Skip to content

Swallowed Star 1445

ตอนที่ 1445 : ลาดตระเวน

หลัวเฟิง สับสนตอนที่เขาเดินออกมาจากจักรวาลย่อยของตัวเอง

มันมีพลังแผ่ออกมาทั่วทุกที่และมันก็มีหลายคนมารวมตัวกันที่ด้านนอกจักรวาลย่อย บางคลื่นแข็งแกร่ง บางอันอ่อนแอ มันต้องมีเทพแท้จริงอยู่ด้วยพร้อมกับ เจ้าแห่งจักรวาล อยู่ภายในนอก!

คลื่นเหล่านี้เพียงลำพังก็บอกพวกที่มาจากจักรวาลยุคแรกและยุคสองให้พวกนี้จึงไม่กล้าเข้ามาและรบกวน หลัวเฟิง

หลัวเฟิง มองเห็นไกลออกไปและพบกับหลงหยาง

“ทำไมถึงได้มีคนมากมายจากทุกเผ่าในจักรวาลหลักมารวมตัวกันด้านนอกจักรวาลย่อยของข้า?” หลัวเฟิง สับสนและจากนั้นเขาก็แผ่คลื่นของตัวเองออกไป

อยู่ๆ คลื่นที่แข็งแกร่งที่สุดในพื้นที่นั้นก็ปะทุออกมา คลื่นนั้นเป็นคลื่นพลังที่ทุกคนคุ้นกันดี มันคือพลังของ หลัวเฟิง

“ทางช้างเผือก”

“มันคือคลื่นของ ทางช้างเผือก”

อยู่ๆ ก็มีคนเทเลพอร์ทมาหา หลัวเฟิง กันทีละคนๆ พวกเขามองมาที่แหล่งกำเนิดคลื่น มันคือมนุษย์ในชุดขาว

“ทางช้างเผือก”

“ยินดีด้วยกับการที่ขึ้นเป็นเทพแท้จริง”

“ยินดีด้วย”

“ทางช้างเผือก”

ทุกเสียงดังก้องขึ้นมาในหู หลัวเฟิง บางเสียงเป็นของคนจากเผ่าอื่นที่มายินดีให้กับเขา และบางอันเป็นของมนุษย์ หลัวเฟิง บังคับคลื่นตัวเอง หลังจากที่ทำแบบนั้นเขาก็รู้สึกว่าเขาเป็นมนุษย์ธรรมดา

“หือ?” หลัวเฟิง สับสนเล็กน้อย “ควบคุมพลัง?”

ตอนที่ดึงคลื่นกลับมา หลัวเฟิง พบว่าเขาสามารถบังคับแรงของเขาได้ เขาถึงกับดึงคลื่นกลับมาได้หมด ดังนั้นจึงไม่มีใครหาตัวเขาเจอได้ โดยทั่วไปแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่จะดึงพลังชีวิตกลับมาเพราะมันถูกใช้ไว้จำแนกรายคน แต่เขาพบว่าเขาสามารถทำแบบนั้นได้

ดูเหมือนว่าร่างกายข้าจะมีความสามารถเพิ่มขึ้น หลัวเฟิง คิด ถูกต้องแล้ว มันคือขั้น 3 ของเส้นทางพลังอมตะ ที่ 30,000 เท่า ร่างอมตะจะสูงกว่าเดิม 10 เท่า ที่ 60,000 เท่า ร่างอมตะจะสูงกว่าเดิม 1,000 เท่า ถ้าใครไปถึง 90,000 เท่าได้ เขาก็สามารถเปลี่ยนร่างอมตะได้ทุกขนาดที่ต้องการ สำหรับข้าร่างอมตะนี้มากถึง 100,000 เท่า ดังนั้นมันจึงไม่มีใครรู้ถึงพลังนี้ ข้าต้องศึกษามันให้ดีในภายหลัง

เขาสรุปได้ว่าเนื่องจากเผ่านับพันล้านได้มายินดีให้กับเขาตอนที่เขาขึ้นเป็นเทพแท้จริงที่ระดับยีน 100,000 เท่า ร่างอมตะของเขาก็จะซับซ้อนกว่าที่เขาคิด แต่เขาต้องหันไปสนใจเรื่องการกำเนิดจักรวาลย่อย, โครงสร้างจักรวาลย่อยและการพัฒนาของความปั่นป่วน ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาในการศึกษาร่างกายตัวเอง

****

คนเริ่มมารวมตัวกันมากกว่าเดิมด้านนอกจักรวาลย่อยของเขาและมันก็มีเทพแท้จริงมากกว่าสิบคนกับ เจ้าแห่งจักรวาล เป็นร้อยๆ คน ส่วนมากแล้วมาจากจักรวาลหลัก เจ้าแห่งจักรวาล บางคนถูกเผ่าดวงตาศักดิ์สิทธิ์ส่งมาช่วย

“อาจารย์” ชายหนุ่มผมแดงบินเข้ามาหา หลัวเฟิง มันคือ โดมไฟ ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของ หลัวเฟิง

“โดมไฟ” หลัวเฟิง พยักหน้า

มีอีกสองคนบินเข้ามาหาเขา มันคือ หลงหยาง กับ ทองสูญ

“หลงหยาง และ ทองสูญ” หลัวเฟิง ยิ้ม “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงได้มีคนมากมายจากทุกเผ่ามารวมตัวกันด้านนอกจักรวาลย่อยของข้า? ข้าคิดว่าพวกเจ้าจะรวมตัวกันไปจัดการกับ อสูรทลายมิติ ซะอีก”

หลงหยาง ผ่อนคลายขึ้นมา “ฮ่า ฮ่า! เรามาที่นี่ก็เพราะ อสูรทลายมิติ”

“อสูรทลายมิติ?” หลัวเฟิง ดูกังวล “มันปรากฏตัวขึ้นมาอีกแล้วรึ?”

“ไม่นานมานี้” ทองสูญ พูดขึ้น “อสูรทลายมิติ ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง…พวกที่มาจากยุคแรกและยุคสองต่างก็กังวลกันอย่างมาก เรากลัวว่าพวกเขาจะมารบกวนเจ้าด้วยการโจมตีจักรวาลย่อยของเจ้า ดังนั้นเราจึงทำการล้อมที่นี่เอาไว้เพื่อไม่ให้เผ่าอื่นมารบกวนเจ้า”

หลัวเฟิง ฟังพร้อมกับพยักหน้า เขาเพ่งสมาธิไปกับการสร้างโครงสร้างจักรวาลย่อยและทำความเข้าใจการพัฒนาความปั่นป่วนดังนั้นจึงไม่มีใครเข้าพบเขาได้ ถ้ามีคนโจมตีจักรวาลย่อยของเขา มันก็จะส่งผลเสียต่อเขาในระดับหนึ่ง

“มี อสูรทลายมิติ กี่ตัว?” – หลัวเฟิง ถาม นี่คือเรื่องที่เขาสนใจที่สุด

“ไม่เป็นไรมาก มันมีแค่ตัวเดียว” ทองสูญ พูดขึ้น

หลงหยาง พูดต่อ “กลับไปกันก่อน ทางช้างเผือก”

“ได้” หลัวเฟิง พยักหน้า เขามองไปรอบๆ และพบคนจำนวนมากจากทุกเผ่ามารวมตัวกัน เขาจึงได้พูดขึ้น “ขอบคุณสำหรับการปกป้องจักรวาลย่อยของข้า ข้ารู้เรื่องอสูรทลายมิติแล้ว และข้าจะทำทุกอย่างที่ข้าช่วยได้”

“มันเป็นหน้าที่ของเรา” คนจากทุกเผ่าตอบกลับ

“เราไม่อาจจะกำจัด อสูรทลายมิติ ได้แต่การปกป้องเจ้าถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เราไม่อาจให้คนจากยุคอื่นมารบกวนเจ้าจากการทำความเข้าใจการพัฒนาของความปั่นป่วนได้”

“ถ้าใครกล้ารบกวนเจ้า เขาจะเป็นศัตรูกับเราทั้งหมด”

หลัวเฟิง แสดงความขอบคุณ จากนั้นเขาก็กลับไปที่จักรวาลหลักด้วยกันกับ หลงหยาง, ทองสูญ และ โดมไฟ

****

หลัวเฟิง เชื่อมต่อกับจักรวาลเสมือนได้อย่างง่ายดายหลังจากที่กลับไปยังจักรวาลหลัก เผ่ามนุษย์เตรียมงานฉลองเพื่อยินดีที่เขาเป็นเทพแท้จริง…แต่มันมี อสูรทลายมิติ ที่ทำให้ทุกเผ่าตกอยู่ในอันตราย พวกเขาจึงจัดงานที่เรียบง่ายขึ้นมาแทน

ด้านในวังเทพแท้จริง มีทาสหลายคนเดินไปมารอบๆ พร้อมกับถาดในมือและเทพแท้จริงก็นั่งอยู่ที่บัลลังก์ของตน ด้านล่างนั้นมี เจ้าแห่งจักรวาล หลายคนมารรวมตัวกัน ซึ่งมี เจ้าแห่งจักรวาล กว่า 2,000 คนซึ่งแสดงให้เห็นว่าจักรวาลหลักนั้นแข็งแกร่งเพียงใด ซึ่งถึงกับมีคนจากเผ่าแมลงและปีศาจที่มายินดีกับ หลัวเฟิง ด้วย

ไม่ได้มีความแค้นเคืองหนักหนาอะไรระหว่างเผ่า ในอดีตในบรรดาเผ่าที่แข็งแกร่งก็มีเรื่องปะทะกัน ดังนั้นจึงเกิดการดิ้นรน แต่มนุษย์ตอนนี้แข็งแกร่งจนเผ่าอื่นๆ อย่างปีศาจไม่คิดจะแย่งบัลลังก์

“ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่อง อสูรทลายมิติ รึ?” หลัวเฟิง ถาม ผู้นำเมืองแห่งความโกลาหลที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ไม่จำเป็น” ผู้นำเมืองแห่งความโกลาหล ตอบกลับ “อสูรทลายมิติ โผล่มา 9 ครั้ง และมันก็หายตัวไป…มันผ่านมาครึ่งเดือนแล้วตั้งแต่ที่มันโผล่มาและข้าเดาว่า อสูรทลายมิติ ได้กินจุดกำเนิดไปจำนวนมากและเริ่มเปลี่ยนเป็นพลังของตัวเอง”

หลัวเฟิง พยักหน้า ซึ่งฟังดูถูกต้อง ครั้งที่แล้ว อสูรทลายมิติ ได้ทำแบบเดียวกัน และมันต้องใช้เวลาที่นานกว่าจะเปลี่ยนเป็นพลังของตัวเองได้หลังจากที่กินจุดกำเนิด

“ข้าคิดว่ามันอาจจะใช้เวลานานในการเปลี่ยนพลัง อย่างน้อยก็หนึ่งปี” ผู้นำเมืองแห่งความโกลาหล พูดขึ้น “ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ…แต่พวกมันคือ อสูรทลายมิติ ยังไงซะการฉลองนี่ก็เรียบง่าย”

การที่มีคนกลายเป็นเทพแท้จริงได้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเผ่า ถ้าไม่ใช่เพราะอสูรทลายมิติ การฉลองปกติแล้วจะกินเวลาหนึ่งปี งานสำหรับ หลัวเฟิง นี้แค่วันเดียวเท่านั้น

“นอกจากนี้แล้ว อสูรทลายมิติ ตัวนี้ก็กินจุดกำเนิดช้ากว่าครั้งที่แล้ว” ผู้นำเมืองแห่งความโกลาหล พูดขึ้น “มันเร็วเพียงครึ่งหนึ่งของครั้งที่แล้ว”

“โอ้?” หลัวเฟิง พยักหน้า

ความเร็วที่ อสูรทลายมิติ กินจุดกำเนิดบ่งบอกว่ามันแข็งแกร่งเพียงใด มันหมายความว่า อสูรทลายมิติ ครั้งนี้อ่อนแอลงกว่าเดิม!

“แต่มันก็มีโอกาสที่ อสูรทลายมิติ จะเสแสร้งว่าอ่อนแอ” ผู้นำเมืองแห่งความโกลาหล พูดขึ้น “และมันก็มีโอกาสที่มันจะวางกับดักเจ้า เจ้าต้องระวังตัว”

“ข้าเข้าใจแล้ว” หลัวเฟิง พยักหน้า

****

หลังจากที่ฉลองแล้ว หลัวเฟิง ได้ออกจากจักรวาลหลักและเข้าไปในทะเลจักรวาลเพื่อเริ่มทำการลาดตระเวน

“มันนานแล้วตั้งแต่ที่ อสูรทลายมิติ ปรากฏตัวขึ้นมาครั้งที่แล้วและมันก็น่าจะดูดซับกับเปลี่ยนพลังที่มันกินมา”

เรือลำหนึ่งโผล่มาในมิติปั่นป่วนลอยอยู่กับที่ หลัวเฟิงอยู่ด้านในนั้น “มันอาจจะกินเวลานาน ข้าต้องสำรวจร่างกายตัวเองให้ดีๆ ก่อนที่ อสูรทลายมิติ จะปรากฏตัวขึ้นมาอีก”

หลัวเฟิง เริ่มทำการศึกษาร่างกายตัวเองดีๆ อีกครั้ง ตอนนี้ในที่สุดเขาก็มีเวลาในการทำความเข้าใจร่างกายตัวเองหลังจากที่เป็นเทพแท้จริง

แน่นอนว่า หลัวเฟิง ได้แบ่งสติเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งทำการสำรวจร่างกาย สำหรับอีกส่วนโฟกัสไปในร่างพลังอมตะข้างๆ เสาหิน ในมิติที่เวลาเร็วกว่าเดิม 10 ล้านเท่า เขาพยายามทำความเข้าใจการพัฒนาของความปั่นป่วน เขาพยายามจะพัฒนามัน…เขาทำการเตรียมตัวสำหรับสงครามที่จะมาถึง

หลัวเฟิง ไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อย จากการต่อสู้กับ โมโลซ่า โดยเฉพาะข้อมูลที่ โมโลซ่า บอกมาและจากจักรวาลดั้งเดิม หลัวเฟิง ก็สามารถคาดการณ์ได้

อย่างแรกจักรวาลดั้งเดิมบอกว่า อสูรทลายมิติ ต้องถูกกำจัดก่อนจักรวาลยุคนี้จะจบลง ปรากฏว่าราชาของ อสูรทลายมิติ จะยังไม่เกิดมาจนกว่าจักรวาลยุคแรกจะจบลง ตอนนี้มันยังเหลือเวลาอีกนาน!

และนอกจากนี้ โมโลซ่า ก็เกือบจะโดน หลัวเฟิง ฆ่า และมันบอกว่าหลังจากที่มันเข้าสู่ระดับ 3 มีแค่ แบ๊ดดี้ ที่ทำให้มันบาดเจ็บได้ มันหมายความว่า…ระดับ 3 นี้คือระดับสูงสุดของพวกมัน

ข้าฆ่า อสูรทลายมิติ ระดับ 3 ได้ง่ายๆ หลัวเฟิง คิด

****

ผ่านไปหลายเดือนแต่ อสูรทลายมิติ ก็ยังไม่ปรากฏตัวขึ้นมา มันทำให้ทุกเผ่าในทะเลจักรวาลกังวล

ในมิติที่เงียบสงบ มีร่างสีดำขดตัวอยู่ พลังของมันแข็งแกร่งขึ้น สุดท้ายมันก็เหยียดตัวออกและลืมตาขึ้นมา

“ในที่สุดข้าก็เปลี่ยนพลังที่ดูดซับมาเสร็จ” ตาทั้งสองข้างของ โมโลซ่า แสดงความดุดันออกมา “ข้าขึ้นถึงขั้นสูงสุดของระดับ 2 มันนานแล้ว ทางช้างเผือกนั่นน่าจะโผล่มาได้แล้ว”

โมโลซ่า รู้ว่าแม้ว่ามันจะอยู่จุดสูงสุดของระดับ 3 หรือแม้แต่ระดับของ แบ๊ดดี้ มันก็เทียบกับ หลัวเฟิง ได้

การเปลี่ยนเป็นเทพแท้จริงบ่งบอกได้ถึงการทะลวงผ่าน ยกเว้นแค่ถ้ามี อสูรทลายมิติ จำนวนมากมาทำการโจมตีพร้อมกัน การใช้จำนวนนั้นจะทดแทนด้านปริมาณได้ ถ้าพวกมันร่วมมือกันและโจมตีพร้อมกัน แม้แต่เทพแท้จริงมิติก็ตายได้

แต่ อสูรทลายมิติ นั้นพยายามจะฆ่ากันเอง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้พวกมันร่วมมือกัน พวกมันพยายามจะกินกันเองจนกว่าราชาจะกำเนิดขึ้นมา มันคือโชคชะตา!

“ข้ามาแล้ว!” โมโลซ่า เทเลพอร์ทและหายไป

****

เรือของ หลัวเฟิง ลอยอยู่ด้านนอกจักรวาลย่อยของ เทพปีศาจคลั่ง

ไม่มีใครรู้ว่า หลัวเฟิง ทำการคุ้มกันที่นี่เพราะไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นสาย แม้แต่เทพแท้จริงมนุษย์ก็ไม่รู้เรื่องเขา หลัวเฟิง ได้เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ

“ร่างข้ามีพลังแบบนี้!” หลัวเฟิง พูดขึ้น

เขาประหลาดใจ พลังของร่างเขาหลังจากที่มียีน 100,000 เท่านั้นน่าเหลือเชื่อ!

ก่อนหน้านี้ยีนชีวิตขึ้นอยู่กับพลังอมตะที่กักเก็บไว้แต่หลังจากขึ้นมาถึง 100,000 เท่าได้ มันก็ขึ้นไปในระดับที่ต่างจากเดิม

สำหรับพลังอมตะที่กักเก็บไว้ หลังจากที่ได้ร่างอมตะไม่สิ้นสุด มันก็ขึ้นถึงจุดสูงสุดของมัน แต่หลังจากที่ยีนชีวิตขึ้นถึง 100,000 เท่า เขาก็มีพลังต่างๆ ที่เรียกว่า ‘มองไม่เห็นและไร้รูปร่าง’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!