บทที่ 304 กล้ามเนื้ออันแข็งแกร่ง
จันทราหยินแปลงเป็นรุ้งแห่งความพิบัติพุ่งตัวเป็นสายยาวออกมาจากมือซ้ายหุ่นเชิดสีม่วงของหลินมู่ ไอความเย็นบีบคั้น ทั้งรอบด้านยังปรากฏเกล็ดหิมะปลิวว่อน พุ่งดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนมาตลอดทาง ความเร็วนั้นทำให้เข้ามาใกล้ในพริบตาเดียว
บัดนี้หุ่นเชิดสีม่วงที่หลินมู่ควบคุม มือขวาคือตะวันหยาง มือซ้ายจันทราหยิน ทำให้ร่างของเขาที่อยู่กลางอากาศประดุจเทพเจ้า พลังอำนาจโหมลุกเรือง แม้ว่าตะวันหยางที่มือขวาจะถูกเวทพืชหญ้าแปลงกองทัพของป๋ายเสี่ยวฉุนโรมรันจนเกือบถูกปิดผนึก ทว่าจันทราหยินที่มือซ้ายกลับยังคงมากไปด้วยไอสังหารรุนแรงรวมไปถึงพลานุภาพสยบที่ทำให้จิตใจคนสั่นสะเทือน ทะยานดิ่งเข้าประชิดป๋ายเสี่ยวฉุน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน จงตายซะ!!” หลินมู่คำรามกร้าว วินาทีที่เขาเข้ามาใกล้ ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหดตัวเข้าหากัน หลินมู่ผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด ทำให้ขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกถึงภัยคุกคาม ก็ได้ไปกระตุ้นความบ้าคลั่งของเขาขึ้นมาด้วย
“เจ้าต่างหากที่ต้องตาย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเสียงกระด้างไม่ต่างกัน ขณะที่มือขวาทำมุทรา วิชาอมตะมิวางวายในร่างระเบิดถึงขีดสุด ปราณเลือดไร้ที่สิ้นสุดแผ่ปะทุออกมาจากในร่างของเขา เวลาแค่ชั่วพริบตาเดียว ปราณเลือดนี้ก็รวมตัวกันกลายมาเป็นกระบี่ยักษ์สีเลือดหนึ่งเล่ม เขาคว้าจับด้ามไว้มั่นแล้วเหวี่ยงตวัดฟันฉับลงไปยังจันทราหยินที่กำลังเข้ามาใกล้
นอกจากนี้ เขายังใช้คาถาลมปราณม่วงทงเทียนไปกระตุ้นน้ำแม่น้ำทงเทียนหนึ่งหยดในมหาสมุทรวิญญาณที่เป็นของเขาเองออกมา เมื่อหลอมรวมเข้ากับปราณเลือดแล้วจึงแปลงมาเป็นก้อนเลือดทรงกลมขนาดเท่าหนึ่งกำปั้น บินออกไปพร้อมกับกระบี่โลหิต
ก้อนเลือดพึ่งจะปรากฏตัวก็ทำให้นักพรตทุกคนที่อยู่รอบด้านใจหายวาบกันหมด ในส่วนลึกของจิตใจพลันบังเกิดความรู้สึกถึงวิกฤตร้ายแรงจนมิอาจพรรณาได้
“นั่นคือ…”
“ปราณนี้…น้ำของแม่น้ำทงเทียน?!”
ขณะเดียวกันกับที่ทุกคนในบริเวณโดยรอบร้องอุทานเสียงหลงด้วยความแตกตื่น กระบี่ยักษ์สีเลือดของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตวัดฟันลงไปพร้อมเสียงกัมปนาท ปะทะเข้ากับจันทราหยินของหลินมู่โดยตรง
วินาทีที่กระบี่ฟาดฟันลงไปจนเสียงอึกทึกดังกึกก้องไปแปดทิศ ก้อนเลือดก็ตรงเข้าหาหลินมู่ พริบตาเดียวพื้นที่ที่คนทั้งสองประมือกัน ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมพายุพัดหมุนฟุ้งตลบ
แสงสีเลือดเปล่งประกายพริบพราว ต่อให้เป็นนักพรตที่อยู่ห่างไกลจากสนามรบแห่งนี้มากก็ยังมองเห็นภาพนี้ ทุกคนจิตใจสั่นคลอน แม้แต่ผู้อาวุโสไท่ซ่างและลำดับผู้สืบทอดที่มองเห็นการต่อสู้ครั้งนี้ ดวงตาของพวกเขาก็ยังหดตัวลงน้อยๆ!
แม้ว่าพวกเขาจะรวมโอสถ ทว่าตอนสร้างฐานรากก็มิอาจแสดงอานุภาพน่าตื่นตะลึงได้อย่างป๋ายเสี่ยวฉุนและหลินมู่ แม้ว่าจะอาศัยร่างของค่ายกลและหุ่นเชิด แต่สามารถทำได้ถึงจุดนี้ก็มากพอที่จะบอกได้ว่าคนทั้งสอง…เหนือล้ำเกินใคร ต่างก็ถือเป็นจุดสุดยอดในขอบเขตสร้างฐานราก
พลังโจมตีมหาศาลระลอกหนึ่งแผ่กระจายครั่นครืนออกไปรอบด้านโดยมีคนทั้งสองเป็นจุดศูนย์กลาง ร่างปีศาจฟ้าของป๋ายเสี่ยวฉุนบิดเบือน ถอยหลังไปหลายก้าว หลินมู่ที่อยู่กลางอากาศ หุ่นเชิดสีม่วงที่เขาอยู่ภายในเวลานี้ก็มีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่นออกมา รอยปริแตกปรากฏขึ้นหลายเส้น ถอยกรูดเช่นกัน
ลมหายใจของคนทั้งสองต่างก็กระชั้นถี่ระรัว หลินมู่เมื่อเจอกับศัตรูตัวฉกาจ นัยน์ตาจึงลุกเรือง แหงนหน้าหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง
“เจ้าแข็งแกร่งกว่าจิ๋วต่าวเยอะจริงเสียด้วย น่าเสียดาย…ป๋ายเสี่ยวฉุน คราวนี้ยังไงเจ้าก็ต้องสิ้นชื่ออยู่ที่นี่!” หุ่นเชิดสีม่วงที่หลินมู่ควบคุมพลันกระโดดผลุงขึ้นกลางอากาศ เขายกมือทั้งคู่ขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วกดลงไปบนท้องฟ้าพร้อมกัน
วินาทีที่ดวงตาโชนแสงลุกเรือง มือขวาและมือซ้ายของเขาก็ได้ยกขึ้นประสานรวมกันเหนือหัว ปากระเบิดถ้อยคำเสียงดังดุจเสียงฟ้าคำรณ!
“ตะวันจันทรา เคียงคู่เรืองรอง!”
แทบจะวินาทีที่ทั้งแปดคำนี้เปล่งออกมา เงาของพระอาทิตย์และพระจันทร์พลันปรากฏขึ้นในมือทั้งสองข้างของหุ่นเชิดสีม่วงของหลินมู่อีกครั้ง อีกทั้งเมื่อพระอาทิตย์และพระจันทร์นี้ทับซ้อนรวมเป็นหนึ่งก็ราวกับน้ำและไฟที่ผสมรวมกัน แฝงไว้ด้วยพลังฉีกกระชาก ก่อเกิดเป็นแสงจัดจ้าที่สาดส่องลงมาจากฟากฟ้า แล้วแผ่กระจายออกไปสี่ทิศท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
เวลาแค่ชั่วพริบตาเดียว ทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในรัศมีร้อยจั้งล้วนถูกแสงนี้ปกคลุมไว้ภายใน แสงนี้ให้ความเย็นยะเยือกก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงตามมาด้วยความร้อนแรงแผดเผา สุดท้ายเมื่อรวมตัวเข้าด้วยกันจึงก่อเกิดเป็นพลังงานแปลกประหลาดระลอกหนึ่ง พลังที่ว่านี้…คล้ายสามารถละลายทุกสรรพสิ่งบนโลกได้!
ชั่วประเดี๋ยวเดียว นอกจากป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว นักพรตคนอื่นๆ ทุกคนที่อยู่ในรัศมีร้อยจั้ง หรือแม้แต่คนไม่น้อยของสำนักธาราทมิฬ บัดนี้ต่างก็พากันกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ร่างถูกลบเลือน…กลายเป็นความว่างเปล่าทันใด
ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดชะงักเล็กน้อย ตอนนี้ร่างปีศาจฟ้าของเขาเกิดความไม่มั่นคง
แสงนั้นคล้ายน้ำแข็งมาเจอกับเปลวเพลิงที่กำลังหลอมละลายทุกสิ่งอย่างรวดเร็ว ตามที่เขาคำนวณเอาไว้ อย่างมากก็แค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจ ยักษ์ค่ายกลที่ร่างปีศาจฟ้าทับซ้อนอยู่นี้ก็ต้องกลายมาเป็นเถ้าธุลี
วิกฤตคับขัน ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนแดงฉาน โดยเฉพาะการตายของสหายร่วมสำนักหลายสิบคนที่อยู่ในรัศมีร้อยจั้งรอบด้านก็ยิ่งทำให้ใจป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายถูกกรีดเหวอะหวะ เวลานี้มือขวาจึงตบป้าบลงไปบนถุงเก็บของ เมื่อยกขึ้นมาอีกครั้ง กลางฝ่ามือของเขาพลันปรากฏลูกแสง…ร้อยกว่าลูก!
แสงเหล่านั้นล้วนเกิดจากการหมุนเวียนของแรงดูดแรงผลักที่หลังจากหมุนเวียนครบวงจรอย่างสมบูรณ์แบบแล้วทำให้มันอยู่ในสภาวะที่ทั้งมั่นคงและทั้งไม่มั่นคงในเวลาเดียวกัน สิ่งที่บรรจุอยู่ด้านในนั้นก็คือควันพิษปริมาณมาก!
เวลานี้ ลูกแสงร้อยกว่าลูกล้วนถูกป๋ายเสี่ยวฉุนขว้างเข้าใส่หุ่นเชิดสีม่วงเต็มแรง
พริบตาเดียว…ลูกแสงร้อยกว่าลูกก็กลายมาเป็นรุ้งยาวร้อยกว่าเส้น คำรามอู้เข้าใส่ด้วยความรวดเร็ว ต่อให้เจอกับแสงพระอาทิตย์และพระจันทร์ที่สาดส่องพร้อมกัน ก็ยังมิอาจหลอมละลายพวกมันได้ทันทีทันใด ทำให้ลูกแสงเหล่านั้นล้วนกระแทกลงบนร่างของหุ่นเชิดสีม่วง
เมื่อเสียงตูมๆๆ ดังออกมาต่อเนื่อง ลูกแสงแตกทลาย หมอกควันจำนวนมากระเบิดออกมา เจาะทะลุทะลวงเข้าไปภายในของหุ่นเชิดสีม่วง!
ทั้งหมดนี้พูดแล้วยาว ทว่าในความเป็นจริงเกิดขึ้นเร็วมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนแผดเสียงคำรามดังลั่น ร่างปีศาจฟ้าเมื่อโดนแสงอาทิตย์แสงจันทร์สาดส่องลงมาพร้อมกันจึงพลันสลายหายไป เผยให้เห็นร่างของยักษ์ค่ายกลที่ตอนนี้ละลายไปแล้วเกินครึ่ง
วินาทีที่ร่างยักษ์กำลังจะหายไปนั้น เขาใช้พลังเฮือกสุดท้ายของค่ายกลจำแลงกายตะเบ็งเสียงออกมา
“แยกค่าย!”
สองคำนี้หลุดจากปาก ค่ายกลจำแลงก็พังทลายออกดังตูม พลังที่เหลือผลักให้ลูกศิษย์สำนักธาราเทพที่อยู่ในร่างจำแลงกระเด็นออกไปรอบด้าน ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนกลับกระโดดผลุงขึ้น วิชาอมตะมิวางวายตลอดร่างระเบิดออก ผิวหนังสีทอง การป้องกันด้วยเนื้อหนังมังสาของปีศาจฟ้า บวกกับความเร็วที่น่าตกใจ จึงทำให้เขาพุ่งออกไปจากรัศมีร้อยจั้งของแสงทันที!
เวลาเดียวกันนั้น หุ่นเชิดสีม่วงของหลินมู่ก็ตัวสั่นเทิ้มขึ้นมา มีเสียงร้องโหยหวนรวดร้าวดังเป็นระลอก ทั้งยังมีเสียงหัวเราะคลุ้มคลั่งแผดยาวดังลอยมาจากในหุ่นเชิด หุ่นเชิดนี้สั่นเทาอยู่กลางอากาศไม่กี่ครั้ง เสียงตูมดังหนึ่งทีก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ หลังจากที่นักพรตสำนักธาราทมิฬคนแล้วคนเล่าหนีออกไปราวกับคนบ้า หลินมู่หน้าซีดเผือด คำรามเดือดดาล บินออกมาจากในหุ่นเชิดนี้เช่นกัน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” กลางอากาศ หลินมู่ผมเผ้ายุ่งเหยิง เดิมทีเขานึกว่าวิธีการของตัวเองก่อนหน้านี้สามารถสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนได้ดีที่สุด ต่อให้ฆ่าเขาไม่ตาย แต่สามารถทำลายร่างจำแลงค่ายกลของเขา ถึงเวลานั้นตนอาศัยพลังของหุ่นเชิดสีม่วงโจมตีป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะยิ่งง่ายดายมากกว่าเดิม
แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่า ตนยอมให้พลังโจมตีกลับเพื่อร่ายตะวันจันทราเคียงคู่เรืองรอง ขณะเดียวกันกับที่ทลายค่ายกลจำแลงของอีกฝ่าย หุ่นเชิดสีม่วงของตนกลับต้องมาพังพินาศไปเพราะควันพิษต่ำช้าพวกนั้น!
เวลานี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีกำลังสูสีกันอีกครั้ง คนทั้งสองไม่มีร่างจำแลงและหุ่นเชิด วินาทีที่ประสานสายตากัน ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นจิตสังหารในดวงตาหลินมู่ หลินมู่เองก็มองเห็นความบ้าคลั่งในดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุน
หลินมู่ใจหายวาบ เขารู้ว่ากล้ามเนื้อของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ธรรมดา และรู้ว่าข้อได้เปรียบของตัวเองอยู่ที่เวทคาถา เวลานี้ขณะที่กำลังจะถอยร่น ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันกระโจนออกมา ไอดุร้ายของเขาอบอวลไปทั่วร่าง ชนาเขย่าภูเขาถูกร่ายออกมาอีกครั้ง ตลอดทั้งร่างกลายเป็นเงาพร่าเลือน ก่อให้เกิดเสียงกรีดผ่าอากาศดังแหลมเสียดแก้วหู ปรากฏตัวพรวดอยู่เบื้องหน้าหลินมู่ มือขวาที่กำเป็นหมัดง้างขึ้นแล้วต่อยโครมลงไปอย่างอำมหิต!
“เวทคาถาใช้หมดแล้ว ตอนนี้ก็มาแข่งพลังกล้ามเนื้อของพวกเรา ดูสิว่าใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน!”
เสียงกัมปนาทดังไปสี่ทิศ หลินมู่คิดจะหลบเลี่ยง แต่กลับพบว่าความเร็วของตัวเองยังช้ากว่าป๋ายเสี่ยวฉุน โดยเฉพาะด้านเรือนกายก็ยิ่งไม่สามารถนำมาเปรียบกับป๋ายเสี่ยวฉุนที่ฝึกวิชาอมตะมิวางวาย ซึ่งเวลานี้ดุจดั่งสัตว์ร้ายตัวหนึ่งได้ ใจของเขาเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง กัดปลายลิ้นพ่นเลือดสดออกมา
เลือดสดของเขาแปลงมาเป็นโล่สีเลือดหนึ่งหน้า สกัดขวางหมัดของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้
ทว่าวินาทีที่สัมผัสโดนกันนั้น ถึงแม้โล่โลหิตนี้จะไม่พังทลาย แต่กลับถูกม้วนตลบให้ตีกลับเข้ามาที่หน้าอกของหลินมู่ เลือดสดถูกพ่นพรวดออกจากปากหลินมู่อีกครั้ง ร่างถอยกรูดทันใด
“คิดหนี?” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดร่างไล่ตาม ยกเท้าขวาขึ้นแล้วกระทืบลงไปอย่างแรงหนึ่งครั้ง โดนเข้าที่ไหล่ของหลินมู่อย่างจัง หลินมู่กัดฟันกรอด ร่างพร่าเลือนเมื่อร่วงดิ่งลง ถอยห่างอีกรอบ
ในใจเขาคับแค้น แต่กลับทำอะไรไม่ได้ หากว่ากันเรื่องของตบะ เขาไม่เกรงกลัวป๋ายเสี่ยวฉุน หรือแม้แต่ด้านเวทคาถาเขาก็ยิ่งไม่หวาดหวั่น ทว่ามีเพียงสิ่งเดียวคือ…พละกำลังกล้ามเนื้อ เขาไม่สามารถเทียบเคียงกับป๋ายเสี่ยวฉุนได้จริงๆ
ตอนนี้ไม่มีหุ่นเชิดสีม่วง ภายใต้การไล่ล่าจากป๋ายเสี่ยวฉุน เขาจึงไม่มีพลังให้โจมตีกลับเท่าไหร่นัก
“สมควรตายเอ๊ย คนเป็นนักพรต ฝึกเวทคาถาอภินิหาร แสวงหามรรคายิ่งใหญ่ วาดหวังให้เป็นอมตะ เจ้าๆๆ…เจ้ากลับฝึกฝนเรือนกาย!!”
“มีเพียงมิวางวาย ถึงจะได้เป็นอมตะ ข้าก็ย่อมต้องฝึกเรือนกายที่ไม่ตายก่อนอยู่แล้ว!” ในน้ำเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนแฝงไว้ด้วยความเชื่อมั่น เมื่อดังออกไป หลินมู่จึงไร้ซึ่งคำพูดใดมาตอบโต้ ท่ามกลางเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น เขากระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ถูกหมัดหนึ่งของป๋ายเสี่ยวฉุนต่อยโครมจนกระเด็นออกไปไกล
นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยไอสังหาร สะบัดร่างไล่ตามออกไปอีกรอบ ดวงตาของหลินมู่เผยความไม่ยินยอมอย่างรุนแรง ทั้งยังมากด้วยความบ้าคลั่ง มือทั้งคู่โบกสะบัด ในปลายแขนเสื้อพลันมีเตาหลอมหนึ่งใบลอยออกมา แล้วพุ่งครั่นครืนเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็น ไม่ได้ลดความเร็วลงแม้แต่นิด พุ่งชนเข้ากับเตาหลอมนั่นโดยตรง เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง เตาหลอมที่เห็นได้ชัดว่าเป็นของล้ำค่า ทว่ากลับมิอาจสกัดกั้นป๋ายเสี่ยวฉุนได้แม้แต่นิด กลับกันคือถูกชนจนปลิวกระเด็น ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนราวกับคมมีดแห่งความตาย แปลงเป็นเส้นโค้งงอกลางอากาศ ตวัดฉับเข้าใส่ร่างหลินมู่!