังไงถึงจะได้เป็นผู้อาวุโสใหญ่นะ? ท้าทายซ่งจวินหว่าน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำปลายคาง
“ท้าทายยังถือเป็นเรื่องรอง เรื่องที่สำคัญที่สุดคือข้าต้องเอาชนะใจทุกคนให้ได้ ให้ฝ่ายสูงของสำนักธาราโลหิตรู้ถึงความสำคัญของข้า รู้สึกว่าข้าเป็นลูกศิษย์ที่พวกเขาไม่สามารถขาดได้…นับวันก็ยิ่งให้ความสำคัญกับข้ามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ หากข้าไปท้าทายซ่งจวินหว่าน กลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่ก็ถือว่าถูกทำนองคลองธรรม” ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้า รู้สึกว่าตัวเองคิดถูกมาก ดังนั้นจึงเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
“ตอนนี้ข้าดำเนินการมาได้ครึ่งทางแล้ว คิดจะให้ทุกคนยิ่งให้ความสำคัญกับข้า ยังขาดขั้นตอนที่ทำให้ทุกคนสะท้านสะเทือน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีความยากเลยแม้แต่นิดเดียว เขามาอยู่ที่สำนักธาราโลหิตไม่ใช่ระยะเวลาสั้นๆ แล้ว สืบรู้ชัดเจนมานานแล้วว่าอาจารย์โอสถของสำนักธาราโลหิตนั้นมีน้อยมาก และฝ่ายสูงของสำนักก็ให้ความสำคัญกับอาจารย์โอสถอย่างถึงที่สุด แล้วก็เคยประกาศกลยุทธ์ออกมามากมาย พยายามให้ลูกศิษย์เดินบนเส้นทางของอาจารย์โอสถ
แต่เนื่องจากปัญหาด้านระบบที่เป็นอยู่ สุดท้ายจึงไม่ได้ผลที่ดีนัก เพราะยังไงซะในสายเลือดของสำนักธาราโลหิตก็คือสำนักมาร ในสายตาของลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตแล้ว การหลอมยาสิ้นเปลืองเวลา สู้เรียนรู้วิชาเพิ่มความสามารถในการรบ ต้องการยาเมื่อใดก็ไปแย่งเอามาจากสำนักธาราโอสถ หากต้องการอาวุธวิเศษก็ไปแย่งมาจากสำนักธาราทมิฬ หากต้องการสัตว์วิเศษก็ไปแย่งมาจากสำนักธาราเทพ แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง
ดังนั้นจึงมีคนน้อยมากที่ตั้งใจศึกษาด้านการหลอมยา มีเพียงลูกศิษย์จำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ ยกตัวอย่างเช่นเย่จั้งตัวปลอม ทว่าปริมาณเช่นนี้ สำหรับสำนักธาราโลหิตที่ยิ่งใหญ่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นเพียงแค่น้ำน้อยถ้วยเดียวที่ดับไฟรถทั้งคันไม่ได้
“ไม่ได้หลอมยามานานมากแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็หัวเราะหึหึ เสียงหัวเราะนี้ดังออกไปท่ามกลางค่ำคืนมืดมิด ลอยเข้าไปในหูของต้นไม้โลหิตรอบด้าน ต้นไม้โลหิตพวกนั้นยิ่งตัวสั่นเข้าไปใหญ่ รู้สึกว่าเสียงหัวเราะของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว
“แต่ก่อนจะหลอมยายังมีอีกปัญหาหนึ่งที่ต้องแก้ไข แม้ว่าก่อนหน้านี้ข้าจะเผยความรู้ด้านการหลอมยาบางส่วนออกมาหลายครั้ง ทว่าหากอยู่ๆ ก็เก่งกาจขึ้นมา ต้องทำให้คนไม่น้อยสงสัยแน่นอน ดังนั้นจำเป็นต้องหาโอกาสครั้งหนึ่ง…” ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนหรี่ลง
“สำนักธาราโลหิตมีซากปราการโอสถศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งอยู่ ว่ากันว่าแย่งมาจากสำนักธาราโอสถเมื่อหมื่นปีก่อน…เมื่ออยู่หน้ากำแพงสามารถทำให้คนบรรลุถึงวิธีการของวิถีโอสถ…”
“หึหึ ข้าแกล้งไปทำความเข้าใจสักรอบหนึ่ง จากนั้นค่อยเริ่มหลอมยา แค่นี้ก็ไม่มีใครสงสัยข้าแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะด้วยความลำพองใจ เรื่องนี้อยู่ในแผนการของเขามาตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อครุ่นคิดว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สุกงอมพอดี ดังนั้นจึงไม่ลังเลอีก เช้าตรู่วันที่สองเขาก็ออกจากถ้ำ ลงจากเขาจงเฟิงตรงดิ่งไปยังที่ตั้งของซากปราการโอสถศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่ในอาณาบริเวณของลูกศิษย์ฝ่ายใน
ไม่นานนักเขาก็มาถึงที่ตั้งของซากปราการโอสถศักดิ์สิทธิ์ มองศิลาหินขนาดยักษ์สูงประมาณคนสามคน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขามาที่นี่ ครั้งแรกตอนที่เดินผ่านก็ได้เจอกับเซวี่ยเหมยที่นี่ ถูกเซวี่ยเหมยกวาดสายตาสูงส่งราวกับมองมดไร้ค่าใส่ครั้งหนึ่ง
ตอนนี้มาเป็นครั้งที่สอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองเห็นแต่ไกลว่าเบื้องใต้ป้ายศิลามีลูกศิษย์ฝ่ายในหลายคนกำลังทำท่าขบคิดอย่างหนัก สายตามองนิ่งไปที่ป้ายศิลา
การปรากฏตัวของเขาทำให้ลูกศิษย์ฝ่ายในที่อยู่รอบด้านพากันหน้าเปลี่ยนสีทันที รีบลุกขึ้นประสานมือคารวะ ไม่กล้าเข้าใกล้ รีบจากไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินไปใต้ป้ายศิลาแห่งนี้ พอมองออกไปรอบด้านจึงไม่มีเงาของคนอยู่แม้แต่คนเดียว
ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคาง ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง สำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้เขาเคยชินเสียแล้วจึงนั่งขัดสมาธิลงด้านหน้ากำแพงโอสถ เงยหน้ามองซากกำแพงที่อยู่เบื้องหน้า นึกถึงเรื่องที่เย่จั้งตัวปลอมเคยพูดกับตนว่าเมื่อแปดพันกว่าปีก่อน สำนักธาราโลหิตเองก็เคยเกิดอัจฉริยะทางด้านโอสถคนหนึ่ง ซึ่งหลังจากที่เขาบรรลุจากซากกำแพงแห่งนี้ ขอบเขตมาตรฐานการหลอมยาของเขาก็ยิ่งเพิ่มสูงมากขึ้น
“ถ้าอย่างนั้น ตอนนั้นที่นังหนูเซวี่ยเหม่ยนั่นมานั่งที่นี่ก็เพราะพยายามทำความเข้าใจกับมันเหมือนกันน่ะหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกดูแคลน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เชื่อว่าวิธีการหลอมยา แม้จะต้องมีความเข้าใจอยู่ด้วย แต่ไม่ใช่ว่าแค่วันเดียวก็สามารถตระหนักรู้ได้ จำเป็นต้องใช้การสะสมและทดลองอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ คลำหาทางไปทีละนิด สุดท้ายถึงจะประสบความสำเร็จ
ส่วนการทำความเข้าใจกับกำแพงโอสถแห่งนี้ ในสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ต่อให้มันจะมีประโยชน์บางส่วนจริง แต่จะให้ลูกศิษย์คนหนึ่งที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างมานั่งจ้อง ก็ไม่มีประโยชน์อันใดสักนิด
“ข้าแค่แสร้งทำท่าทางให้คนอื่นรู้สึกว่าข้าบรรลุได้ผลพวงครั้งใหญ่ แค่นี้ก็น่าจะได้แล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมหนึ่งครั้ง เงยหน้ามองกำแพงโอสถที่อยู่ด้านหน้า แต่สิ่งที่ในสมองคิดกลับเป็นภาพที่ตนตอนเคยประจักษ์แจ้งหน้ารูปสลักสัตว์ยักษ์เมื่อครั้งอยู่สำนักธาราเทพ
“ต้องเลียนแบบท่าทางให้ดีสักหน่อย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจได้แล้วก็แสร้งทำท่าขึ้นมา เบิกตากว้างมองไปยังกำแพงโอสถ สายตาจ้องนิ่งไม่ละไปไหน ความมหัศจรรย์ของป้ายศิลาแห่งนี้ ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไป เขาก็ค้นพบทันทีว่าสภาพจิตใจของเขาเสียหายไปอย่างรวดเร็ว แม้จะสงสัยแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้หยุด ปล่อยให้สภาพจิตใจถูกเผาผลาญต่อไป
และก็เป็นเช่นนี้ สามวันผ่านไป ขณะที่ลูกศิษย์ฝ่ายในมากมายเดินผ่านกำแพงโอสถก็ล้วนเห็นเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน มองเห็นว่าในดวงตาเขาของมีเส้นเลือดฝอยปรากฏ มองเห็นเขาโบกไม้โบกมือราวกับสติเลื่อนลอย ทุกคนต่างเกิดความสงสัยขึ้นมาทันควัน
“ผู้อาวุโสเย่จั้ง นี่เขา…”
“หรือว่าเขาบรรลุแล้ว!!”
“สวรรค์ นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นคนประจักษ์แจ้งได้สำเร็จจริงๆ นี่ผู้อาวุโสเย่จั้งบรรลุแล้วจริงหรือ?” ลูกศิษย์ฝ่ายในเหล่านั้นพากันแตกตื่น ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปทันที ทำให้นักพรตสร้างฐานรากของสี่ยอดเขาใหญ่หลายคนได้ยินเรื่องนี้ บางส่วนถึงขนาดมาดูให้เห็นกับตาตัวเองด้วย
จนกระทั่งผ่านไปอีกเจ็ดวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนตาลายไปหมดแล้ว แต่เพื่อความสมจริง เขาจึงจ้องตาไม่กะพริบตลอดสิบวันสิบคืน ถึงกระทั่งที่ว่าบางครั้งจิตใจของเขายังเลื่อนลอยไปด้วย อันนี้เขาไม่ได้แกล้งทำ แต่จิตใจของเขาเลื่อนลอยจริงๆ
อาการเลื่อนลอยนี้ราวกับสูญเสียจิตวิญญาณ ใกล้เคียงกับการบรรลุ แต่คนนอกยากที่จะดูออกถึงความแตกต่าง…
จิตใจเสียหายอย่างหนัก แม้ว่าตบะของเขาเพิ่งจะฝ่าทะลุสร้างฐานรากช่วงกลาง แต่ก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับคืนมาพร้อมๆ กันได้ ไม่นาน อาการเลื่อนลอยยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งตัวเขาเองสัมผัสได้ว่าภายในหนึ่งวัน เขาเกิดอาการเลื่อนลอยเกินครึ่งวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดดูก็รู้สึกว่าน่าจะพอสมควรแล้ว…
ดังนั้นพอคิดจะยุติเขาจึงแสร้งทำท่าเหมือนได้รับผลพวงครั้งใหญ่ กำลังจะดึงสายตากลับแล้วลุกขึ้นยืน ทว่าตอนนี้เอง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันสั่นเยือก เขาเบิกตากว้าง จ้องเขม็งไปที่กำแพงโอสถเบื้องหน้า
เขาสูดลมหายใจอย่างแรง ดวงตาทั้งคู่หดตัวลง เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะตาฝาดหรือไม่ เมื่อครู่นี้ขณะที่เขากำลังจะดึงสายตากลับ เขามองเห็นรำไรว่าในกำแพงโอสถแห่งนี้ ปรากฏเงาร่างเลือนรางร่างหนึ่ง ร่างนี้คล้ายกำลังหลอมยา วิธีการที่ใช้แตกต่างไปจากวิถีโอสถที่เขาเคยร่ำเรียนมา
“หืม?” ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเยือกไปทั้งร่าง ค่อยๆ นั่งกลับลงไปอีกครั้ง จ้องเป๋งไปบนกำแพงโอสถ พลังของจิตใจในกายเขา ยามนี้ยิ่งเผาผลาญเร็วขึ้น วินาทีนี้จิตวิญญาณตลอดทั้งร่างคล้ายจะหายไปจากกาย หลอมรวมเข้าไปในกำแพงโอสถ มาปรากฏกายอยู่ข้างเงาร่างเลือนรางนั้น
จากการสังเกต ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค่อยๆ ค้นพบอย่างน่าตกตะลึงว่า สิ่งที่ตัวเองเห็นคือภาพของการหลอมยาครั้งหนึ่งจริงๆ แม้ไม่รู้ว่ายาที่หลอมนี้คือยาวิเศษอะไร ทว่าวิธีการหลอมยาของอาจารย์โอสถกลับเป็นสิ่งที่เขาคาดคิดไม่ถึง
เขาแทบจะไม่มีตำรับยาที่แน่นอน แต่เลือกหยิบเอาพืชหญ้าสองชนิดออกมาตามใจชอบ ยืมใช้การเปลี่ยนแปลงของการส่งผลกระทบต่อกัน ไม่ได้ขับไล่สิ่งเจือปน แต่ปล่อยให้การเปลี่ยนแปลงบรรลุถึงขีดสุดแล้วกลายมาเป็นสรรพคุณทางยารูปแบบใหม่ ขณะที่สังเกตสรรพคุณทางยาที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้ เขาจะเพิ่มพืชหญ้าอื่นๆ เข้าไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
วิธีการทั้งหมดนี้ลื่นไหลเป็นธรรมชาติ ทำให้สรรพคุณของยาที่อยู่ในเตาหลอมบางครั้งก็บ้าคลั่ง บางครั้งก็อ่อนโยน บางครั้งเดือดพล่าน บางครั้งเงียบสงัด แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของอาจารย์โอสถทั้งสิ้น ราวกับว่าไม่ว่าสรรพคุณยานี้จะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน อาจารย์โอสถผู้นั้นก็ยังควบคุมได้
ฝีมือชำนาญ ควบคุมได้ดังใจ!
เมื่อเปรียบเทียบกับวิถีโอสถที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเรียนมาจากสำนักธาราเทพ ยิ่งทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับความรู้ทางวิถีโอสถที่อาจารย์โอสถผู้นี้แสดงออกมาในป้ายศิลา
ราวกับว่าวิถีโอสถของสำนักธาราเทพนั้นเป็นเพียงแค่ขั้นต้น ส่วนที่อาจารย์โอสถเบื้องหน้านี้ทำได้คือขอบเขตที่สูงยิ่งกว่า
“นี่ไม่ใช่การหลอมยา…แต่นี่เป็น…การหลอมพืชหญ้า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมการหมุนเวียนของเวลา จนกระทั่งหลังจากเขามองเห็นเงามายาในกำแพงโอสถเบื้องหน้าหลอมยาเสร็จสิ้น วินาทีที่เปิดเตาหลอมออก สิ่งที่ปรากฏอยู่ในมือของเขาก็คือยาเม็ดหนึ่งซึ่งเป็นสีเขียวเช่นเดียวกับพืชหญ้า สมองป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเกิดเสียงดังอึงอล เริ่มประจักษ์แจ้งได้รำไร
“ก่อนที่จะหลอมยา หลอมพืชหหญ้าก่อน อิงตามสรรพคุณของยาที่ตัวเองต้องการ จากนั้นค่อยไปหาพืชหญ้าที่มีมากมายนับไม่ถ้วน หากหาไม่เจอ…ก็หลอมมันออกมาเอง!”
“มีจินตนาการกว้างไกลมากเท่าไหร่ วิถีโอสถก็ไปได้ไกลมากเท่านั้น…นี่ก็คือวิธีการใช้ยาพืชหญ้ามาหลอมเป็นยา!” จิตใจของป๋ายเสี่ยวฉุนราวถูกสายฟ้าฟาดผ่า เสียงกัมปนาทดังก้องไปแปดทิศ ร่างของเขาสั่นเทา ลมหายใจถี่กระชั้น เต็มไปด้วยความสนใจอันดุเดือดต่อกำแพงโอสถแห่งนี้ จมจ่อมไปกับมันอีกครั้ง
เวลาเดียวกันนั้น ยามนี้บนซากปราการโอสถศักดิ์สิทธิ์มีประกายแสงสีเขียวส่องออกมา แสงนี้เริ่มสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็กลายเป็นจ้าบาดตา สุดท้ายกลายร่างออกมาเป็นลำแสงสีเขียวลำหนึ่งพุ่งทะลุสู่ฟากฟ้า เขย่าคลอนไปทั้งสำนักธาราโลหิต!
——