Skip to content

A Will Eternal 263

บทที่ 263 ขโมยของวิเศษในห้องหญิงสาว!

เวลาเจ็ดวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในเจ็ดวันนี้ นักพรตจำนวนไม่น้อยของเขาจงเฟิงต่างก็พากันมาเยี่ยมเยียน หรือแม้แต่คนของยอดเขาอื่นๆ ต่างก็ส่งบัตรเชิญมาให้ แทบจะทุกคนที่มาล้วนต้องพกเอาของขวัญชิ้นใหญ่มา ด้วยปรารถนาที่จะคลี่คลายความขัดแย้งกับป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้

ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้วิธีการที่ตัวเองครุ่นคิดขึ้นมาใหม่ปฏิบัติกับคนที่แวะมาหาเฉกเช่นที่ปฏิบัติต่อเสินซ่วนจื่อ พอถึงท้ายที่สุด ชื่อเสียงของเขาในสำนักธาราโลหิตจึงแผ่ออกไปกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ทั้งยังมีคนไม่น้อยที่ต่างรู้สึกซาบซึ้งใจในตัวเขา เผยให้เห็นถึงความประสงค์ที่จะติดตามรับใช้

ป๋ายเสี่ยวฉุนพึงพอใจเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าครั้งนี้ตัวเองจัดการเรื่องราวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ใคร่ครวญว่าต่อไปควรจะใช้วิธีนี้ให้มากขึ้น

เจ็ดวันต่อมา พิธีดำรงตำแหน่งของบุตรโลหิตถูกจัดขึ้น วันนี้นักพรตตลอดทั้งสำนักธาราโลหิตล้วนปรากฏตัว ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสไท่ซ่างหรืออังคุฐโลหิต หรือแม้แต่บุรพาจารย์เองก็ยังปรากฏตัวถึงสี่คน ภายใต้สายตาของผู้คนนับหมื่นจับจ้อง ป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้นดำรงตำแหน่ง!

เมื่อซ่งจวินหว่านที่มีฐานะเป็นผู้อาวุโสใหญ่มอบชุดคลุมยาวสีเลือดให้ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือแล้วสวมชุดคลุมยาวสีเลือดนั้นไว้บนร่าง วินาทีนั้น ใบหน้าเคร่งขรึมของเย่จั้งที่สวมชุดคลุมยาวสีเลือดจึงเต็มไปด้วยอำนาจและบารมี

นักพรตเขาจงเฟิง รวมไปถึงซ่งจวินหว่าน ล้วนพากันนั่งคุกเข่าคำนับ

“คารวะบุตรโลหิต!”

เสียงนี้ดังก้อง สะท้อนไปสี่ทิศ ขณะเดียวกันเขาจงเฟิงก็ระเบิดปราณเลือดสะท้านฟ้าสะเทือนดินออกมา ปราณเลือดนี้แผ่ขยายไปสี่ทิศ ดุจดั่งเสาที่ค้ำยันท้องฟ้า

บัดนี้นามของเย่จั้งได้ถูกบันทึกลงในตำราประวัติศาสตร์ของสำนักธาราโลหิตเป็นที่เรียบร้อย เขาได้กลายมาเป็นบุตรโลหิตของเขาจงเฟิง…ในรุ่นนี้

นักพรตของยอดเขาอื่นๆ ก็พากันประสานมือคารวะ แม้จะไม่ได้คุกเข่าคำนับ แม้จะไม่ใช่บุตรโลหิตของยอดเขาพวกเขาเอง ทว่าตำแหน่งบุตรโลหิตได้ถูกกำหนดขึ้นมาแล้ว ใครก็ตามที่ไม่แสดงความเคารพจะถือว่าละเมิดกฏข้อสำคัญของสำนัก

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองลูกศิษย์ที่นั่งคุกเข่า ในใจปลงอนิจจังครั้งแล้วครั้งเล่า ความคิดมากมายทอดยาวออกไปต่อเนื่อง

ตำหนักบุตรโลหิตของเขาจงเฟิง หลายปีมานี้ไม่มีใครมีสิทธิ์ได้อาศัยอยู่ที่นี่ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป มันจึงมีเจ้าบ้านแล้ว ที่นั่นจะกลายมาเป็นถ้ำที่อยู่อาศัยของป๋ายเสี่ยวฉุน คนนอกไม่สามารถมาเรียกตัว ไม่สามารถเหยียบย่างเข้ามาได้แม้เพียงครึ่งก้าว

ต่อให้เป็นผู้อาวุโสใหญ่อย่างซ่งจวินหว่าน ก็ไม่มีข้อยกเว้น

งานพิธีขึ้นดำรงตำแหน่งนี้ดำเนินไปได้ครึ่งวันถึงยุติลง จากนั้นผู้อาวุโสใหญ่และบุตรโลหิตของอีกสามเขาที่เหลือจึงทยอยกันมาเยี่ยมเยียน จัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นอีกครั้งในตำหนักบุตรโลหิตเขาจงเฟิง

ท่ามกลางเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ ความรู้สึกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมอบให้กับคนอื่น ไม่มีจุดใดที่ดูไม่เหมาะสม ซ่งจวินหว่านคอยให้การรับรองอยู่ด้านข้าง หลายครั้งที่หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน ความซับซ้อนในดวงตาหายไปแล้ว แทนที่ด้วยประกายสดใสที่มากขึ้น

เพียงแต่ว่าตั้งแต่เริ่มงานจนถึงตอนนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่เห็นเซวี่ยเหมยปรากฏตัว แม้แต่บุรพาจารย์อู๋จี๋จื่อก็ไม่เห็น จนกระทั่งงานเลี้ยงจบลง ทุกคนแยกย้ายกันไปหมด ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งอยู่ในตำหนักบุตรโลหิตเพียงลำพัง ทอดสายตามองออกไปไกล เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึง…อำนาจ

“ตลอดทั้งเขาจงเฟิง…ความเป็นความตายของทุกคน อยู่ที่หนึ่งความคิดของข้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเสียงเบา มองดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนคล้อยลงต่ำ เขาจงเฟิงที่เขาอยู่มีคลื่นเคลื่อนไหวส่งผ่านมาตลอดเวลา คลื่นนั้นขานรับกับร่างกายของเขา

นี่คือพลังพิเศษที่จะมีเฉพาะคนเป็นบุตรโลหิตเท่านั้น ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เพียงแค่ขานรับกับเขาจงเฟิงอย่างเดียวเท่านั้น หากต้องการ เขายังถึงขั้นกำราบทุกสิ่งอย่างแทนบุตรโลหิตคนอื่นๆ ได้ในพริบตาด้วย

“ตู้หลิงเฟยไม่ต้องการพบหน้าข้า ทว่าปัญหาของข้ามีคำตอบแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว พึมพำเสียงเบาอยู่ในใจ เขาสามารถขึ้นครองตำแหน่งบุตรโลหิตได้ นั่นก็หมายความว่าจนถึงตอนนี้ในสำนักธาราโลหิต ยังไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา

นี่อธิบายทุกอย่างได้ชัดเจน ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงปล่อยวาง

“ทางเลือกของทุกคนไม่เหมือนกัน บางที เจ้าอาจมีทางเลือกของตัวเจ้าเอง” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงันอยู่ชั่วครู่ บัดนี้ลึกๆ ในใจสามารถวางทุกอย่างลงได้อย่างแท้จริงแล้ว

เพียงแต่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่คิดจะอยู่ในสำนักธาราโลหิตต่อนานนัก ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลส่วนตัวของเขาหรือสงครามที่กำลังจะปะทุขึ้นก็ล้วนไม่อนุญาตให้เขาอยู่ที่นี่ต่อ

“ถึงเวลาที่ต้องจากไปแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจเบาๆ เมื่อก้มหน้าลงก็มองไปยังทิศทางที่ตั้งของถ้ำผู้อาวุโสใหญ่ซ่งจวินหว่าน

ในฐานะที่เป็นบุตรโลหิต ป๋ายเสี่ยวฉุนมีวิธีการมากมายสามารถดึงตัวซ่งจวินหว่านออกไปแล้วจากนั้นก็เข้าไปในถ้ำสถิตของนาง ข้อห้ามทุกอย่าง เด็กรับใช้นอกถ้ำของซ่งจวินหว่านทุกคน ป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย

เพียงแต่ว่าภารกิจที่ว่านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้เลือกส่งเดช แต่ใช้อำนาจบุตรโลหิตของเขาสร้างภารกิจหนึ่งขึ้นมาเพื่อซ่งจวินหว่านโดยเฉพาะ

จัดการให้ซ่งจวินหว่านไปยังสถานที่สืบทอดลับในสำนักธาราโลหิต ที่นั่นมีการประจักษ์แจ้งของบุตรโลหิตในแต่ละรุ่นหลังรวมโอสถ สำหรับซ่งจวินหว่านที่อยู่ในขั้นสร้างฐานรากสมบูรณ์แบบใกล้จะรวมโอสถแล้ว เมื่อไปอยู่ในสถานที่สืบทอดลับ นางจะได้รับผลพวงมากมหาศาล

อีกทั้งนี่ยังเป็นสถานที่ลับที่มีเพียงบุตรโลหิตเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ ต่อให้เป็นบุรพาจารย์เองก็ยังไม่สามารถส่งคนเข้าไปก้าวก่าย นอกเสียจากว่าบุตรโลหิตรุ่นนั้นๆ จะมอบสิทธิ์ส่วนนี้ให้กับคนอื่น

หลังจากซ่งจวินหว่านได้ยินเรื่องนี้ ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาจึงเผยประกายชีวิตชีวาที่ราวกับว่าสามารถหลอมละลายทุกอย่างได้ ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกรับไม่ค่อยไหว แอบร้องในใจว่านางมารร้าย

กว่าจะส่งซ่งจวินหว่านจากไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย วันเดียวกันนั้น เด็กรับใช้นอกถ้ำของซ่งจวินหว่านก็ถูกดึงตัวออกไปด้วยอุบัติเหตุบางอย่าง ทำให้ถ้ำของซ่งจวินหว่านอยู่ในสภาวะไร้คนเฝ้าอย่างหาได้ยาก

แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะยังไงซะในสำนักธาราโลหิตก็ไม่มีใครอาจหาญถึงขนาดบุกเข้าไปในถ้ำของผู้อาวุโสใหญ่อยู่แล้ว อีกทั้งนี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีความหมายด้วย

หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเดินลงมาจากตำหนักบุตรโลหิตอย่างสงบ เดินขึ้นไปบนเขาจงเฟิง ตอนนี้เป็นช่วงสายัณห์ ขอบฟ้าเป็นสีส้มอมเหลือง มีลมพัดมาเบาๆ รอบด้านไม่มีเงาคน มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวที่เดินไปยังถ้ำของซ่งจวินหว่านเงียบๆ

เดินผ่านทะเลสาบโลหิตมาหยุดอยู่หน้าประตูใหญ่ของถ้ำ มือขวาของเขายกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ค่ายกลตลอดทั้งเขาจงเฟิงล้วนอยู่ในกำมือของเขา แค่โบกทีเดียว ประตูใหญ่ของถ้ำก็เปิดออกอย่างเงียบเชียบ

หลังจากประตูใหญ่เปิดออก หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เต้นเร็วขึ้นมาน้อยๆ นัยน์ตาของเขาเผยความคาดหวังอันรุนแรง เขามาอยู่ที่สำนักธาราโลหิตไม่ใช่ระยะเวลาสั้นๆ แล้ว จากแรกเริ่มที่ไม่เป็นที่รู้จัก จนถึงกระทั่งตอนนี้ที่เป็นดั่งดวงสุริยากลางฟากฟ้า ทั้งหมดนี้ก็เพื่อวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญ

ตอนนี้วัตถุที่ว่าอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แค่เอื้อมมือคว้าก็ถึง!

“วัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญ…จะเป็นอะไรกันแน่นะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เดินเข้าไปในถ้ำของซ่งจวินหว่าน สถานที่แห่งนี้เขาคุ้นเคยดี ตอนนี้จึงชะลอฝีเท้า ไม่นานก็มาถึงส่วนในของถ้ำ ซึ่งก็คือห้องส่วนตัวของซ่งจวินหว่าน

มองรอบห้องที่ตกแต่งแบบผู้หญิงอย่างชัดเจน ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเหมือนพวกโรคจิตมาขโมยดมกลิ่นของอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น

ในห้องส่วนตัวนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนทำจิตใจให้สงบ แล้วยกมือขวาขึ้นทำมุทราชี้ลงไปที่พื้น ปราณเลือดเส้นหนึ่งกลายร่างเป็นกระบี่แทงทะลุพื้นดินลงไป เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ทันที

หลังจากที่มันแทงลงลึกอย่างต่อเนื่อง ในตำแหน่งลึกลงไปหลายจั้งใต้หลุมใหญ่นี้ ปราณกระบี่ของป๋ายเสี่ยวฉุนกระทบเข้ากับพื้นผิวอย่างหนึ่งที่เหมือนโลหะ ทั้งที่ปราณกระบี่แข็งแกร่ง ทว่ากลับไม่ส่งผลใดๆ ต่อมันแม้แต่นิด กลับกลายเป็นว่าพอกระทบเข้าด้วยกัน ปราณกระบี่กลับแตกทลายทันควัน

ถึงขั้นที่ว่าหากไม่ได้เห็นด้วยตาเปล่า ต่อให้ใช้พลังจิตก็ยังมองไม่เห็น ราวกับว่ามันไม่ได้ดำรงอยู่จริง

ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องเอ๊ะเบาๆ หนึ่งครั้ง เหยียบย่างเข้าไปในหลุมใหญ่ มองเห็นว่าก้นหลุมแห่งนี้คือแผ่นเหล็กสีน้ำตาลเข้ม แผ่นเหล็กนี้ใหญ่มาก ปกคลุมไปตลอดทั่วทั้งหลุม

“ที่นี่แหละ!” พอป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือขวาขึ้นมาลูบคลำก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบทะลุกระดูกทันที ไอเย็นนั้นราวกับเข็มที่ทิ่มแทงเข้ามาในร่างกาย ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้วิธีการมากมายนับไม่ถ้วนมาต้านทานแต่กลับไร้ผล จนกระทั่งโคจรวิชาอมตะมิวางวาย ความรู้สึกนั้นถึงได้หายไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือขวาขึ้นมาทำมุทราแล้วชี้ไปยังที่ตั้งของแผ่นเหล็ก ปราณเลือดแปลงเป็นกระบี่ ขยายขนาดอย่างต่อเนื่องอยู่ในขอบเขตของแผ่นเหล็กนี้ จนกระทั่งส่วนในของหลุมใหญ่เกิดพื้นที่กว้างขวางขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน ในที่สุดแผ่นเหล็กจำนวนมากกว่าเดิมก็เผยตัว

โดยเฉพาะอักขระตัวหนึ่งที่โผล่ออกมา อักขระตัวนี้ถูกสลักอยู่บนแผ่นเหล็ก ซับซ้อนอย่างมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนมองความหมายแฝงของมันไม่ออก แต่มองเห็นว่าจุดศูนย์กลางของอักขระนี้มีตำแหน่งหนึ่งเว้าลงไป ราวกับว่าสามารถวางยาได้เม็ดหนึ่ง

ไม่ได้หยิบเอายาเม็ดนั้นที่เขาหลอมในสำนักธาราเทพออกมาทันที ป๋ายเสี่ยวฉุนศึกษาแผ่นเหล็กที่ยังคงมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดแผ่นนี้อยู่อีกครู่หนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันสูดลมหายใจเข้าลึก

“เขาจงเฟิงแห่งนี้ อันที่จริงแล้วก็คือตำแหน่งนิ้วกลางมือขวาของบรรพบุรุษโลหิต…ถ้าเช่นนั้นแผ่นเหล็กนี่บางทีอาจเป็นห่วงเหล็กวงหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วกลางของมือขวาบรรพบุรุษโลหิต!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่ตนได้ครอบครองบทสืบทอดแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองกลายร่างเป็นบรรพบุรุษโลหิต หลังจากคิดอย่างละเอียด เขาก็เริ่มมั่นใจว่านิ้วกลางมือขวาของบรรพบุรุษโลหิตจะสวมแหวนวงหนึ่งไว้จริง!

“อาวุธติดตัวมีหลายชนิด แหวนวงนี้…บางทีอาจเป็นอาวุธประจำตัวชิ้นหนึ่ง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็ยกมือขวาขึ้นมาตบถุงเก็บของ หยิบเอายาเม็ดนั้นออกมา วางลงตรงจุดเว้าลึกซึ่งอยู่ศูนย์กลางของตัวอักขระอย่างระมัดระวัง

วินาทีที่วางยาเม็ดนี้ลงไป มันก็หลอมละลายทันที หลังจากละลายหมด อักขระพลันเปล่งประกายระยิบระยับ ส่องแสงจัดจ้าบาดตา ยังดีที่อยู่ในถ้ำ มิฉะนั้นคนนอกคงมองเห็นแสงนี้ตั้งแต่ไกลๆ แล้ว

ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นรัวแรง ถอยหลังไปหลายก้าว จ้องเขม็งไปยังอักขระนั่น เนิ่นนาน แสงสว่างนี้ถึงได้ค่อยๆ หายไป เสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่นออกมา อักขระนั้นค่อยๆ เปลี่ยนแปลงอยู่ในสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน ราวกับว่าได้คลายผนึกบางอย่าง ไม่นานประตูบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนหายใจถี่กระชั้น มองประตูแสงบานนั้น หลังจากลังเลอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้กัดฟัน

“มาถึงขั้นนี้แล้ว จะยังไงก็หยุดไม่ได้เด็ดขาด ข้าอยากจะรู้นักว่าวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญนี้เป็นวัตถุแบบใดกันแน่!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พอเหยียบเข้าไปในประตูแสง ร่างก็หายวับไป

มาปรากฏตัวอีกครั้งในพื้นที่พร่าเลือนแห่งหนึ่ง ที่แห่งนี้มืดสนิท ไม่รู้ว่ากว้างใหญ่แค่ไหน เมื่อมองออกไป รอบด้านไม่มีอะไรอยู่สักอย่าง มีเพียงตำแหน่งตรงกลางที่วางกระดองเต่าขนาดหนึ่งฝ่ามือเอาไว้หนึ่งชิ้น

บนกระดองเต่านี้มีใบไม้สีทองแผ่นหนึ่งวางอยู่!

นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งของอย่างอื่นอีก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!