Skip to content

A Will Eternal 239

บทที่ 239 ควรจะกักเอาไว้สักหน่อยดีไหม…

ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง แต่ไม่นานก็วางมาดเคร่งขรึม แฝงเร้นไว้ด้วยความดุร้าย สายตาเย็นเยียบ กระโดดผลุงขึ้นกลายเป็นรุ้งเส้นยาวห้อทะยานไปกลางอากาศ มาปรากฏกายอยู่ต่อหน้าบุรพาจารย์ฮั่นเหยียน ยืนเรียงกับอีกแปดคนที่เหลือ

การปรากฏตัวของเย่จั้ง ไม่ได้ทำให้ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตบนยอดเขาโดยรอบแปลกใจเลยแม้แต่นิด ราวกับว่าการที่บุรพาจารย์ฮั่นเหยียนเรียกให้เขาบินออกไปนั้นเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว

ทั้งยังไม่มีใครส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ดูจากจุดนี้สามารถมองออกว่านามมารโรคห่าได้เลื่องลือไปทั่วทั้งสำนักธาราโลหิตนานแล้ว ทำให้ส่วนลึกในจิตใจทุกคนล้วนยอมรับตัวตนของเย่จั้ง ยอมรับในความสามารถของเขา และยิ่งยอมรับว่าเขาคือศิษย์แห่งภาคภูมิใจ!

ไม่เพียงแต่ทุกคนบนยอดเขาเท่านั้นที่ไม่เกิดความรู้สึกสงสัยใดๆ แม้แต่พวกซ่งเชวียเองที่ถึงแม้ว่านัยน์ตาของทุกคนจะแฝงไว้ด้วยความอำมหิต แต่กลับ…ไร้ซึ่งความกังขา!

ป๋ายเสี่ยวฉุนมาอยู่ที่สำนักธาราโลหิตนานหลายปีแล้ว สำหรับคนธรรมดา นี่ไม่ใช่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ทว่าสำหรับนักพรตแล้ว เป็นเพียงเวลาแค่ชั่วลัดนิ้วมือหนึ่งเท่านั้น แต่ถึงที่สุดแล้วก็ถือว่าไม่ใช่เวลาน้อยๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ความพยายามของตัวเองเดินไปทีละก้าว ในวันนี้ วินาทีนี้ ภายใต้การจับตามองของคนนับหมื่น เขาได้รับการยอมรับจากตลอดทั้งสำนัก

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตระหนักถึงข้อนี้เช่นกัน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเตรียมใจมาไว้บ้างแล้ว ทั้งยังวิเคราะห์ตำแหน่งฐานะของตัวเองมาก่อนบางส่วน แต่ตอนนี้เขาก็ยังสูดลมหายใจเข้าลึก ในใจเต็มไปด้วยความลำพองใจและภาคภูมิใจ

“หึหึ นายท่านป๋ายของพวกเจ้าเดินไปที่ไหนก็ส่องแสงโชติช่วงชัชวาลราวพระอาทิตย์และพระจันทร์ เฮ้อ…ใครใช้ให้ข้ายอดเยี่ยมเกินไปล่ะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกบานอยู่ในใจ ทว่าสีหน้ากลับยังคงเคร่งขรึมเย็นชา ปราณดุร้ายแผ่ซ่านไปทั่ว ทัดเทียมกับศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอีกแปดคนที่เหลือ

บุรพาจารย์สำนักธาราโลหิตทั้งแปดท่านที่อยู่กลางอากาศ แม้ว่าส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในสภาพเลือนราง มองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่ตอนที่สายตาของพวกเขากวาดมองมายังพวกเย่จั้งเก้าคนก็ยังพยักหน้าน้อยๆ โดยเฉพาะเย่จั้งที่ทำให้บุรพาจารย์หลายคนมองอยู่หลายครั้ง

สำหรับเย่จั้งที่อาศัยเพียงสร้างฐานรากวิถีมนุษย์แต่กลับพุ่งนำหน้าทุกคนภายในเวลาไม่กี่ปีแบบนี้ พวกเขาเองก็จับตามองเป็นพิเศษเหมือนกัน และยังถึงขั้นเกิดความสงสัยจนแอบตรวจสอบอย่างลับๆ เพียงแต่ว่าหน้ากากบนใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นของล้ำค่า ทำให้หลายปีมานี้เขาไม่เคยเผยพิรุธใดๆ ออกมาให้ใครเห็น

และวิถีโอสถของเย่จั้งก็สำคัญกับสำนักธาราโลหิตอย่างมาก แม้ว่ายังคงสงสัย ทว่ากลับไม่ได้ใส่ใจมากนัก

“พวกเจ้าเก้าคนขึ้นไปนั่งบนแท่นโลหิต หลอมปราณตบะของทุกคนเป็นเลือด ช่วยข้าผู้อาวุโสเปิดประตูแห่งพลังที่แฝงเร้นเอาไว้ ปลุกกระดูกไม่สลายให้ตื่นขึ้นมา!”

บุรพาจารย์ฮั่นเหยียนเอ่ยปากเนิบนาบ มือขวายกขึ้นโบก เลือดเก้าเส้นพลันลอยออกมากลายร่างเป็นแท่นบูชาสีเลือดเก้าแห่งตั้งอยู่รอบด้าน พวกป๋ายเสี่ยวฉุนเก้าคนต่างฝ่ายต่างถอยหลัง แต่ละคนนั่งขัดสมาธิลงบนแท่นโลหิตทั้งเก้านี้

อันที่จริงการปลุกกระดูกไม่สลายครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้พวกป๋ายเสี่ยวฉุนเก้าคนช่วยเหลือ ทว่าตอนนี้สงครามใกล้จะอุบัติขึ้น

หลังจากบุรพาจารย์ปรึกษากันเรียบร้อยแล้วจึงเห็นควรให้นักพรตเขาจงเฟิงได้สัมผัสกับพลังที่แฝงเร้นของสำนักด้วยตัวเองก่อน

บุรพาจารย์ฮั่นเหยียนผู้นี้คือคนที่มีความสามารถในการรบแข็งแกร่งมากที่สุดในบรรดาบุรพาจารย์ทั้งแปด ดังนั้นจึงเป็นผู้ดำเนินการเปิดพลังแฝงของสำนัก เวลานี้ดวงตาราวสายฟ้าของเขากวาดผ่านไปบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเก้าคน

สายตาของเขาแฝงเร้นไว้ด้วยพลานุภาพสยบไร้ที่สิ้นสุด ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสะท้านไปทั้งใจ มีความรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายมองเห็นความลับทั้งหมดที่ตนซ่อนเอาไว้ อีกแปดคนที่เหลือก็รู้สึกเช่นเดียวกัน สีหน้าไม่ได้เหี้ยมโหดดุร้ายอีกต่อไป แต่ก้มหน้าลงอย่างเคารพนบนอบ

บุรพาจารย์ฮั่นเหยียนถอนสายตากลับ เงยหน้ามองท้องฟ้า ยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังท้องนภาแล้วโบกอย่างแรงหนึ่งครั้ง การโบกครั้งนี้ ลำแสงสีเลือดของทั้งห้ายอดเขาในสำนักธาราโลหิตส่งเสียงดังครึกโครมขยายขนาดใหญ่ขึ้นอีกหลายเท่า น้ำวนสีเลือดบนท้องฟ้าแผ่ออกเป็นวงกว้าง หมุนโคจรครั่นครืนเร็วยิ่งกว่าเดิม ทำให้พื้นที่ตรงกลางน้ำวนพลันปรากฏดวงตาสีเลือดขนาดยักษ์ข้างหนึ่งขึ้นมา!

เมื่อดวงตานี้ค่อยๆ เปิดออก ฟ้าดินซีดเซียว ลมและเมฆซัดโหมตลบ พลานุภาพสยบไร้ที่สิ้นสุดเยื้องกรายลงมาบนพื้นโลก ทั้งยังมีลมพายุบ้าคลั่งพัดกวาดไปทั่วทิศ หมอกสีเลือดตลบอบอวล ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนอกสั่นขวัญแขวน คุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน

“จงเงยหน้าขึ้นมองพลังแฝงเร้นที่ทำให้สำนักธาราโลหิตของเรา…สยบอีกสามสำนักที่เหลือได้!” บุรพาจารย์ฮั่นเหยียนเอ่ยปากเนิบช้า น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยพลังประหลาดบางอย่างซึ่งทำให้ทุกคนที่ได้ยินล้วนเงยหน้าขึ้นมองดวงตาสีเลือดกลางนภาตามคำสั่ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง เมื่ออยู่ภายใต้พลานุภาพสยบนี้ วิชาอมตะมิวางวายในร่างของเขาโคจรขึ้นมาเองอย่างเงียบเชียบ สัมผัสได้อย่างเลือนรางว่ามันเกิดการตอบรับกับดวงตาสีเลือดข้างนั้น

พวกซ่งเชวีย เซวี่ยเหมยที่อยู่ข้างกายเขาล้วนจิตใจสั่นสะท้าน แต่ไม่ได้ก้มหน้าลง กลับพยายามเงยหน้าขึ้นมองดวงตาสีเลือดที่ปรากฏอยู่ในน้ำวนบนท้องฟ้า

แค่มองปราดเดียวคนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ต้องอุทานแตกตื่นทันที ต่อให้พวกซ่งเชวียจะมีฐานะแตกต่างจากคนอื่น พอจะรู้ความลับของสำนักมาบ้าง ทว่ายามนี้ก็ยังสำลักลมหายใจ สีหน้าตะลึงพรึงเพริด

ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งเบิกตากว้าง ในใจราวกับมีสายฟ้าฟาดผ่า

เขามองเห็นว่าในดวงตาสีเลือดขนาดยักษ์นั้น นอกลูกตาดำ ปรากฏเงาร่างเลือนรางสี่ร่าง หนึ่งในนั้นคือโครงกระดูกขนาดมหึมาที่เป็นสีม่วงตลอดร่าง!

โครงกระดูกนี้ตลอดทั้งร่างมีสายฟ้าโอบล้อมวนเป็นเกลียว กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่เขตนอกลูกตาดำ ไอความตายลอยวนเวียน นั่งนิ่งไม่ขยับ แต่กลับมีพลานุภาพสยบน่าตะลึงแผ่ออกมา แค่มองก็สั่นคลอนไปทั้งใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้จักเขาซือเฟิงดี ยามนี้ครุ่นคิดเล็กน้อยก็เดาออกว่านี่ก็คือกระดูกไม่สลาย ขอบเขตสูงสุดของการหลอมศพแห่งยอดเขาซือเฟิง เหนือล้ำเกินศพบิน…กระดูกไม่สลาย!

“ศพบินก็เทียบเคียงกับนักพรตรวมโอสถได้แล้ว กระดูกไม่สลายนี่…ไม่ใช่ว่าเทียบเคียงได้กับบุรพาจารย์ขั้นก่อกำเนิดเลยหรือ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง

เงาเลือนรางที่สองคือกลุ่มหมอกสีดำกลุ่มหนึ่ง ในกลุ่มหมอกนี้คล้ายมีใบหน้านับพันนับหมื่นกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าเหล่านั้นล้วนเป็นใบหน้าของคนแก่ชรา ความรู้สึกเหมือนผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานแฝงฝังอยู่ในกลุ่มหมอกนี้ เห็นได้ชัดว่านี่คือหัวปีศาจหนึ่งหัว พลังอำนาจและอานุภาพสยบสูสีกับกระดูกไม่สลายนั่น!

เงาพร่ามัวเงาที่สามคือหนังชิ้นหนึ่ง หนังชิ้นนี้ไม่รู้ว่าดำรงอยู่มานานแค่ไหน มันแห้งเหี่ยวแล้ว ทว่าความน่ากลัวของปราณที่แผ่ออกมากลับแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่ากระดูกไม่สลายและหัวปีศาจเสียอีก ทั้งยังให้ความรู้สึกลึกลับมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง ทำให้ลมหายใจของนักพรตสำนักธาราโลหิตทุกคนถี่กระชั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตื่นตะลึงเช่นกัน มองไปยังเงามายาที่สี่ก็เห็นว่านั่นคือ…กระบี่เล่มหนึ่ง!

กระบี่เล่มหนึ่งที่เป็นสีเลือด บนกระบี่มีคนจิ๋วร่างสีชาดนั่งขัดสมาธิอยู่ คนจิ๋วผู้นี้ไม่มีเส้นผม แม้ว่าจะมีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือ แต่กลับมีปราณดุร้ายไร้ขีดจำกัดที่ข่มทับเงามายาอีกสามเงาได้โดยสิ้นเชิง ปราณนั้นพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ราวกับเป็นผู้นำของทั้งสี่เงาร่าง!

“กระดูกไม่สลายของเขาซือเฟิง ปีศาจพันหน้าเขาอู๋หมิงเฟิง ผ้าตราเขาเส้าเจ๋อเฟิง กระบี่บรรพบุรุษโลหิตเขาจงเฟิง…นี่คือวัตถุพิทักษ์ยอดเขา และที่พวกมันพิทักษ์…ก็คือหนึ่งในพลังแฝงเร้นของสำนักธาราโลหิตซึ่งอยู่ในลูกตาดำของดวงตาเลือด!เส้นเลือดเซ่นสังเวย!” บุรพาจารย์ฮั่นเหยียนสะบัดแขนเสื้อข้างขวาเป็นวงกว้างหนึ่งครั้ง ลูกตาดำในดวงตาเลือดบนท้องฟ้าพลันขยายใหญ่ มองเห็นได้รำไรว่าข้างในนั้นมีเงามายาที่ห้าปรากฏขึ้น!

เห็นได้ชัดว่านี่คือสมบัติล้ำค่าของพลังแฝงที่ซุกซ่อนอยู่ในลูกตาดำซึ่งถูกวัตถุทั้งสี่นอกลูกตาดำพิทักษ์รักษาเอาไว้ ป๋ายเสี่ยวฉุนหายใจถี่รัว ตอนที่เบิกตากว้างมองไป ก็เริ่มมองเห็นว่าเงามายาในลูกตาดำนั่นก็คือ…

หุ่นไล่กาตัวหนึ่ง!

หุ่นไล่กานี้พิลึกพิลั่นอย่างถึงที่สุด มือข้างหนึ่งของมันถือหนังคนแผ่นหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งถือตาชั่ง มุมปากเผยรอยยิ้มชั่วร้าย ราวกับกำลังเย้ยหยัน…เพียงแค่ประสานสายตากับมัน สมองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดังอึงอล ในสมองมีแต่รอยยิ้มของหุ่นไล่กาตนนี้ คล้ายว่ามันต้องการยึดครองจิตวิญญาณทั้งหมดของเขา

แต่ไม่นานปราณวิถีฟ้าในกายป๋ายเสี่ยวฉุนพลันแผ่กระจาย พริบตาเดียวก็ขับไล่เงาของหุ่นไล่กาตนนี้ออกไปจากสมอง เขาหอบหายใจหนักฟื้นคืนสติมาได้ สายตาของเขาที่มองไปยังฮั่นเหยียนเจินเหริน ที่อยู่เบื้องหน้าแฝงไว้ด้วยแววชื่นชมเล็กน้อย

พอมองไปยังอีกแปดคนที่เหลือ กลับเห็นว่าแต่ละคนต่างก็เกิดอาการเลื่อนลอยในระดับที่แตกต่างกันออกไป เซวี่ยเหมยเป็นคนที่สองที่ได้สติ จากนั้นก็ซ่งเชวีย คนที่เหลือก็ทยอยกันเอาชนะภาพมายาในใจของตัวเองได้ พากันฟื้นคืนสติ

“สิ่งเหล่านี้ เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของพลังแฝงแห่งสำนักธาราโลหิตของเรา ตอนนี้…ทุกคนปล่อยปราณเลือดออกมา พวกเจ้าเก้าคนหลอมปราณเป็นเลือด ช่วยข้าผู้อาวุโสปลุก…กระดูกไม่สลาย!”

“ปลุกแค่กระดูกไม่สลายเท่านั้น สามวิญญาณที่เหลือไม่ต้องไปสนใจ พวกมันจะทยอยกันตื่นขึ้นมาเอง เมื่อพวกมันตื่นกันหมดแล้ว เส้นเลือดเซ่นสังเวยก็จะเดินออกมาจากในโลกดวงตาที่ถูกปิดผนึก!” คำพูดของบุรพาจารย์ฮั่นเหยียนดังออกมา นักพรตจำนวนนับไม่ถ้วนในสำนักธาราโลหิตที่อยู่ขั้นต่ำกว่ารวมโอสถล้วนพากันโคจรตบะ

นักพรตสร้างฐานราก ลูกศิษย์ฝ่ายใน ลูกศิษย์ฝ่ายนอก ตบะของคนหลายแสนคนเคลื่อนโคจร ปราณเลื่อนแผ่กระจายกลายมาเป็นหมอกสีเลือดมากมายเหลือคณานับทันที พวกมันลอยขึ้นกลางอากาศ ตรงดิ่งเข้าหาแท่นสีเลือดทั้งเก้าแท่นแล้วหลอมรวมเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว

แทบจะวินาทีเดียวกันกับที่ปราณเลือดเหล่านี้ผสมผสานเข้ากับแท่นบูชาโลหิต ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งอยู่บนแท่นโลหิตที่ห้าพลันสั่นเยือกไปทั้งร่าง ปราณเลือดเข้มข้นระเบิดออกมาบนแท่นเลือดแล้วกระโจนเข้าใส่ ลอดทะลุไปตามรูขุมขนทั่วร่างของเขาอย่างบ้าคลั่ง

ไม่มีเวลาให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมากเลยแม้แต่นิด วิชาอมตะมิวางวายในร่างของเขาโคจรทันที หลังจากดูดเอาปราณเลือดพวกนี้เข้าไปในร่างกายแล้ว สายตาของเขาก็กวาดไปมองคนอื่นๆ พบว่าพวกเซวี่ยเหม่ยก็เป็นเช่นเดียวกัน แต่ละคนต่างสูดรับเอาปราณเลือดสุดพลัง ใช้ร่างของตัวเองเป็นอุปกรณ์ในการหลอม โดยใช้วิชาลับของสำนักธาราโลหิตแปลงปราณเลือดพวกนี้ให้กลายมาเป็นเลือดสด

เซวี่ยเหมยทำสำเร็จเป็นคนแรก เลือดสดหยดหนึ่งลอยออกมาจากกลางกระหม่อมของนาง ไม่ได้บินขึ้น แต่ลอยอยู่กลางศีรษะ ตามมาด้วยซ่งเชวียที่ทำสำเร็จเป็นคนที่สอง…ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเรียนรู้ตาม ใช้วิธีหลอมเลือดคงกระพันของเขาแปลงปราณเลือดเหล่านั้นในร่างให้กลายมาเป็นเลือดสดหนึ่งหยด บินออกมาลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา

ไม่นาน พวกเขาทั้งเก้าคนก็รวบรวมเลือดสดออกมาอย่างต่อเนื่อง เวลาผ่านไป เลือดสดบนศีรษะของทุกคนเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหนึ่งก้านธูปผ่านไป ดวงตาทั้งคู่ของเซวี่ยเหมยพลันเบิกโพลง เลือดสดบนศีรษะของนางรวมตัวกันได้ประมาณหนึ่งกำปั้น แล้วบินตรงไปอยู่ต่อหน้าบุรพาจารย์ฮั่นเหยียน

บุรพาจารย์ฮั่นเหยียนกวาดตามองหนึ่งครั้ง หลังจากพยักหน้าน้อยๆ เลือดสดขนาดหนึ่งกำปั้นนี้ก็ลอยขึ้นทันที กลายร่างมาเป็นรุ้งสีเลือดเส้นยาว ตรงดิ่งเข้าหากระดูกไม่สลายในดวงตาสีเลือด พริบตาเดียวก็เข้าไปใกล้แล้วหลอมรวมลงบนกระดูกของมัน ทำให้ร่างของกระดูกไม่สลายสั่นกึกๆ ความมีชีวิตชีวาระลอกหนึ่งกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นมา

“ยังต้องการอีกแปดหยด!” บุรพาจารย์ฮั่นเหยียนเอ่ยปากเนิบนาบ

เวลาเดียวกันนั้น ปราณเลือดจำนวนมากยังคงพุ่งทะลักทลายเข้าหาแท่นบูชาสีเลือดทั้งเก้า ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าเคร่งขรึม ทว่ายามนี้ในใจกลับกระตุกน้อยๆ

“ปราณเลือดมากมายขนาดนี้ เอ่อ…ข้าควรจะกักเอาไว้สักหน่อยดีไหม?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!