บทที่ 262 ลูกบุญธรรมของบุรพาจารย์!
“เย่จั้ง เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ามีโทษ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะพูดจบ เสียงฮึดฮัดเย็นชาก็ดังออกมาจากปากของบุรพาจารย์ตระกูลซ่งที่นั่งอยู่บนแท่นหิน แต่ละคำราวเสียงอสนีบาต ดังสะท้อนไปทั่วถ้ำ ทำให้ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดเสียงดังอึงอล แก้วหูสั่นสะเทือน
แม้แต่ตบะในร่างก็ยังสั่นคลอนไปด้วย คล้ายถูกเสียงนี้เขย่าให้แตกกระจาย ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดขาว ในความรู้สึกของเขา บุรพาจารย์ตระกูลซ่งในเวลานี้ประหนึ่งกลายมาเป็นมหาสมุทรพิโรธ และตนก็คือเรือลำน้อยที่ล่องลอยอยู่กลางมหาสมุทรบ้าคลั่งแห่งนี้ สามารถถูกกลบทับทำลายได้ตลอดเวลา
เขาเกือบจะข่มใจไม่ไหวขยับความคิดไประงับตบะของอีกฝ่าย ยังดีที่ความวู่วามนี้ถูกกดกลั้นลงไปได้ นึกถึงคำพูดของซ่งจวินหว่านก่อนหน้านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนยากที่จะแยกแยะได้ว่าจริงหรือเท็จ ทว่าย้อนนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยมีร่วมกับอีกฝ่าย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กัดฟัน ฝืนเงยหน้าขึ้นภายใต้บารมีของบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง จ้องเขม็งไปที่เขา
“เย่จั้งมีโทษอันใด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเน้นย้ำทีละคำ เผยความห้าวหาญและเย็นชา ปราณเลือดบนร่างก็ยิ่งแผ่ออกมา แม้แต่น้ำเสียงก็ยังเย็นเยียบ
“บุตรโลหิตเขาจงเฟิง จะเกิดขึ้นได้ระหว่างซ่งจวินหว่านและตู้เซวี่ยเหมยเท่านั้น ไม่ว่าจะมีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น หากคนอื่นกลายเป็นบุตรโลหิตก็ต้องเอาตำแหน่งนี้คืน!”
“เจ้าได้รับตำแหน่งที่ไม่สมควรเป็นของเจ้า ข้าผู้อาวุโสต้องการเอามันกลับคืน เจ้ายอมหรือไม่” บุรพาจารย์ตระกูลซ่งเอ่ยปากเนิบนาบ
“ข้าเย่จั้งซื่อสัตย์ภักดีต่อสำนัก ทั้งยังสร้างคุณความดีนับไม่ถ้วน แค่ตำแหน่งบุตรโลหิตเล็กๆ หากข้าไม่ได้มาครองก็ยังไม่เท่าไหร่ ในเมื่อได้มาครองแล้ว บุรพาจารย์คิดจะเอาคืนก็เอาคืน ข้าเย่จั้งต่อต้านไม่ได้ ทว่าข้า…ไม่ยินยอม!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตึงเครียดไม่เป็นสุข แต่กลับมองออกถึงอะไรบางอย่าง
หากอีกฝ่ายคิดจะเอาตำแหน่งบุตรโลหิตของตนกลับไปจริงก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรไร้สาระให้มากความ ฆ่าเขาทันทีเลยก็สิ้นเรื่อง
แต่นี่เขากลับพูดมากขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าบุรพาจารย์ตระกูลซ่งไม่คิดจะเอาตำแหน่งนี้กลับไปจริงๆ อีกอย่างที่สำคัญที่สุดก็คือเกรงว่าตำแหน่งบุตรโลหิตคงเอากลับคืนไปไม่ง่ายขนาดนั้น ต่อให้ตนตายไปจริงๆ คิดจะรอให้บุตรโลหิตคนต่อไปถือกำเนิดขึ้น ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็คงทำไม่ได้
มิฉะนั้น หลายปีมานี้เขาจงเฟิงก็คงไม่มีทางไม่มีบุตรโลหิตปรากฏขึ้นเสียทีแบบนี้
คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งแสดงออกถึงความเด็ดเดี่ยวมากยิ่งขึ้น
บุรพาจารย์ตระกูลซ่งมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้งก็แค่นเสียงเย็น
“นังหนูซ่งจวินหว่านนั่นรู้ความชื่นชอบของข้า คงจะสอนเจ้าหลายเรื่องเลยสินะ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ไม่ได้พูดอะไร
“เย่จั้ง เจ้ายินดีรับข้าผู้อาวุโสเป็นพ่อบุญธรรม กลายมาเป็นลูกบุญธรรมของข้าหรือไม่!” บุรพาจารย์ตระกูลซ่งสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งแล้วลุกขึ้นยืนบนแท่นหิน เอ่ยปากเนิบนาบ แต่น้ำเสียงกลับดังสนั่นหวั่นไหว ระเบิดอยู่ในถ้ำแห่งนี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่น ทั้งยังสะท้านสะเทือนไปกับคำพูดตรงๆ เช่นนี้ของบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง แม้ว่าคนทั้งสองจะมีความต่างมหาศาลในด้านตบะและอายุ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงมองออกว่าตอนที่บุรพาจารย์ตระกูลซ่งพูดประโยคนี้ออกมา ไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่ให้ความสำคัญกับตนจริงๆ
ในใจเขาพลันรู้สึกสะเทือนอารมณ์และซับซ้อน หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ก็ประสานมือโค้งตัวต่ำคารวะบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง
“เย่จั้งคารวะท่านพ่อบุญธรรม!”
บุรพาจารย์ตระกูลซ่งที่เดิมทีใบหน้าเคร่งขรึม บัดนี้เผยรอยยิ้มออกมา นัยน์ตาแฝงเร้นไว้ด้วยความชื่นชมซึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนมองไม่เห็น อันที่จริงแล้วใครก็ตามที่กลายเป็นบุตรโลหิต สำหรับเขาแล้วล้วนไม่ใช่สิ่งที่สำคัญเท่าไหร่นัก ที่สำคัญก็คือ…คนผู้นี้ไม่เพียงแต่ต้องใกล้ชิดกับตระกูลซ่ง ทั้งยังต้องมีความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของตัวเองด้วย
บุตรโลหิต คือหน้าตาของสำนักธาราโลหิต ควบคุมพลังของหนึ่งยอดเขา ทั้งยังเป็นบทบาทที่มีประโยชน์อย่างถึงที่สุดในสงครามที่จะมาถึงในอนาคต คนแบบนี้ถึงจะเป็นบุคคลที่สำนักธาราโลหิตต้องการ
และเขาก็จับตามองเย่จั้งมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนิสัยใจคอหรือฝีมือ ล้วนทำให้เขาพึงพอใจได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะวิถีโอสถที่ยิ่งน่าตะลึง ทำให้เขาชื่นชมอย่างมาก
สิ่งเดียวที่เขาไม่พอใจก็คือรากฐานของเย่จั้งไม่มั่นคงพอ สร้างฐานรากวิถีมนุษย์ ในสายตาของเขานี่คือจุดอ่อนซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของตัวเย่จั้งเองในวันหน้า
“สงครามใกล้จะเริ่มต้นขึ้น หากเจ้าสร้างคุณงามความดีด้านการสู้รบ ข้าผู้อาวุโสจะออกหน้าปรึกษากับบุรพาจารย์คนอื่นๆ ให้เจ้าฝืนชะตาฟ้า สร้างมหาสมุทรวิญญาณขึ้นมาใหม่ แม้จะไม่สามารถทะยานขึ้นฟ้าได้ในก้าวเดียว ทว่าจะทำให้เจ้ามีความมั่นใจมากขึ้นที่จะใช้วิถีมนุษย์รวมโอสถ”
“เมื่อรวมโอสถแล้วเจ้าก็จะเป็นอังคุฐโลหิต อนาคตจะเดินไปถึงจุดไหน ต้องดูที่บุญวาสนาของตัวเจ้าเอง ทว่าด้วยความโชคดีของเจ้า ไม่แน่ว่าอาจจะเดินไปบนเส้นทางที่เป็นของตัวเจ้าเองได้จริงๆ” ใบหน้าที่เคร่งขรึมของบุรพาจารย์ตระกูลซ่งคลายลง น้ำเสียงก็อ่อนโยนขึ้นมาบางส่วน เขายกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง โคมสีม่วงขนาดเท่ากำปั้นดวงหนึ่งก็ลอยออกมาจากชายแขนเสื้อของเขา บินมาลอยอยู่ด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน
“ในเมื่อเจ้าเป็นลูกบุญธรรมของข้าผู้อาวุโส วัตถุชิ้นนี้ข้ามอบไว้ให้เจ้าใช้ป้องกันตัวเอง นี่คืออาวุธของข้าผู้อาวุโสชิ้นหนึ่งในปีนั้น สามารถปลดปล่อยไฟโลหิต เผาทำลายทุกสิ่ง เทียบเคียงได้กับพลังโจมตีหนึ่งครั้งของรวมโอสถทั่วไป”
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองโคมไฟสีม่วงที่อยู่ด้านหน้าตัวเอง มองออกว่านี่ต้องเป็นของที่บุรพาจารย์ตระกูลซ่งรักมากอย่างแน่นอน คงจะเอามาหล่อเลี้ยงด้วยความอบอุ่นอยู่ในมือเป็นประจำ มันเปล่งประกายแสงที่อ่อนโยน เป็นวัตถุวิเศษที่ไม่ธรรมดาอย่างมาก ถึงกระทั่งที่ว่าความรู้สึกดุเดือดรุนแรงซึ่งพุ่งมาปะทะใบหน้านั้น ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายกำลังเผชิญหน้ากับเปลวไฟร้อนแรงกองหนึ่ง
และการที่อีกฝ่ายเอาวัตถุชิ้นนี้มอบให้ตน ก็เห็นได้ชัดว่าเขามองตนเป็นบุตรบุญธรรมจริงๆ
คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่รับเอาของวิเศษมาด้วยความปิติยินดี ขณะเดียวกันความซับซ้อนก็เพิ่มมากขึ้นด้วย
“ขอบคุณท่านพ่อบุญธรรมมาก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนก้มหน้า กล่าวเสียงเบา
“ตัวเจ้าเป็นบุตรโลหิต สามารถสร้างถ้ำแห่งหนึ่งขึ้นมาที่เขาจู่เฟิงได้ เข้าออกสถานที่แห่งนี้ได้ตามใจชอบ ทั้งยังเป็นบุตรบุญธรรมของข้า อนุญาตให้เจ้ามาพบข้าผู้อาวุโสได้ตลอดเวลา เรื่องที่เกี่ยวกับตบะ หากมีจุดไหนไม่เข้าใจ ข้าผู้อาวุโสจะช่วยให้คำตอบกับเจ้าเอง” บุรพาจารย์ตระกูลซ่งพูดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งเด่นชัดมากขึ้น นัยน์ตาฉายแววให้กำลังใจ
“ออกไปเถอะ เจ็ดวันให้หลัง จะมีงานบุตรโลหิตขึ้นดำรงตำแหน่ง ประกาศให้ใต้หล้ารู้ว่า เย่จั้ง…กลายเป็นบุตรโลหิตของเขาจงเฟิงแห่งสำนักธาราโลหิต!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะจบลงง่ายดายขนาดนี้ อีกทั้งคำพูดของบุรพาจารย์ตระกูลซ่งและความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้ก็เหมือนว่าให้ความสำคัญกับตนมากจริงๆ จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนไปจากถ้ำของบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง กลับมาถึงเขาจงเฟิง นั่งอยู่ในถ้ำสถิตของตัวเอง เขายังรู้สึกว่าทุกอย่างนี้ราวกับความฝันแรกเริ่มคือพบว่าเซวี่ยเหมยคือตู้หลิงเฟย จากนั้นตัวเองไม่เพียงแต่กลายเป็นบุตรโลหิต ยังได้เป็นมารโลหิตด้วย แถมบุรพาจารย์ตระกูลซ่งก็ยังรับตนเป็นบุตรบุญธรรม ทั้งหมดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่า…สำนักธาราโลหิตช่างดีกับตนยิ่งนัก จนเขารู้สึกเกรงใจไม่น้อย
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกซาบซึ้งใจ สีรัตติกาลเริ่มมืดมากขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้ากระตุก เงยหน้าขึ้นมองไปยังนอกถ้ำ ไม่นานก็มีเสียงหนึ่งที่แฝงไว้ด้วยความเคารพนบนอบดังออกมาจากนอกถ้ำ
“ท่านเย่จั้ง เสินซ่วนจื่อขอพบ”
นอกถ้ำ เสินซ่วนจื่อยืนทำหน้าตาประจบอยู่ตรงนั้น เอ่ยปากด้วยความระมัดระวัง เต็มไปด้วยความเคารพนบนอบ หลังจากที่เขาได้เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลายเป็นบุตรโลหิต เขาก็กระวนกระวายใจ พอนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เคยผ่านมา เขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
ไม่กล้าโอ้เอ้ พอสัมผัสได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมาแล้วจึงเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่อย่างไม่เสียดาย รีบมาเยี่ยมเยือนอีกฝ่าย
ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังครุ่นคิดเรื่องในใจ ถูกเสินซ่วนจื่อขัดจังหวะเลยอารมณ์เสียอย่างมาก จึงตอบกลับไปอย่างเย็นชา
“มีเรื่องอันใด!”
น้ำเสียงดังออกจากถ้ำมาเข้าหูเสินซ่วนจื่อ พอได้ยินเขาก็ใจหายวาบ แอบร้องทุกข์อยู่กับตัวเอง ใคร่ครวญว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูไม่เป็นมิตร นี่แสดงว่าคงวางแผนจะคิดบัญชีย้อนหลังกับตน ในสมองอดมีความคิดนับไม่ถ้วนที่อีกฝ่ายจะใช้จัดการตนลอยขึ้นมาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นขังตนไว้ในคุกโลหิต หรือว่าส่งตนไปที่สนามรบ มีวิธีการมากมายเหลือเกินที่จะเล่นงานตนจนตายได้
โดยเฉพาะตัวเขาเป็นผู้อาวุโสของเขาจงเฟิง ยังไงก็คงหนีไม่พ้นและโดนข้อหากบฏ เวลานี้ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งหวาดกลัว ด้วยความร้อนใจระหว่างความเป็นความตาย สุดท้ายจึงกัดฟันคุกเข่าพรวดลงไปอยู่ที่พื้นนอกถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน
“ขอบุตรโลหิตโปรดเมตตา ผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อย ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ประสา ขอบุตรโลหิตโปรดเปิดใจให้กว้าง ข้ายินดีมอบยันต์พลังเทพเจ้าดึกดำบรรพ์หนึ่งแผ่นที่ได้รับมาโดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อน ขอบุตรโลหิตโปรดยับยั้งความโกรธ” ระหว่างที่พูด เสินซ่วนจื่อข่มกลั้นความเจ็บปวดใจ หยิบเอายันต์สีเขียวแผ่นหนึ่งออกมา
คลื่นดึกดำบรรพ์ที่แผ่ออกมาจากยันต์ชิ้นนี้ เพิ่งจะหยิบออกมา ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในถ้ำก็ยังสัมผัสได้ทันที ในใจเขากระตุกน้อยๆ ลุกขึ้นเดินออกไปนอกถ้ำ หยุดอยู่ด้านหน้าเสินซ่วนจื่อ รับเอายันต์ชิ้นนั้นมา หลังจากมองดูอยู่หลายครั้ง ใจของเขาก็เต้นกระหน่ำรุนแรง
วิธีการหลอมยันต์พลังเทพเจ้าดึกดำบรรพ์แผ่นนี้ไร้ผู้สืบทอดไปนานแล้ว สามารถทำให้พลังกล้ามเนื้อของคนเพิ่มขึ้นพรวดพราดได้ในระยะเวลาสั้นๆ ยิ่งพลังกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง หลังจากที่ใช้มัน พละกำลังก็จะยิ่งทรงพลัง
สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว หากเอามาใช้ พลังในการรบของเขาก็จะไต่ถึงระดับที่น่าตะลึง
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเสินซ่วนจื่อหนึ่งครั้ง เก็บเอายันต์นี้ไว้ในถุงเก็บของ ไอแห้งๆ หนึ่งที
“ทุกคนล้วนเป็นสหายร่วมสำนัก เจ้าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ เรื่องในอดีตที่ผ่านมาข้าลืมไปนานแล้ว” ระหว่างที่พูดเขายังตบไหล่ของเสินซ่วนจื่อไปด้วย
เสินซ่วนจื่อที่เดิมทีกระวนกระวายไม่เป็นสุข หวาดกลัวความตาย พอได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตื้นตันขึ้นมาทันที ความรู้สึกที่เหมือนรอดชีวิตมาจากความตาย และการกระทำที่ใจกว้างมีน้ำใจเช่นนี้ของอีกฝ่าย ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจ
ดังนั้นจึงโค้งคำนับติดต่อกัน สาบานว่าจะติดตามเป็นข้ารับใช้ของเย่จั้ง หลังจากมองเห็นรอยยิ้มน้อยๆ แห่งความพอใจที่แฝงไปด้วยการให้กำลังใจของป๋ายเสี่ยวฉุน เสินซ่วนจื่อก็ยิ่งประทับใจ จากนั้นถึงได้จากไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ประจักษ์แจ้งขึ้นมาทันควัน เขารู้สึกว่าด้วยตำแหน่งของตัวเองในเวลานี้ ขอแค่เผยความปราณีออกมาเล็กน้อยก็จะได้รับผลตอบแทนกลับมาอีกหลายเท่าตัว