Skip to content

A Will Eternal 331

บทที่ 331 สร้างฐานรากไม่ดับสลาย

บนแม่น้ำทงเทียน ปณิธานในการสู้รบซัดตลบอบอวล ท่ามกลางเสียงดังอึกทึกรุนแรง คนจำนวนนับไม่ถ้วนของสำนักสยบธารและสำนักธารฟ้าต่างก็ห้ำหั่นกันอย่างเหี้ยมโหด!

เสียงร้องโหยหวนและยังมีเสียงของเวทคาถาสนั่นฟ้าดังไม่ขาดระยะ แม้ว่าศึกของบุรพาจารย์และศึกของอายุวัฒนะ สำนักสยบธารจะได้เปรียบ ทว่าศึกระหว่างสร้างฐานรากและรวมลมปราณ ศิลปะในการสู้รบและสังหารของสำนักธารฟ้ากลับสร้างความปวดหัวให้กับนักพรตสำนักสยบธารทั้งสี่สายอย่างมาก หากไม่ระวังแม้เพียงนิดก็จะถูกฆ่าตายไปในทันที

นี่เกิดจากพลังแฝงเร้นอันเป็นรากฐาน เพราะยังไงซะสำนักธารฟ้าก็เป็นสำนักของแม่น้ำตอนกลาง แม้จะถูกสำนักอันตมรรคฟ้าดาราลงโทษ ส่งผลให้พลังในการสู้รบระดับสูงและระดับกลางเสียหายไปไม่น้อย ทว่านักพรตที่อยู่ในระดับล่างกลับไม่เสียหายเท่าไหร่นัก

เมื่อเป็นเช่นนี้ บนแม่น้ำทงเทียนจึงเกิดการต่อสู้ที่อำมหิตทารุณอย่างยิ่งยวด ยังดีที่สำหรับสี่สายของสำนักสยบธารแล้ว ประสบการณ์จากสงครามใหญ่แม่น้ำตอนล่างก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขาเติบโตกันขึ้นมาก โดยเฉพาะในด้านสงครามขนาดใหญ่ระดับสำนักเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งเป็นผู้ใหญ่กันขึ้นเยอะ การประมือกับสำนักธารฟ้าตอนนี้ แม้ว่าช่วงเริ่มต้นจะรับมือไม่ได้เล็กน้อย ทว่าไม่นานสถานการณ์กลับค่อยๆ ตกอยู่ในสภาวะชะงักงัน

สถานการณ์เช่นนี้สำหรับสำนักสยบธารแล้วถือว่าเป็นประโยชน์สูงสุด พวกเขาแค่รอให้ศึกระหว่างบุรพาจารย์และยาอายุวัฒนะปรากฏวี่แววแห่งชัยชนะก็จะสามารถไหลไปตามกระแส บุกราบเป็นหน้ากลอง บดขยี้สำนักธารฟ้า!

เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรและสำนักที่ก่อนหน้านี้เลือกเข้าร่วมกับสำนักสยบธาร เวลานี้แม้จะยังไม่เผยตัวเต็มที่ ทว่าก็ยังช่วยแบ่งเบาภาระให้กับสำนักสยบธารไม่น้อย ร่วมเข่นฆ่าในสนามรบนี้เช่นกัน

เวลาเดียวกันนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ชะงักงันนี้ บุคคลแต่ละคนที่เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจก็ได้เผยตัวออกมา…อย่างเป็นธรรมชาติ ร่างจำแลงที่ซ่างกวานเทียนโย่วควบคุม ปราณกระบี่ตัดฟันฉวัดเฉวียน กระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบกายเขากลายมาเป็นตาข่ายกระบี่ เด่นชัดสะดุดตาอย่างถึงที่สุด

กุ่ยหยาเงียบขรึม ทว่าระดับความดุดันในการลงมือ ต่อให้อยู่ในร่างของค่ายกลจำแลงก็ยังเผยท่วงทำนองความเป็นตัวเขาออกมาอย่างเข้มข้น นั่นคือกลิ่นอายของผีร้ายที่อบอวล มือผีสีดำมากมายปรากฏขึ้นกลางอากาศ เข่นฆ่าพิฆาตศัตรูทุกคนของสำนักธารฟ้าที่อยู่ด้านหน้า

และยังมีโหวอวิ๋นเฟย กงซุนอวิ๋น สายของธาราโลหิตอย่างซ่งเชวีย เซวี่ยเหมย เสินซ่วนจื่อ เจี่ยเลี่ย ซ่งจวินหว่าน รวมไปถึงบุตรโลหิตทั้งสามคนและผู้อาวุโส การลงมือของแต่ละคนล้วนตระการตาโดดเด่นอยู่บนสนามรบแห่งนี้

เช่นเดียวกัน ยังมีจิ๋วต่าวของสายธาราทมิฬที่เวลานี้ฟื้นตัวกลับมาแข็งแกร่งดังเดิมซึ่งวันปกติมักเอาแต่หลบเลี่ยงป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าตอนนี้ลงมือเมื่อใดก็คล้ายกำลังระบายความกลัดกลุ้มในใจออกมา เสียงคำรามก็ดังลั่น

ส่วนลูกศิษย์ของสำนักธาราโอสถมีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอยู่น้อย มีเพียงเฉินม่านเหยาผู้นั้นที่ยอดเยี่ยมโดดเด่น หญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างมาก ทั้งยังเป็นผู้บัญชาการกองทัพใหญ่ของนักพรตสำนักธาราโอสถ ใช้พิษและการรักษาบาดแผลเป็นหลัก จัดกลุ่มกลุ่มละสามคนห้าคน หากไม่ลงมือโปรยยาพิษก็ออกไปให้ความช่วยเหลือบนสนามรบ

สามารถพูดได้ว่าเพราะการดำรงอยู่ของสำนักธาราโอสถ ทำให้สถานการณ์ที่ชะงักงันนี้ยิ่งมีประโยชน์กับสำนักสยบธารมากขึ้น

และความสามารถในการจัดวางกองกำลังของเฉินม่านเหยาก็ได้แสดงออกมาในนาทีนี้ นักพรตหลายหมื่นคนของสายธาราโอสถไม่มีความยุ่งเหยิงไร้ระเบียบเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ดำเนินการอย่างเป็นระบบ คล้ายว่าการจัดการทุกอย่างนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่คณามือเฉินม่านเหยาแม้แต่น้อย

คำสั่งมากมายถูกนางสั่งการออกไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาทั้งคู่ของนางฉายประกายแสงเด็ดเดี่ยว กวาดมองไปทั่วสนามรบอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้ทำให้เฉินม่านเหยากลายมาเป็นดวงดาวที่เปล่งประกายท่ามกลางหมู่ดาวมากมาย กลายมาเป็นบุคคลที่สองที่สำนักธารฟ้าจับตามองมากที่สุด

และที่ถูกจับตามองมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง…ก็คือผู้ที่เดินออกมาจากในร่างของบรรพบุรุษโลหิตเป็นคนสุดท้าย รวมค่ายเป็นร่างจำแลง โบกสะบัดกระบี่โลหิตเล่มยักษ์ในมือซึ่งก่อตัวขึ้นจากปราณเลือดอย่าง…ป๋ายเสี่ยวฉุน!

ไม่ว่าใครก็ตามล้วนมองออกว่า ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนกับดวงตาของบรรพบุรุษโลหิต คือดวงตาของ…คนคนเดียวกัน!

อีกอย่าง แม้ว่าสำนักธารฟ้าจะไม่สามารถยื่นมือเข้าแทรกเรื่องราวของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนล่าง ทว่าด้านการสืบข่าวกลับเฉียบไวอย่างมาก จึงย่อมรู้ว่า…การรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนล่างนั้น ใครคือกุญแจสำคัญของเรื่องนี้

ดังนั้นแทบจะวินาทีเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัวจึงถูกกองกำลังของสำนักธารฟ้าจ้องเขม็งทันที นักฆ่าจำนวนมากพุ่งตรงเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ทั้งยังมีลูกหลานต้นมะเดื่อฟ้าที่พุ่งพรวดเข้ามาใกล้พร้อมความดุดันและบ้าคลั่ง

ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแสงแดงฉาน บนสนามรบแห่งนี้ เขายังคงรู้สึกเหมือนได้กลับไปยังเทือกเขาลั่วเฉิน กลับไปยังหุบเหวกระบี่อุกกาบาต ทั้งกลับไปยังเมืองคูน้ำ เขาเงยหน้าคำรามกร้าว ปราณเลือดตลอดร่างพลันระเบิดออก เวลาเดียวกันนั้น พลังการสู้รบของนักพรตสายธาราโลหิตก็ผงาดฮือขึ้นมา

เถี่ยตั้นที่อยู่ในสนามรบก็สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจของป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน มันจึงร้องคำรามกระโชก นำพาสัตว์รบมากมายกระโจนเข้าใส่สำนักธารฟ้า

และยังมีศพหลอม หัวปีศาจ หุ่นเชิดที่ต่างก็มีมากมายละลานตา เสียงกึกก้องดังไม่ขาดระยะ

“ตาย!!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยกกระบี่โลหิตในมือขวาตวัดฟันไปยังคนต้นไม้มะเดื่อฟ้าที่พุ่งเข้ามาทางด้านหน้า ทันใดนั้นเสียงนี้ก็ดังขึ้นมาราวกับสายฟ้าระเบิด

ไม่ได้หลุดออกมาจากปากของเขา แต่มาจากนักพรตสร้างฐานรากเจ็ดแปดคนที่อยู่ๆ ก็เดินออกมาจากความว่างเปล่าพร้อมกัน นักพรตสร้างฐานรากเจ็ดแปดคนนี้ ทุกคนล้วนเป็นนักฆ่าที่อำมหิตไร้ความปราณี เมื่อปรากฏตัวก็ลงมือทันที โจมตี

ป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา

ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาบ กระบี่โลหิตในมือขวาไม่ได้หยุดชะงักแม้แต่นิด ตวัดฟันฉับลงไปอย่างแรง เสียงตูมตามดังสะท้อน เมื่อมะเดื่อฟ้าต้นลูกที่พุ่งมาจากด้านหน้าขาดออกเป็นสองท่อน บนร่างของเขาก็พลันระเบิดพลังอำนาจน่าตะลึงออกมา พลังอำนาจนี้เพิ่มขึ้นพรวดพราดอย่างรวดเร็ว ก่อตัวกันขึ้นเป็นเงามายาขนาดยักษ์ร่างหนึ่ง พริบตาเดียวก็เด่นชัด เผยให้เห็นเป็น…ร่างอสูรมิวางวายของเขา!

ร่างอสูรมิวางวายนี้ทับซ้อนเข้ากับร่างจำแลงของค่ายกลโดยตรง ราวกับกลายมาเป็นร่างจริงๆ วินาทีที่เวทคาถาของนักพรตสร้างฐานรากเจ็ดแปดคนร่วงกระทบโดนร่างอสูรของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เกิดเสียงดังสนั่นไหวเขย่าคลอนจิตใจของคนเจ็ดแปดคนนี้ พวกเขาทุกคนล้วนกระอักเลือด ใบหน้าเผยความเหลือเชื่อและหวาดกลัว

“เป็นไปไม่ได้!!”

“นี่มันเนื้อหนังมังสาอะไรกัน เหตุใดถึงได้แข็งแกร่งเพียงนี้!!”

“บัดซบ นี่มันแทบจะเป็นขั้นสร้างฐานรากไม่ดับสลายแล้ว!!”

คนเจ็ดแปดคนหนังหัวชาหนึบ เวลานี้สะท้านสะเทือนจนเลือดลมพลุ่งพล่าน ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำหน้าราวกับเห็นผี ถอยหลังกรูดอย่างไร้ซึ่งความลังเลทันควัน ระเบิดความเร็วทั้งหมดที่มี หมายจะหนีไป

“สร้างฐานรากไม่ดับสลาย?”

ร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนไร้ซึ่งความเสียหายใดๆ มือขวาที่ถือกระบี่โลหิตพลันปล่อยออก ทำมุทราชี้ไป กระบี่โลหิตเล่มนี้ระเบิดตูมหนึ่งครั้งก็กลายมาเป็นปราณเลือดมากมายนับร้อยนับพัน เมื่อรวมตัวกันอีกครั้งก็แยกร่างเป็นกระบี่โลหิตจำนวนมาก กวาดตะลุยไปรอบด้าน ปลดปล่อยลมพายุบ้าคลั่งของกระบี่โลหิต

ท่ามกลางเสียงตูมตามอึกทึก นักพรตสร้างฐานรากเจ็ดแปดคนนั้นซึ่งเดิมทีก็ไม่มีเวลาหนีไปได้ไกลอยู่แล้ว จึงถูกลมพายุบ้าคลั่งที่เกิดจากการรวมตัวกันของกระบี่โลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนกลบทับให้อยู่ภายในทันที เลือดเนื้อถูกกรีดเถือ กระดูกแตกสลาย พอพายุคลั่งพัดจากไป การดำรงอยู่ทั้งหมดของเจ็ดแปดคนนี้ล้วนหายวับไปไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ

ภาพนี้ทำให้นักพรตสำนักธารฟ้าที่อยู่รอบด้านลืมหายใจ นัยน์ตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายเย็นเยียบ เขามองเห็นนักพรตสี่สายของสำนักสยบธารบาดเจ็บและล้มตาย การตายของสหายร่วมสำนักเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นเพราะน้ำมือของนักฆ่าเหล่านั้น ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความเคียดแค้น สะบัดร่างแล้วถลาออกไปอีกครั้ง หลบเลี่ยงต้นมะเดื่อฟ้า มองหาแค่พวกนักฆ่าที่ชอบเร้นอำพรางหลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่า

ทุกที่ที่ผ่าน เสียงดังกัมปนาทราวฟ้าคำรณ วิชาไม้ตายของนักฆ่าเหล่านั้นเมื่อมาเจอกับป๋ายเสี่ยวฉุนก็คล้ายสูญเสียประสิทธิผล ความแข็งแกร่งของร่างอสูร…บัดนี้ ได้ระเบิดออกมาอย่างแท้จริง

ชั่วครู่เดียว นักฆ่าเหล่านั้นก็ตัวสั่น พากันหลบหนี ไม่กล้าเข้าใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนแม้แต่นิดเดียว ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะไล่ตามต่อไป ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นเสียงคำรามเดือดดาลก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา ที่ตามหลังเสียงนั้นมาก็คือ

ต้นมะเดื่อฟ้า…ที่ใหญ่เกินกว่าคนต้นไม้อื่นๆ หนึ่งเท่าตัว!

คนต้นไม้ยักษ์นี้เผยความชั่วร้ายออกมาทางดวงตา ทั้งบนร่างยังโบกสะบัดศีรษะคนจำนวนไม่น้อย ซึ่งหลายคนในนั้นคือลูกศิษย์ของสำนักธาราเทพ พอป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็น ปราณดุดันตลอดร่างก็พลันปะทุพวยพุ่ง

“สร้างฐานรากไม่ดับสลาย? ไร้พ่ายในบรรดาคนระดับเดียวกัน? กะอีแค่คนต่ำต้อยของแม่น้ำตอนล่าง จะให้เจ้าได้รู้ว่าแบบไหนถึงจะเรียกว่าไร้พ่ายในระดับเดียวกัน แบบไหนถึงจะเรียกว่ากล้ามเนื้อสร้างฐานรากไม่ดับสลาย!” บนต้นไม้ปีศาจยักษ์ตนนี้พลันมีใบหน้าหนึ่งเผยออกมา นั่นคือชายหนุ่มผู้หนึ่ง ดวงตาฉายชัดถึงความเหี้ยมโหดร้ายกาจ ทั้งยังมีความบ้าคลั่งที่หลอมรวมเข้ากับคนต้นไม้ กระโดดพรวดเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

“ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักธารฟ้าอย่างนั้นรึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจสะดุ้งโหยง รีบหันขวับกลับไปมอง จึงเห็นว่าต้นไม้ขนาดมหึมานั่นคำรามอู้เข้าใส่ตัวเอง และก็มองเห็นความบ้าดีเดือดในดวงตาของอีกฝ่าย

“ทุกครั้งที่มองเห็นความบ้าคลั่งเช่นนี้ ข้าจะอยากทำให้เขาฟื้นคืนสติมากเป็นพิเศษ…” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเสียงเบา ร่างกลับไม่มีความลังเลแม้แต่นิด ถลาพรวดไปด้านหน้า กระตุ้นใช้…ชนาเขย่าภูเขา

เมื่อชนาเขย่าภูเขานี้ปรากฏ พลานุภาพก็เพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่า!

และวินาทีที่เขาร่ายชนาเขย่าภูเขาออกมา นอกร่างของเขาก็พลันปรากฏ…ร่างอสูรร่างที่สอง อสูรสองร่างใหญ่ทับซ้อนเข้าด้วยกัน พลานุภาพจึงเพิ่มพรวดขึ้นอีกครั้ง!

ความรวดเร็วนั้นมากจนคนต้นไม้ยังไม่ทันตั้งตัว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลายร่างเป็นเงาพร่าเลือน พกพาเอาชนาเขย่าภูเขาที่ระเบิดพลัง ดุจดั่งภูเขาลูกหนึ่งที่ถูกลมพายุบ้าคลั่งหอบพัดพาไปกระแทกลงบนร่างของคนต้นไม้ยักษ์อานุภาพไม่ธรรมดาซึ่งเพิ่งเอ่ยปากอย่างโอหังเมื่อครู่นี้ดังตูม

เสียงตูมตามอึกทึกที่ดังลอยมาจากร่างของคนต้นไม้นี้สั่นสะเทือนไปสี่ทิศ ทำให้คนไม่น้อยสำลักลมหายใจ หันขวับมามอง พวกเขาจึงมองเห็นทันทีว่าคนต้นไม้ขนาดมหึมาที่เป็นฝ่ายกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้กรีดร้องโหยหวนหนึ่งครั้ง ร่างถูกชนจนกระเด็นกระดอนออกไป ราวว่าวที่สายป่านขาด…ถึงขั้นลอยออกไปนอกแม่น้ำทงเทียน  ร่วงตูมลงบนผืนป่าทางขวาของริมฝั่งแม่น้ำด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

จากนั้น…ก็เงียบสนิท

“ต้านทานแรงชนไม่ได้ขนาดนี้เชียว?”

ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจ แสร้งเอ่ยปากด้วยความแปลกใจ คนอื่นๆ ที่อยู่ในร่างค่ายกลจำแลงเดียวกับเขาต่างก็ยิ้มเจื่อน พวกเขาดูออกเลยว่าเมื่อครู่นี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจงใจอย่างเห็นได้ชัด การระเบิดพลังของชนาเขย่าภูเขานั่น คนระดับเดียวกัน…มีไม่กี่คนจริงๆ ที่พอถูกกระแทกแล้วจะไม่ลอยกระเด็นแบบนั้น…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!