Skip to content

A Will Eternal 273

บทที่ 273 โจวซินฉี ข้าผู้แซ่ป๋ายจะมอบวาสนาให้เจ้าครั้งหนึ่ง

เพียงแต่ว่าความรู้สึกนี้เพิ่งจะเพิ่มสูงขึ้นได้ไม่นานนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาอีก ในใจเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ด้านหนึ่งก็ดีใจที่มองเห็นเถี่ยตั้นแข็งแกร่งขึ้น อีกด้านหนึ่งยังคงรู้สึกว่าตัวเองจะถูกเถี่ยตั้นแซงหน้าไม่ได้

“เถี่ยตั้นของข้าแข็งแกร่ง ข้าก็ต้องแข็งแกร่งเหมือนกันถึงจะถูก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน หยิบเอาเต่าน้อยขึ้นมาเขย่าอย่างดุเดือดอีกครั้ง ต้องการบำเพ็ญตบะต่อ…

เพียงแต่ว่าครั้งนี้เขย่าอยู่นานพอครึ่งชั่วยาม เขย่าจนปวดมือไปหมด ทว่าเต่าน้อยที่ราวกับตุ๊กตาผ้าตัวนั้นกลับยังคงไม่ส่งกลิ่นหอมใดๆ ออกมาแม้แต่นิดเดียว

ป๋ายเสี่ยวฉุนจนใจเล็กน้อย รู้สึกว่าเจ้าเต่าน้อยนี่ช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก ทำได้เพียงยอมแพ้ชั่วคราว เขานั่งขัดสมาธิเอามือเท้าคาง ครุ่นคิดอย่างหนัก เถี่ยตั้นที่อยู่ด้านข้างแม้ว่าจะฉลาด แต่กลับไม่รู้ถึงสภาพจิตใจที่ขัดแย้งกันของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ มองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้สนใจตัวเอง มันจึงถือโอกาสวิ่งออกไปเล่นเสียเลย

หลายวันมานี้เนื่องจากต้องอยู่เฝ้าพิทักษ์ป๋ายเสี่ยวฉุน มันเลยไม่เคยได้ออกไปเดินเล่นข้างนอก เวลานี้พอวิ่งออกมาจากหอเรือนได้จึงคำรามเสียงดังหนึ่งครั้งแล้วบินห่างออกไปไกล…

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเถี่ยตั้นจากไปด้วยความคึกคักแล้วก็ถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง ขมวดคิ้วแน่น ครุ่นคิดต่อเนื่อง

“ต้องยังมีวิธีอะไรสักอย่างที่สามารถทำให้ตบะของข้าเพิ่มสูงขึ้น คงคิดไปได้แค่ทางของยาวิเศษเท่านั้น…ยาวิเศษแบบใดกันแน่นะที่สามารถทำเช่นนี้ได้..” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำนวณตำรับยาที่ตัวเองเชี่ยวชาญ ทว่าคิดไปคิดมาก็ยังหาตำรับยาที่เหมาะสมไม่ได้ ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นการเพิ่มตบะแบบเชื่องช้าทั้งสิ้น

และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะยอมแพ้นั้นเอง ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพรวด ตบขาตัวเองป้าบใหญ่ ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายวิบวับ

“ยาทวนธารา!!”

“ใช่แล้ว ยังมียาทวนธารานี่นา!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม รีบหยิบเอาแผ่นหยกยาทวนธาราในถุงเก็บของออกมา ทั้งยังพลิกอ่านคัมภีร์โอสถหันเหมิน คัมภีร์โอสถนี้ตอนที่ยังไม่บรรลุซากปราการโอสถศักดิ์สิทธิ์ เขายังไม่เข้าใจ มาภายหลังถึงได้เข้าใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ผลพวงที่ได้รับมีมากมหาศาล

หลังจากศึกษาอย่างละเอียดแล้วจึงเปิดอ่านแผ่นหยกยาทวนธารา ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง

“ไม่จำเป็นต้องใช้พืชหญ้าใดๆ แต่ใช้น้ำของแม่น้ำทงเทียนมาหลอม…แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้เตาหลอมยาใดๆ แต่ใช้ร่างของตัวเองเป็นเตาหลอม…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเสียงเบา ตำรับยาที่หลายปีมานี้เขารู้สึกว่าพิลึกพิลั่น เวลานี้เนื่องจากความรู้วิถีโอสถที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากน้ำของแม่น้ำทงเทียนที่หลอมละลายเพราะคาถาลมปราณม่วงแปลงกระถาง ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงค่อยๆ ประจักษ์แจ้งมากขึ้น

แม้ว่าจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็พอเข้าใจอยู่บางส่วน

หลังจากขบคิดอยู่นาน ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปล่งแสงวาบ รีบออกไปข้างนอกทันที ไปที่ริมชายฝั่งของแม่น้ำทงเทียนซึ่งอยู่ใกล้กับชายฝั่งทิศเหนือ

สองชายฝั่งของแม่น้ำทงเทียนถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ต้องห้ามของสำนัก ต่อให้เป็นลูกศิษย์ฝ่ายใน หากไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักก็ยากที่จะเข้าไปใกล้ได้ มีเพียงตบะอยู่ในขั้นสร้างฐานรากและกลายเป็นผู้อาวุโสของสำนักแล้วเท่านั้น ทุกปีถึงจะสามารถมาที่นี่ตามจำนวนครั้งที่กำหนด เข้ามาใกล้ชายฝั่งของแม่น้ำทงเทียน เพื่อมาดูดซับเอาปราณวิญญาณอันน่าตะลึงซึ่งแผ่ออกมาจากแม่น้ำทงเทียนแห่งนี้ ช่วยให้ตบะเพิ่มสูงเร็วขึ้น

เพียงแต่ว่าปราณวิญญาณของที่นี่เข้มข้นเกินไป ต่อให้เป็นนักพรตสร้างฐานรากเอง หากอยู่นานเกินไปก็มิอาจรับได้ไหว พลังวิญญาณในร่างกายจะยุ่งเหยิงจนระเบิดออก

เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งมาถึงก็มองเห็นทันทีว่าห่างออกไปไม่ไกลมีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งสมาธิอยู่ คนสองคนนี้นั่งห่างกันไม่ไกลนัก ต่างก็กำลังดูดซับเอาปราณวิญญาณของแม่น้ำทงเทียนมาบำเพ็ญตบะ หญิงสาวสวมชุดคลุมยาวสีฟ้าธารน้ำ รูปโฉมงดงาม ขณะที่หลับตาลง ขนตานางกระพือน้อยๆ ผิวพรรณนุ่มนิ่มบอบบาง พอป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นนางก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที

“ข้าก็ว่าแล้วว่าทำไมกลับมาคราวนี้ถึงได้รู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่าง ที่แท้ก็ไม่ได้เห็นศิษย์หลายซินฉีนี่เอง นางมาอยู่ที่นี่เองหรือ”

หญิงสาวผู้นี้ก็คือโจวซินฉี

ป๋ายเสี่ยวฉุนประเมินโจวซินฉีอยู่หลายครั้ง ตอนที่มองไปเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกายนาง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ขมวดคิ้วฉับ ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ผู้ชายคนนั้น…ก็คือซ่างกวานเทียนโย่ว!

ไม่รู้ว่าซ่างกวานเทียนโย่วฝึกวิชาอะไร ผมที่เคยเป็นสีดำของเขาถึงได้กลายมาเป็นสีทอง สยายประบ่า บวกกับใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา ทำให้ใบหน้าที่เดิมทีก็ทำให้คนมองอิจฉาได้อยู่แล้ว มาบัดนี้ยิ่งมีเสน่ห์ของความเป็นชายมากขึ้น

โดยเฉพาะบุคลิกลักษณะที่ยิ่งแตกต่างไปจากเดิม หากมายืนคู่กับเขาโดยที่ไม่เอ่ยนาม คนมากมายต้องมองข้ามป๋ายเสี่ยวฉุนไปอย่างแน่นอน คงเข้าใจกันไปว่าซ่างกวานเทียนโย่วต่างหากถึงจะเป็นสุดยอดศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ

และที่ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่พอใจก็คือบนหว่างคิ้วของซ่างกวานเทียนโย่วมีเส้นตรงหนึ่งเส้นคล้ายคลึงกับเนตรทงเทียนของป๋ายเสี่ยวฉุนมาก เพียงแต่ว่าลายเส้นที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงตา แต่เป็นตราประทับของกระบี่ที่ตั้งตรงเล่มหนึ่ง!

ปราณกระบี่มากมายหลายเส้นแผ่ออกมาจากตราประทับนั่น ทำให้ตลอดทั้งร่างของซ่างกวานเทียนโย่วราวกับกระบี่แหลมคมดุดันหนึ่งเล่ม!

“ปีนั้นได้ยินมาว่าซ่างกวานเทียนโย่วผู้นี้มีโชควาสนาครั้งใหญ่ติดตัว ไม่เพียงแต่มีคุณสมบัติน่าตกใจ ทั้งยังต้องสงสัยว่าเป็นอาจเซียนกระบี่บางคนที่กลับชาติมาเกิดด้วย เมื่อมองจากจุดนี้ เรื่องที่ว่านั่นคงจะมีมูลจริง” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังใคร่ครวญ มองระยะห่างระหว่างซ่างกวานเทียนโย่วและโจวซินฉี รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้มากว่าตอนที่ตนไม่อยู่สำนักธาราเทพ สองคนนี้คงจะมีความสัมพันธ์คลุมเครือบางอย่างต่อกัน

คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ เขาเชิดคางขึ้น ทำเสียงขึ้นจมูกหนึ่งครั้ง รู้สึกว่าต่อไปตนจำเป็นต้องหาโอกาสให้โจวซินฉีได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซ่างกวานเทียนโย่วสักหน่อย

เวลานี้ถอนสายตากลับมา ไม่ได้สนใจคนทั้งสอง แต่เลือกยืนอยู่บนชายฝั่งด้านหนึ่ง มองนิ่งไปยังแม่น้ำทงเทียน

ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้ฝึกคาถาลมปราณม่วงแปลงกระถาง สำหรับแม่น้ำทงเทียนสีทองนี้ หากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีอาวุธวิเศษก็จะไม่สามารถเอามาได้

ทว่าตอนนี้ มีคาถาลมปราณม่วงแปลงกระถางอยู่กับตัว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ข้างแม่น้ำทงเทียน รวบรวมปราณและสมาธิให้แน่วนิ่ง เตรียมดึงเอาน้ำบางส่วนเพื่อมาใช้หลอมยาทวนธารา

ซ่างกวานเทียนโย่วที่อยู่ห่างไปไกลค่อยๆ เปิดดวงตาทั้งคู่ขึ้นมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง ส่วนลึกในดวงตาซ่อนเร้นความโหดเหี้ยมเอาไว้ ป๋ายเสี่ยวฉุนคือหนามแหลมที่ทิ่มแทงจิตใจของเขามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการประลองชายฝั่งเหนือใต้ก่อนสร้างฐานราก หรือภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในหุบเหวกระบี่อุกกาบาต และยังมีมหาเวทฉีกอาภรณ์ต่ำช้าหลังสร้างฐานรากนั่นอีก ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ซ่างกวานเทียนโย่วเกลียดป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ากระดูกดำ

โจวซินฉีที่อยู่ข้างกันดูเหมือนนั่งสมาธิ ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้ปิดจิตสัมผัสทั้งหมด ชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึง นางก็สัมผัสได้แล้ว เวลานี้คิ้วงามเลิกขึ้นน้อยๆ ดวงตาทั้งคู่ค่อยๆ เปิดขึ้น กวาดมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่บนชายฝั่งห่างออกไปไกล

สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ความรู้สึกของนางเปลี่ยนแปลงไปมากมาย จากแรกเริ่มนางรู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกระตือรือร้นมาก จนกระทั่งการเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวด้านการหลอมยาของอีกฝ่าย บวกกับความจริงเรื่องปีศาจคลั่งขโมยไก่ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทำให้โจวซินฉีเองก็พูดไม่ออกว่านางมีความรู้สึกอย่างไรกับป๋ายเสี่ยวฉุนกันแน่

ที่สำคัญที่สุดก็คือ หลายปีผ่านไปขนาดนี้ เรื่องที่ว่าเจ้าเต่าน้อยลึกลับของเขาเซียงอวิ๋นในปีนั้นแท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่นั้น ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบอีกต่อไป นางรู้แจ่มแจ้งมาตั้งนานแล้วว่า เจ้าเต่าน้อยคนนั้น ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้

มิฉะนั้นแล้ว คนๆ หนึ่งย่อมไม่สามารถอยู่ดีๆ ก็โดดเด่นขึ้นมาบนเส้นทางสายโอสถ และคำตอบนี้ก็ทำให้ในใจนางเกิดความรู้สึกไม่สบอารมณ์ ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดหวังหลังจากที่จินตนาการและความเป็นจริงตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

รวมไปถึงงานอดิเรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนชอบให้คนอื่นเรียกตัวเองว่าอาจารย์อานั่นอีก นี่ก็ทำให้โจวซินฉีปวดหัวเหมือนกัน เวลานี้มองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำทงเทียน ทำท่าคล้ายจะเอาน้ำของแม่น้ำมา โจวซีนฉีจึงเลิกสนใจ ขณะที่กำลังจะหลับตาลงอีกครั้ง ทันใดนั้นนางก็ต้องเบิกตากว้าง

นางมองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ใช้อาวุธวิเศษตักน้ำ แต่ยกมือขวาขึ้นและทำท่าจะยื่นลงไปในแม่น้ำทงเทียน

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าคิดจะทำอะไร น้ำของแม่น้ำทงเทียนนั่นมิใช่สิ่งที่เจ้าจะสัมผัสได้ นักพรตสร้างฐานรากอย่างพวกเรา หากโดนน้ำนี่จะต้อง…” โจวซินฉีตะโกนสั่งสอนทันที ไม่ว่าอย่างไรคนทั้งสองก็เป็นสหายร่วมสำนักกัน โจวซินฉีไม่สามารถมองเห็นอีกฝ่ายบาดเจ็บเพราะแม่น้ำทงเทียนต่อหน้าต่อตาตัวเองแบบนี้ได้

ซ่างกวานเทียนโย่วก็เห็นภาพนี้เช่นกัน หัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ นัยน์ตามีแววเย้ยหยันวาบผ่าน คาดหวังอย่างยิ่งยวดให้ตลอดทั้งมือของป๋ายเสี่ยวฉุนละลายไปเพราะแม่น้ำทงเทียน ไม่ชอบใจการเอ่ยเตือนของโจวซินฉีเท่าไหร่นัก

แต่ชั่วขณะที่เขาไม่พอใจ คำพูดของโจวซินฉีดังออกไปนั้นเอง มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็จุ่มลงลึกเข้าไปในแม่น้ำแล้ว เขาตักเอาน้ำสีทองขึ้นมาประมาณครึ่งถ้วย เอาวางไว้บนปากแล้วสูดเข้าไปหนึ่งหยด แล้วจึงเชิดคางขึ้น เอ่ยปากเนิบช้า

“การมีที่ไม่มีเรียกดำรงอยู่ ความว่างที่ไม่ว่างเรียกความว่างเปล่าที่แท้จริง…” ประโยคนี้ เมื่อหลายวันก่อนเขาได้ยินหลี่ชิงโหวพูด ตอนนั้นรู้สึกว่าประโยคนี้ฟังแล้วลึกลับมหัศจรรย์อย่างมาก แม้จะไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร แต่คิดดูแล้วมันต้องมากพอทำให้คนฟังสะเทือนไปยังจิตวิญญาณได้แน่นอน ในที่สุดเวลานี้ก็ได้โอกาสเอามาพูด หลังจากเขาพูดประโยคนี้จบ ตลอดทั้งร่างของเขาก็แผ่ความลึกล้ำออกมา

โจวซินฉีตัวสั่นเยือก ฟังประโยคนี้แล้วลมหายใจของนางหยุดชะงัก คล้ายเข้าใจได้ถึงอะไรบางอย่าง แต่พอคิดอย่างละเอียดก็เหมือนว่าจะไม่เข้าใจ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ป๋ายเสี่ยวฉุนในสายตาของนางตอนนี้กลับดูสูงใหญ่ขึ้นมากะทันหัน

ส่วนซ่างกวานเทียนโย่วก็ยิ่งมีดวงตาคมกริบ จ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง ใบหน้าเผยความเหลือเชื่อ ประโยคนี้เขาไม่เข้าใจ แต่กลับสัมผัสได้ถึงร่องรอยความหมายที่แท้จริงซึ่งแฝงอยู่ภายใน

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดที่เต็มไปด้วยความหมายลึกล้ำขนาดนี้จะออกมาจากปากของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ แถมอีกฝ่ายยังพูดได้เป็นธรรมชาติขนาดนั้น…

“โจวซินฉี เจ้าจิตใจดีงาม ในเมื่อเจ้ากล่าวเตือนข้า ถือเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง ข้าผู้แซ่ป๋ายมอบประโยคนี้ให้เจ้า หากเจ้าตระหนักรู้ได้ นี่ก็คือวาสนาครั้งหนึ่งเช่นกัน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เผยท่าทางของคนเหนือกว่า จากไปไกลพร้อมรอยยิ้ม แม้ว่าร่างจะจากไปแล้ว ทว่าเสียงของเขาที่แฝงไว้ด้วยความโชกโชนประสบการณ์ กลับดังสะท้อนไม่จางหาย

“การมีที่ไม่มีเรียกดำรงอยู่ ความว่างที่ไม่ว่างเรียกความว่างเปล่าที่แท้จริง…ซึ่ง…ความว่างเปล่าที่แท้จริงก็คือการดำรงอยู่”

โจวซินฉีมองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความอึ้งตะลึง บัดนี้ภาพลักษณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนในใจนางได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง…

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าตรงชายฝั่งที่อยู่ห่างออกไปไกล มีลิงเฒ่าตัวหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ข้างกายเขามีผู้เฒ่าคนหนึ่งติดตามมาด้วย ซึ่งก็คือบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพ

“เจ้าเด็กบ้านี่…ตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่ามันหมายความว่ายังไง ดันเอามาใช้มั่วซั่ว!” บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งหลุดหัวเราะพรืด

ในดวงตาของลิงเฒ่ากลับต่างไปจากบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่ง ในส่วนลึกของลูกตาดำของมันซุกซ่อนความลึกล้ำอย่างที่คนนอกมองไม่ออก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!