บทที่ 257 ตู้ตู้น้อย!!
ขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนต่อสู้กับพวกเซียวชิงสามคน บนเส้นทางดึกดำบรรพ์เบื้องหลังเขา อาศัยแรงผลักดันจากป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้ ซ่งจวินหว่านหลุดพ้นไปอย่างราบรื่น นางกัดฟันขาวสะอาดแน่น เผาผลาญเลือดแห่งชีวิตแลกมาด้วยความเร็วอันน่าตกตะลึงอย่างไม่เสียดาย พุ่งพรวดไล่กวดตามเซวี่ยเหมยไป
เซวี่ยเหมยที่อยู่ด้านหน้าพอมองเห็นภาพนี้ก็ขมวดคิ้วมุ่น ความเร็วเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ทว่าเลือดแห่งชีวิตที่ถูกเผาไหม้ของซ่งจวินหว่านทำให้ความเร็วนางยิ่งเพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางการไล่ตามกันของคนทั้งสอง ไม่นานก็เริ่มเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ต่างฝ่ายต่างลงมือ ต่อสู้พลางบินทะยาน เสียงกึกก้องดังไปตลอดเส้นทาง
จากการต่อสู้ ซ่งจวินหว่านยิ่งหน้าขาวซีดมากขึ้นทุกขณะ นางพบว่าเซวี่ยเหมยไม่เพียงแต่หายจากอาการบาดเจ็บ แม้แต่ตบะก็ยังพัฒนามากกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย ถึงขนาดสูสีกับตนเอง จากการห้ำหั่นกัน ความเร็วของคนทั้งสองจึงช้าลงกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ได้ยินเสียงดังกัมปนาทที่ลอยมาจากด้านหลัง ทั้งยังมีถ้อยคำบางอย่างลอยมาแว่วๆ เพียงแต่ว่าถูกกลบทับด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจนฟังไม่ชัด
ซ่งจวินหว่านหน้าเปลี่ยนสี แม้ว่านางจะต้องการเป็นบุตรโลหิต ทว่าในใจก็เป็นห่วงเย่จั้งที่อยู่ด้านหลังไม่น้อย นางรู้ว่าการที่ให้เย่จั้งไปสกัดขวางพวกเซียวชิงทั้งสามคน เดิมก็เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างถึงที่สุดอยู่แล้ว
ในสายตาของนาง ตำแหน่งบุตรโลหิตที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของผู้อื่น ทำให้ในใจนางเจ็บปวดรวดร้าวจนถึงขนาดเกิดความสับสน นางไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเลือกนั้นถูกต้องหรือไม่ บัดนี้นางได้แต่หัวเราะขมขื่น นางไม่สามารถครุ่นคิดถึงอะไรให้มากความได้อีกแล้ว ทำเพียงประมือกับเซวี่ยเหมยอย่างเต็มกำลัง
ตลอดทางมานี้เซวี่ยเหมยพูดน้อยมาก นัยน์ตาเผยความร้อนรน ซ่งจวินหว่านมีตบะที่ไม่ธรรมดา นางไม่สามารถสลัดพ้นได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ การต่อสู้โรมรันตลอดทางที่ผ่านมา เสียงดังกึกก้องด้านหลังเงียบหายไปนานแล้ว หลังจากกลายมาเป็นความเงียบสงบได้ไม่นาน คนทั้งสองก็ค่อยๆ มาถึงปลายทางของเส้นทางดึกดำบรรพ์สีเลือด
ที่ตั้งของปลายทางนั้นมีประตูทรงโค้งงอสีเลือดอยู่แห่งหนึ่ง แสงโลหิตเข้มข้นแผ่ซ่านออกมาจากในประตูบานนั้น ทั้งยังสัมผัสได้ด้วยว่าในประตูนั่นมีปราณเลือดที่ยากจะบรรยายดำรงอยู่
นั่นก็คือ…ที่ตั้งของห้องหัวใจ และก็เป็นสถานที่ที่ผลึกเลือดปรากฏตัว ใครได้เข้าไปด้านในเป็นคนแรกก็จะมีโอกาสได้ผลึกเลือดมาครอง กลายเป็นบุตรโลหิต
วินาทีที่มาถึงปลายทาง พวกนางเองก็ได้ยินเสียงระเบิดจากในเส้นทางดึกดำบรรพ์ด้านหลังที่เข้ามาประชิดอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงระเบิดเช่นนี้ สามารถจินตนาการได้ว่าต้องเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่ขยายความสามารถทุกด้าน คำรามเข้ามาใกล้
อีกทั้งไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ก็รู้ได้ว่าอย่างมากสุดอีกแค่ห้าหกลมหายใจ อีกฝ่ายก็จะเข้ามาใกล้
แม้จะรู้ว่าความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะเป็นเย่จั้งนั้นมีไม่มาก แต่เซวี่ยเหมยก็ไม่คิดจะเดิมพัน บัดนี้เมื่อนางและซ่งจวินหว่านเข้ามาใกล้ประตูโลหิตทรงโค้งของห้องหัวใจ ต่างฝ่ายต่างลงมือไม่หยุด วินาทีที่กำลังจะกันแย่งเข้าไปนั้น เซวี่ยเหมยพลันยิ้มออกมา
“ซ่งจวินหว่าน ตำแหน่งบุตรโลหิต ไม่ใช่ของเจ้า”
รอยยิ้มนี้แม้ว่าจะไม่ได้เผยออกมานอกหน้ากาก แต่ต่อให้อยู่ใต้หน้ากากก็ยังเผยความโอหังของนางออกมาได้อยู่ดี เมื่อมือขาวราวหยกเนื้อดีของนางยกขึ้น บนข้อมือของนางพลันปรากฏรอยประทับรูปสามเหลี่ยมรูปหนึ่ง
รอยประทับนี้เป็นสีม่วง พอปรากฏขึ้นก็บินออกไปจากผิวหนังกลายมาเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสีม่วงสามรูปพุ่งเข้ากดทับซ่งจวินหว่าน!
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ซ่งจวินหว่านสั่นเยือกไปทั้งร่าง กระอักเลือดสด ร่างถูกพละกำลังมหาศาลกระแทกให้ถอยกรูดออกไปไกลจากประตูโลหิต สี่เหลี่ยมทรงขนมเปียกปูนสามรูปนั้นวนอยู่เหนือศีรษะของนาง ปล่อยพลังผนึกออกมาเป็นระลอก ผนึกร่างของซ่งจวินหว่านไว้ภายใน ไม่สามารถสลัดพ้น
“เซวี่ยเหมยนางคนต่ำช้า ตอนแรกเจ้าก็โกง แถมอู๋จี๋จื่อยังไม่สนกติกามอบอาวุธปิดผนึกให้เจ้าอีก คราวนี้ต่อให้เจ้าได้เป็นบุตรโลหิต ตระกูลซ่งของข้าก็ไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ แน่นอน!!” ซ่งจวินหว่านสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ทั้งๆ ที่ทุกอย่างอยู่เพียงเอื้อมมือคว้าแล้ว กลับต้องมาถูกเซวี่ยเหมยผนึกร่างเอาไว้ และวิธีการปิดผนึกเช่นนี้ก็เหลือเชื่อเกินคาดเดา คาดว่าคงเป็นความคิดของอู๋จี๋จื่อ
“อยู่ที่นี่ไปซะ บุตรโลหิต ไม่ใช่ของเจ้า” เซวี่ยเหมยหัวเราะเบาๆ เดินออกไปหนึ่งก้าว เหยียบย่างเข้าไปในประตูโลหิตทรงโค้งทันที
ซ่งจวินหว่านหัวเราะขมขื่น นัยน์ตานางเผยความสิ้นหวัง ความเกลียดชังที่มีต่อเซวี่ยเหมยไต่ไปถึงระดับสูงสุด ทว่าเวลานี้เอง วินาทีที่เซวี่ยเหมยก้าวเข้าไปในประตูโลหิต เสียงระเบิดพลันดังออกมาจากนอกห้องหัวใจ
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาปรากฏอยู่ข้างกายซ่งจวินหว่าน พอมองเห็นตราผนึกสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสีม่วงสามชิ้นนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็หน้าเผือดสี ยกมือขวาขึ้นต่อยโครมลงไป
หมัดนี้รวบรวมเอาพลังปีศาจฟ้าของเขาไว้ด้วย ทว่าเมื่อตกลงบนสี่เหลี่ยมทรงขนมเปียกปูนสีม่วงทั้งสามรูป กลับไม่สามารถทำให้มันเคลื่อนไหวได้แม้แต่นิด ทั้งยังมีพลังสั่นสะเทือนโจมตีกลับมา นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ
“นี่คือตราผนึกของบุรพาจารย์?”
ตอนนี้ซ่งจวินหว่านก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วเช่นกัน นางไม่มีเวลาคิดมากว่าเหตุใดป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ตามมาทันทั้งๆ พวกเซียวชิงสามคนร่วมมือกันรั้งเอาไว้ พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน ลมหายใจของนางก็ถี่กระชั้น ดวงตาเผยความเด็ดเดี่ยว ยกมือขวาขึ้นกะทันหัน ทันใดนั้นกลางฝ่ามือของนางก็มีป้ายคำสั่งสีเลือดแผ่นหนึ่งลอยออกมา
ป้ายคำสั่งนี้แปลกประหลาด วินาทีที่มันปรากฏตัวขึ้น ต่อให้เป็นตราผนึกก็ยังบิดเบือน แม้จะไม่แตกออก ทว่าด้วยพลังของป้ายคำสั่งสีเลือดนี้ อย่างมากสุดหนึ่งก้านธูป ตราผนึกนี้ต้องพังทลายแน่นอน
ทว่าเวลาหนึ่งก้านธูป ซ่งจวินหว่านรอไม่ได้
“เย่จั้ง ป้ายคำสั่งบุตรโลหิตนี้ข้ามอบให้เจ้า ไม่ว่าเจ้าใช้วิธีการใด ต่อให้เจ้าได้กลายเป็นบุตรโลหิต ก็ห้ามให้นางคนชั่วช้านั่นทำสำเร็จเด็ดขาด!!!” ซ่งจวินหว่านทุ่มสุดชีวิตแล้ว เมื่อพูดจบนางจึงโยนป้ายคำสั่งออกไปด้านนอกอย่างแรง ป้ายคำสั่งนี้ประหลาดมาก แม้แต่พลังของตราผนึกก็ยังมิอาจสกัดกั้นไว้ได้ ปล่อยให้ป้ายคำสั่งบินออกมา เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนคว้าจับไว้ในมือ ป้ายคำสั่งก็สั่นระริก คล้ายจะส่งคลื่นความปิติยินดีไร้ที่สิ้นสุดออกมา ราวกับยอมรับป๋ายเสี่ยวฉุนมากเกินกว่าใคร
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง ตอนนี้ไม่มีเวลาให้คิดมาก เขากัดฟันกรอด รู้ว่าไม่อาจปล่อยให้เซวี่ยเหมยทำสำเร็จได้ มิฉะนั้นแล้วตนย่อมมีอันตรายแน่นอน เวลานี้รับป้ายคำสั่งไว้ได้เขาก็สะบัดร่างห้อตะบึงไปที่ประตูโลหิต ความเร็วนั้นแค่เวลาชั่วพริบตาก็เหยียบย่างเข้าไปด้านใน!
ซ่งจวินหว่านที่มองทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา บัดนี้ร่างกายพลันอ่อนกำลังลง ทว่าใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มโล่งใจ
“เย่จั้ง หากเจ้าทำสำเร็จ ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้เจ้านั่งอยู่บนตำแหน่งบุตรโลหิตได้อย่างมั่นคง!” อยู่ๆ นางก็รู้สึกว่าการที่ตัวเองเลือกเย่จั้งก็ใช่ว่าจะไม่มั่นคงเสียเลย ถึงขั้นที่ว่าหากเย่จั้งได้กลายเป็นบุตรโลหิตขึ้นมาจริงๆ สำหรับตระกูลซ่งแล้วก็ยังถือเป็นเรื่องที่ยอมรับได้!
โลกห้องหัวใจ แสงสีเลือดสาดส่องไปทั่ว จุดศูนย์กลางของแสงนี้มีหัวใจขนาดยักษ์ดวงหนึ่ง แม้ว่ามันจะไม่เต้นแล้ว แต่กลับมีพลานุภาพสยบไร้ที่สิ้นสุดแผ่กระจายออกมาอย่างน่าครั่นคร้าม
หลอดเลือดหนาหยาบมากมายหลายเส้นตัดสลับกันไปมา ทำให้โลกใบนี้มองดูแล้วเหมือนเขาวงกต
บนหัวใจนี้มีผลึกโลหิตอยู่ก้อนหนึ่ง ขณะเดียวกับที่เปล่งประกายแสงอ่อนโยนก็ยังมีเจตจำนงแห่งพลานุภาพอันเข้มข้นเต็มเปี่ยมอยู่ด้านใน ราวกับว่าใครก็ตามที่ได้รับผลึกโลหิตนี้ คนผู้นั้นก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของการสืบทอด ได้ครอบครอง…นิ้วข้างหนึ่งของร่างบรรพบุรุษโลหิต!
ผลึกเลือดนี้ก็คือวัตถุที่จำเป็นสำหรับบุตรโลหิต ใครที่ได้ครอบครอง คนผู้นั้นก็คือบุตรโลหิตของเขาจงเฟิงรุ่นนี้!
เวลานี้เซวี่ยเหมยกำลังบินทะยานไปด้านหน้า นัยน์ตาโชนแสงแปลกประหลาด ตรงดิ่งเข้าหาผลึกเลือด ข้างกายนางมีผลึกใสขนาดเท่าศีรษะอันหนึ่งล่องลอยตามมาด้วย ด้านในผลึกใสนี้มีเงาร่างพร่าเลือนกำลังเปล่งเสียงแหลมเล็กดังลอยมาเป็นระยะ
“ที่นี่แหละ ที่นี่แหละ…”
“หุบปาก!” เซวี่ยเหมยคำรามเสียงต่ำ ความเร็วยิ่งมากกว่าเดิม ทว่าทันใดนั้นดวงตาทั้งคู่ของนางก็หดตัวลง เมื่อหันกลับไปจึงมองเห็นเย่จั้งที่เหยียบเข้ามาในทางเข้า
วินาทีที่มองเห็นเย่จั้ง เซวี่ยเหมยอึ้งงันก่อนเป็นอันดับแรก ต่อมาจิตสังหารก็พวยพุ่ง หันตัวกลับเพิ่มความเร็วทะยานเข้าหาหัวใจ
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ สายตากวาดมองไปรอบด้าน หลังจากสบตากับเซวี่ยเหมย ร่างของเขาก็กระโดดผลุงขึ้นกลางอากาศ ปีกด้านหลังพัดโบก ความเร็วระเบิดตูมตาม เพื่อให้ตามอีกฝ่ายได้ทัน เขายังร่ายวิชาแรงดูดแรงผลักของพลังแม่เหล็กด้วย ทำให้ความเร็วยิ่งเร็วมากขึ้นอีกหนึ่งส่วน เหนือกว่าเซวี่ยเหมย วินาทีที่เซวี่ยเหมยเข้าไปใกล้หัวใจ ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตามมาทัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็กลัดกลุ้ม ที่เขาต้องการช่วงชิงคือตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ ทว่าทำไปทำมากลับจับผลัดจับผลูมาช่วงชิงบุตรโลหิตซะได้ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้คิดมากอีกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เซวี่ยเหมยเป็นบุตรโลหิตได้สำเร็จ พอนึกถึงผลร้ายที่จะตามมา เขาก็ถอนหายใจเฮือกๆ ติดต่อกันในใจ
“ข้าคงประเมินเสน่ห์ของซ่งจวินหว่านต่ำเกินไปสินะ” เซวี่ยเหมยหัวเราะเสียงเย็น มือขวาทำมุทราแล้วชี้ สายฟ้าโค้งงอสีทองเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นบนนิ้วมือของนาง สายฟ้าเส้นนี้แลบแปลบปลาบเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะโจมตีกลับ พลันเขาก็ต้องหน้าเปลี่ยนสี สายฟ้าโค้งงอสีทองเส้นนั้นทำให้เขาพรั่นพรึงเสียยิ่งกว่าการประมือกับพวกเซียวชิงสามคนก่อนหน้านี้เสียอีก เขาไร้ซึ่งความลังเลใด คำรามต่ำหนึ่งครั้ง ชนาเขย่าภูเขาพลันระเบิดความเร็ว เบี่ยงหลบสายฟ้าเส้นนี้มาปรากฏอยู่ด้านหน้าเซวี่ยเหมยโดยตรง ยกมือขวาขึ้นแล้วต่อยตูมลงไป
ดวงตาทั้งคู่ของเซวี่ยเหมยหดตัวลง มือซ้ายทำมุทราตบลงไปเบาๆ มือขาวอ่อนนุ่มราวหยกประณีตของนางสัมผัสเข้ากับมือของป๋ายเสี่ยวฉุน กลายมาเป็นแสงสีทอง เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกถึงเพียงพละกำลังมหาศาลที่ถูกส่งออกมาจากมือของอีกฝ่าย ซึ่งดูเหมือนว่าจะอ่อนแรงกว่ากล้ามเนื้อของตนเล็กน้อยเท่านั้น ร่างของเขาสะเทือนจนถอยหลังไปหลายก้าว เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาของเซวี่ยเหมยก็เผยความตกตะลึง ร่างของนางโซซัดโซเซถอยหลัง ลมหายใจถี่กระชั้น ขณะที่กำลังจะลงมือต่อนั้นเอง…
ทันใดนั้น ผลึกสีเลือดบนหัวใจดวงยักษ์สั่นสะเทือนคล้ายตอบรับการมาของป๋ายเสี่ยวฉุน การสั่นไหวนี้ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และที่ยิ่งไม่คาดคิดก็คือมันถึงขนาดบินขึ้นมาด้วยตัวเอง พุ่งถลาเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เซวี่ยเหมยอึ้งค้าง เงาร่างเลือนรางที่อยู่ด้านในผลึกใสนั่นก็กรีดร้องขึ้นมาเช่นกัน
“ขัดขวางเขา อย่าให้เขาได้มันไปครอง!!”
“หุบปาก!” เซวี่ยเหมยกัดฟันขาวสะอาด ด้วยความร้อนใจ จิตสังหารในดวงตานางจึงยิ่งลุกโหม ดวงตาคู่งามบัดนี้กลายมาเป็นสีทอง พริบตาที่เปลี่ยนมาเป็นสีทองนั้น ปราณเลือดบนร่างของนางหายไป ตลอดทั้งร่างเต็มไปด้วยสีทองไร้ที่สิ้นสุด ทั้งยังผอมลงไปอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าการร่ายใช้เวทคาถานี้จำเป็นต้องเผาผลาญพลังชีวิต อยู่ๆ นางก็ยกมือขึ้นมาชี้ไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกะทะหัน
นั่นคือท่าไม้ตายสุดท้ายของนาง!
ภายใต้การชี้นี้ เบื้องหลังของนางก่อเกิดเป็นนิ้วมือข้างหนึ่งเช่นเดียวกัน นิ้วมือนี้มีขนาดใหญ่มโหฬารอย่างยิ่ง แฝงไว้ด้วยพลังไร้ที่สิ้นสุด ทำให้วิกฤตความเป็นความตายที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสถึงไต่ไปยังจุดสูงสุดเช่นกัน เขาเสียวปลาบไปทั้งร่างแล้ว อีกทั้งตัวยังเริ่มลอยขึ้น ราวกับว่าโครงสร้างในร่างกายกำลังเปลี่ยนแปลง
วิกฤตเช่นนี้เหนือล้ำเกินกว่าพวกเซียวชิงสามคน เหนือล้ำเกินกว่าเทือกเขาลั่วเฉิน ความรู้สึกที่มอบให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่แตกต่างไปจากเมื่อครั้งเจอเด็กหญิงชุดขาวในโลกกระบี่อุกกาบาตนั่น
สมองเขาเกิดเสียงดังอึงอล ท่ามกลางวิกฤตนี้ เขาย่อมมิอาจกั๊กพลังไว้ได้แม้แต่เสี้ยวเดียว เขารู้ดีว่าตนไม่สามารถหลบเลี่ยงมันไปได้ หากเขาหลบ ย่อมต้องตายอย่างมิต้องสงสัย ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่าเมื่อเผชิญหน้ากับวิชาอภินิหารเช่นนี้ จะเป็นหรือตายนั้นมีแค่ทางเดียว…นั่นก็คือ ต้องพุ่งเข้าสังหารแบบตาต่อตา!
บัดนี้ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดออกทุกด้าน ปีกด้านหลังพัดกระพือรวดเร็ว แรงดูดแรงผลักเพิ่มความเร็ว ชนาเขย่าภูเขาโคจรครั่นครืน ระเบิดพลังออกหลายเท่าต่อหลายเท่า แล้วยังเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่า ร่างพลันเผ่นโผนพุ่งกระโจนใส่เซวี่ยเหมย!
“แตะหินเป็นทอง!” ปากของเซวี่ยเหมยพ่นคำสี่คำนี้ออกมา แต่ละคำดุจดั่งฟ้าคำรณ ระเบิดออกไปสี่ทิศ ทันใดนั้นนิ้วของนางตวัดลง นิ้วมือยักษ์ด้านหลังก็พุ่งกระแทกเข้าใส่ดังโครมครามด้วยพลานุภาพเกรียงไกรไม่ต่างกัน
ชั่วพริบตาที่คนทั้งสองเข้ามาใกล้กัน นิ้วชี้ข้างขวาของเซวี่ยเหมยชี้ไปยังหว่างคิ้ว นิ้วมือทั้งคู่ข้างขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมรวมตรวนสลายลำคอ ทำให้บัดนี้พละกำลังของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดโครมครามหลายเท่าอีกครั้ง!
เขาในยามนี้ไม่ได้กั๊กพลังไว้แม้แต่นิด ร่ายเวทคาถาทั้งหมด…พลังในการสู้รบทั้งหมด! ทั้งยังมีหม้อกระดองเต่าปรากฏตัวคุ้มกันอยู่ด้านหน้า เอื้อมกรงเล็บพุ่งเข้าหาลำคอของเซวี่ยเหมย
ทว่าวินาทีที่จะสัมผัสโดนนั้นเอง ร่างของเซวี่ยเหมยพลันพร่าเลือนราวกับต้องการจะหลบเลี่ยง แต่มีหรือที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่เตรียมตัวมาก่อน แรงดึงดูดจากกลางฝ่ามือระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็น ไม่เพียงแต่กักร่างของเซวี่ยเหมยไว้ ยังทำให้นางมิอาจเคลื่อนไหวได้ด้วย ชั่วขณะที่นัยน์ตาของเซวี่ยเหมยเผยความตื่นตระหนกนั้นเอง หน้ากากบนใบหน้าของนาง…ถูกดึงออก…ไปพร้อมกัน
เผยให้เห็น…ใบหน้าที่ผิวพรรณนุ่มนวลบอบบางราวกับว่าแค่ดีดนิ้วก็สลาย งามเลิศล้ำเป็นหนึ่งในปฐพี!
ใบหน้านี้ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นอย่างชัดเจน ตลอดทั้งร่างของเขาก็ราวกับมีสายฟ้านับหมื่นนับแสนฟาดใส่ สมองดังอึงอลราวกับจะระเบิดออก เขารู้สึกเหลือเชื่อจนร้องอุทานเสียงหลง
“ตู้ตู้น้อย!!”