บทที่ 332 ต้องมีคนปกป้องข้าอยู่แน่นอน
ชายฝั่งทางขวาของสำนักธารฟ้า เวลานี้บนผืนป่ามีหลุมขนาดใหญ่ยักษ์หลุมหนึ่ง…
ต้นมะเดื่อฟ้าที่หมดสภาพต้นหนึ่งนอนอยู่ในนั้น ต้นไม้นี้ตายสนิทแล้ว ผ่านไปครู่ใหญ่ต้นไม้นั่นถึงได้สั่นไหว ด้านในมีร่างหนึ่งดิ้นรนพยายามปีนออกมา คนผู้นี้ก็คือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่พูดจาโอหังก่อนหน้านี้
เวลานี้บนใบหน้าไม่เหลือความจองหองใด ทั้งยังหมดสิ้นซึ่งความบ้าคลั่ง ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความตะลึงและหวาดกลัว ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่คิดจะไปที่แม่น้ำทงเทียนต่อ ทว่าเลือกนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นี่ สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ในใจเขามีแต่ความเคารพยำเกรง
ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจอย่างมาก ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเดินออกมาจากในร่างของบรรพบุรุษโลหิตก็ค้นพบแล้วว่าช่วงเวลาที่ได้ควบคุมบรรพบุรุษโลหิตถือว่ามีประโยชน์ต่อเขาอย่างมาก โดยเฉพาะวิชาอมตะมิวางวายที่พอได้รับการดูดซับและบำรุงจึงทำให้ร่างของอสูร…ปรากฏออกมาถึงสองร่าง
ทว่าตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็รู้ว่าเมื่อตนอยู่บนสนามรบต้องเป็นจุดดึงดูดสายตามากอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงอดกลั้นเอาไว้ไม่แสดงออกมา ต้องการรอให้ถึงเวลาที่ใครบางคนคิดว่าตนรังแกได้ง่าย ถึงค่อยระเบิดออกแล้วโจมตีกลับอย่างดุดัน
เวลานี้พอเห็นว่าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจจอมยโสคนก่อนหน้านั้นถูกตัวเองชนกระเด็นลอยไปไกลแล้วเงียบกริบไร้เสียงใดตอบโต้กลับมา ความโล่งโปร่งสบายในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เรียกได้ว่าไร้คำใดมาบรรยายได้อีก
“ดูสิจะยังกล้ารังแกคนอื่นอีกไหม!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากอย่างถือดี สายตาของนักพรตสำนักธารฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนแฝงเร้นไว้ด้วยความตะลึงระคนหวาดกลัว
และก็จริง…ไม่มีใครกล้ามาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเขาอีก ต่อให้เป็นลูกหลานของต้นมะเดื่อฟ้าพอเห็นพลังพุ่งชนของป๋ายเสี่ยวฉุนแต่ละต้นก็ตัวสั่นสะท้าน พากันหลบเลี่ยงออกไป
เพียงแต่ว่าในใจของนักพรตสำนักธารฟ้าเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง บ่อยครั้งที่พวกเขามองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็ปรารถนาจะทำลายให้ร่างจำแลงค่ายกลนี้แตกกระจาย เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาเพียงลำพัง ถึงเวลานั้นพวกเขาจะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่า อาศัยพลังของค่ายกลนั้นไม่ถือว่าแน่จริง!
“สมควรตายเอ๊ย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะควบคุมใช้พลังค่ายจำแลงนี้ไปได้ตลอด!”
“หึ หากเขาเดินออกมาเมื่อไหร่ ข้าจะดูสิว่าพลังในการรบที่แท้จริงของคนผู้นี้จะมีสักเท่าไหร่กันเชียว!” ขณะที่นักพรตสำนักธารฟ้ากำลังแอบด่าอยู่ในใจ มองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งเข้ามาอีกครั้ง แต่ละคนก็รีบหลบหลีกด้วยความขัดอกขัดใจ
“ไม่ต้องกลัว สู้กันจนฟ้าสว่างแน่!”
“มาสิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนเสียงดังด้วยความย่ามใจ มองเห็นว่าทุกที่ที่ตัวเองผ่าน ทุกคนของสำนักธารฟ้าล้วนพากันถอยกรูด ในใจเขาก็ยิ่งฮึกเหิม
เวลาเดียวกัน ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนก่อกวนอารมณ์ของคนอื่นอยู่นั้น นักพรตสี่สายของสำนักสยบธารจึงมีตัวกันชน ต่างคนต่างผ่อนลมหายใจ สถานการณ์ค่อยๆ มั่นคงมากขึ้นท่ามกลางภาวะชะงักงันนี้
ผ่านไปได้ไม่นานนัก ทันใดนั้นสงครามยาอายุวัฒนะกลางอากาศ ในที่สุดทางฝ่ายของสำนักสยบธารก็ใช้จำนวนคนที่ได้เปรียบแลกมาด้วยโอกาสที่จะคว้าชัยชนะ และโอกาสที่ว่านี้ก็ขยายใหญ่ออกไปอย่างไร้ขีดจำกัด จนกระทั่งเวลานี้ ยาอายุวัฒนะหลายร้อยคนมารวมตันกัน ผสานเข้ากับค่ายกลกระบี่ โจมตีให้นักพรตยาอายุวัฒนะของสำนักธารฟ้าบาดเจ็บสาหัส
เมื่อนักพรตยาอายุวัฒนะของสำนักธารฟ้าเริ่มล้มตายกันไป ไม่นานนักพรตยาอายุวัฒนะของทั้งสำนักธารฟ้าก็พากันถอยร่น การถอยครั้งนี้…ทำให้พลังอำนาจอ่อนด้อยลงไปทันที ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทุกคนเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นว่าบนท้องฟ้านักพรตยาอายุวัฒนะของสำนักธารฟ้ากำลังถูกนักพรตยาอายุวัฒนะของสำนักสยบธารที่มีจำนวนเยอะกว่าพวกเขามากไล่ฆ่า!
ขณะเดียวกัน ในที่สุดก็มีผู้อาวุโสไท่ซ่างของสำนักสยบธารถอนตัวออกมาจากการต่อสู้กลางอากาศ บินลงมาบนผิวน้ำของแม่น้ำทงเทียน ทำให้นักพรตสี่สายของสำนักสยบธารห้าวเหิมกันขึ้นมาโดยพลัน โจมตีกลับไปอย่างสุดกำลัง
และขณะที่สำนักสยบธารโจมตีกลับบนแม่น้ำทงเทียน บนท้องฟ้าผู้เฒ่าก่อกำเนิดที่ขาดอีกแค่ครึ่งก้าวก็จะกลายเป็นคนฟ้าผู้นั้น นัยน์ตาฉายชัดถึงความเศร้าอาดูร คำรามเสียงดังหนึ่งครั้งแล้วตีฝ่าวงล้อมพวกบุรพาจารย์สี่สายของสำนักสยบธารอย่างเสินซ่วนจื่อ หันจงและชื่อหุนออกมาโดยตรง สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งชี้ไปยังต้นไม้ปีศาจมะเดื่อฟ้า
“ปกป้องประตูสำนัก เปิดค่ายกลใหญ่!”
ผู้เฒ่าก่อกำเนิดผู้นี้เสียงดังราวอสนีบาต เมื่อสะท้อนไปแปดทิศ ม่านแสงสีเขียวขนาดใหญ่ยักษ์ลำหนึ่งก็พลันแผ่ซ่านออกมาจากบนตัวของต้นไม้ปีศาจมะเดื่อฟ้าขนาดมหึมา ปกคลุมไปทั่วสี่ทิศ ขณะเดียวกันก็ส่งผ่านแรงดึงดูดรุนแรงออกมาด้วย
แรงดึงดูดนี้พุ่งเป้าไปที่นักพรตสำนักธารฟ้าเท่านั้น พริบตาเดียว ยาอายุวัฒนะก็ดี สร้างฐานรากก็ช่าง ทุกคนล้วนถอยกรูดเร่งร้อน ต่างกลับเข้าไปบนต้นไม้ปีศาจมะเดื่อฟ้าทั้งหมด!
ค่ายกลใหญ่โตมโหฬารปิดผนึกแม่น้ำทงเทียนโดยตรง ตัดขาดเส้นทางการโจมตีทางตรงของสำนักสยบธารไปอย่างสิ้นเชิง นอกเสียจากจะฝืนทลายค่ายกล
ทว่าหากทำเช่นนั้นก็จะเป็นการมอบโอกาสให้สำนักธารฟ้าได้หายใจต่อ ไม่เป็นผลดีต่อสถานการณ์ของสงครามอย่างยิ่ง!
อีกอย่างค่ายกลต้นไม้ปีศาจมะเดื่อฟ้าก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ และบนค่ายกลนี้ก็ยังมีรูโหว่ขนาดยักษ์สองรู รูหนึ่งอยู่ทางซ้าย อีกรูอยู่ทางขวา!
เห็นได้ชัดว่าที่เพิ่งจะเปิดใช้ค่ายกลนี้ในตอนนี้ก็เพราะการดำรงอยู่ของรูโหว่ทั้งสอง ทำให้ค่ายกลถูกลดทอนอานุภาพไปมาก ทั้งยังเกิดช่องโหว่มากมาย
“ละทิ้งแม่น้ำทงเทียน ดำเนินการรบเส้นที่สองจากผืนป่าทั้งสองด้าน…เข่นฆ่าไปที่…ประตูสำนักธารฟ้าพร้อมกัน!”
หันจงบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพพลันเอ่ยขึ้น เสียงดังก้องไปทั่ว ขณะเดียวกันก็สั่งความตามแผนการรบที่พวกเขาวางไว้ก่อนหน้านี้ ทันใดนั้นสายธาราโลหิตที่แข็งแกร่งที่สุดและสายธาราโอสถที่อ่อนแอที่สุดก็รวมตัวกัน เหยียบย่างเข้าไปในชายฝั่งทางซ้าย ไล่ไปตามผืนป่า พุ่งเข้าไปสังหารยังประตูสำนัก
ส่วนสายธาราเทพและสายธาราทมิฬก็ประสานรวมกันเช่นเดียวกัน เหยียบขึ้นฝั่งทางขวา บุกเข้าไปในผืนป่า
และนี่ก็คือการรบในผืนป่า!
เพียงแต่ว่าป่านี้ต้นไม้เบียดเสียดกันแน่นขนัด ไม่เหมาะให้ยักษ์ค่ายกลและหุ่นเชิดของธาราทมิฬเคลื่อนไหว ดังนั้นสงครามนี้จำเป็นต้องใช้พละกำลังของลูกศิษย์ทุกคนอย่างเดียว!
นักพรตนับล้านคับคั่งล้นหลาม บุกโจมตีจากทั้งสองด้าน ตรงเข้าหาประตูสำนักธารฟ้า ขณะที่กำลังห้อทะยานไปนั้น ทางฝ่ายของสำนักธารฟ้าไม่ทันได้พักหายใจหายคอ นักพรตทุกคน แม้แต่ยาอายุวัฒนะก็ยังต้องกระจายตัวกันออกไปพยายามสกัดกั้นการโจมตีในป่า
ส่วนก่อกำเนิดที่อยู่บนท้องนภาก็เปิดฉากรบกันอีกครั้ง!
ความอันตรายของการต่อสู้ครั้งนี้ ก่อนหน้าที่จะเปิดศึกกันบุรพาจารย์ของสำนักสยบธารก็ได้กำชับเอาไว้แล้ว ดังนั้นพวกลูกศิษย์ฝ่ายในส่วนใหญ่จึงอยู่บนเรือรบทงเทียน ไม่ได้ถูกจัดตัวให้ออกมาข้างนอก
มีเพียงนักพรตสร้างฐานรากขึ้นไปเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วม ทั้งยังไม่มีค่ายกลปกป้อง หากได้รับบาดเจ็บ ทุกคนช่วยกันรับผิดชอบไม่ได้ ซึ่งการตายและการบาดเจ็บย่อมต้องสาหัสและอเนจอนาถมากอย่างแน่นอน
ทว่า…นี่ก็คือสงคราม!
อีกทั้งเพื่อให้เป็นการกำลังใจ บุรพาจารย์สิบกว่าคนของสำนักสยบธารจึงตัดสินร่วมกันว่า การต่อสู้ในผืนป่าครั้งนี้ วัตถุทุกชิ้นที่ได้รับมา ไม่จำเป็นต้องมอบให้แก่สำนัก ทั้งหมดล้วนตกเป็นของคนที่เก็บได้!
แต่หากมีการฆ่าฟันคนกันเองเกิดขึ้น ความรุนแรงในการลงโทษก็มากพอจะทำให้ทุกคนใจสั่น ไม่กล้าล้ำเส้น
ร่างจำแลงค่ายกลของป๋ายเสี่ยวฉุนเวลานี้ก็กระจายตัวกันออกดังตูม เขาและคนอื่นๆ อีกแปดคนมองหน้ากันไปมา จากนั้นก็ประสานมือคารวะให้แก่กัน นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยแววอวยพร ไม่มีใครพูดอะไร พากันกลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาว ตรงดิ่งเข้าไปในผืนป่า
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก มองผืนป่า ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าดวงตามากที่สุดก็คือภาพของเทือกเขาลั่วเฉิน ทุกอย่างของที่นี่เหมือนผืนป่าเทือกเขาลั่วเฉินอย่างมาก
“ข้าสำคัญขนาดนั้น ต้องมีคนแอบปกป้องข้าอย่างแน่นอน…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนปลุกระดมจิตใจของตัวเอง กัดฟันกรอดหนึ่งครั้ง มือขวายกขึ้นตบลงไปบนถุงเก็บของ ในมือจึงมียันต์ปึกใหญ่ปรากฏขึ้นมาทันที
แล้วตบลงไปทั่วร่างเสียงดังป้าบๆ นอกร่างของเขาพลันมีม่านแสงหนาหลายร้อยชั้นที่ซ้อนทับเข้าด้วยกันเผยออกมา เพียงแต่ว่าเพราะมีมากเกินไป มองดูแล้วจึงไม่ค่อยเห็นชัดเจนเท่าไหร่นัก
ทำทุกอย่างเหล่านี้เสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้สะบัดร่างหนึ่งครั้ง พลังกล้ามเนื้อระเบิดออกทุกด้าน ความเร็วนั้นทำให้พริบตาเดียวก็เหยียบย่างเข้าไปในผืนป่า ห้อทะยานดิ่งเข้าไปใกล้ต้นไม้ปีศาจอันเป็นที่ตั้งประตูสำนักธารฟ้า
ผืนป่าแห่งนี้เป็นป่าดิบชื้น มีเสียงโหยหวนดังลอยมาเป็นระยะ มีทั้งที่มาจากสำนักธารฟ้า และมีทั้งที่มาจากสำนักสยบธาร ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้นน้อยๆ ห้อตะบึงไปประมาณเกือบครึ่งก้านธูป สีหน้าก็พลันกระตุก ร่างหยุดชะงักกะทันหัน เบี่ยงตัวออกไปด้านข้าง แทบจะวินาทีเดียวกับที่เขาเลี่ยงออกไป นักพรตสร้างฐานรากของสำนักธารฟ้าสี่คนก็ปรากฏร่างขึ้นมาทันทีทันใด มือทั้งคู่ที่เปลี่ยนเป็นกิ่งไม้ของคนสองคนตบป้าบลงบนตำแหน่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ก่อนหน้านี้
ส่วนมือของอีกสองคนกลับกระแทกตูมลงบนม่านคุ้มกันของป๋ายเสี่ยวฉุน
เสียงเปรี๊ยะๆ ดังก้อง ม่านคุ้มกันแตกสลายลงไปบางส่วน ทว่ายังคงหลงเหลืออยู่ ทั้งยังเด้งกระดอนกลับไปทำให้นักพรตสร้างฐานรากสองคนนั้นเลือดลมไม่มั่นคง รีบถอยกรูดออกไปทันที ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามดังลั่น ความเร็วระเบิดออกแล้วพุ่งถลาเข้าชนตรงหน้าอกของนักพรตคนหนึ่งโดยตรง
เสียงกร๊อบดังลั่น นักพรตผู้นี้ร้องโหยหวน กระอักเลือดสด แม้แต่เครื่องในที่แหลกละเอียดก็ยังถูกพ่นออกมาจากปากด้วย ถูกชนจนกระเด็นออกไปไกลหลายสิบจั้ง มองดูแล้วไม่น่าจะรอด
ขณะที่อีกสามคนที่เหลือร้องอุทานด้วยความตกใจ มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนกลายเป็นสีดำ พริบตานั้นก็ยื่นพรวดออกไป ทั้งยังระเบิดแรงดึงดูดออกมา
ขณะที่นักพรตสร้างฐานรากคนที่พยายามจะหนีกำลังตะลึงพรึงเพริด ร่างก็ถูกดึงเข้ามาหาป๋ายเสี่ยวฉุน ราวกับว่าส่งตัวเองมาขึ้นเขียง ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนกักลำคอเอาไว้
ตรวนสลายลำคอ!
เมื่อมือของป๋ายเสี่ยวฉุนบีบเข้าหากันอย่างแรง เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง นักพรตสร้างฐานรากผู้นี้ก็เบิกตาค้าง ขาดลมหายใจตายไปทันที!
อีกสองคนที่เหลือพอมองเห็นภาพนี้ก็ตาเหลือก ถอยกรูดพร้อมลมหายใจถี่ระรัว เดิมทีเมื่อพวกเขาแน่ใจแล้วว่าเป็นป๋ายเสี่ยวฉุนจึงหมายจะเข้ามาเข่นฆ่า แต่กลับนึกไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่ไม่มีค่ายกลจำแลงก็ยังน่าหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้!
ทว่าวินาทีที่พวกเขาสองคนกำลังจะหนีไป มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันยกขึ้น ปราณเลือดรวมตัวกัน ตวัดฟันไปด้านหน้าอย่างแรง เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง แสงสีเลือดขนาดยักษ์ยาวสิบจั้ง รวมตัวกันขึ้นมาเป็นใบมีดตวัดกวาดทีเดียวก็หายวับไป
นักพรตสองคนที่คิดจะหนีนั้น เวลานี้ร่างหยุดชะงัก สีหน้าเผยความเหลือเชื่อ เมื่อก้มหน้าลงก็ได้ยินเสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ร่างถูกผ่าครึ่งเอวกลายเป็นสองท่อน!