Skip to content

A Will Eternal 333

บทที่ 333 นกฟ่งเหนี่ยวโหยไห้

แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสังหารนักพรตสร้างฐานรากที่ลอบโจมตีเขาสี่คนนั้น เสียงแหลมปรี๊ดพิลึกพึลั่นเสียงหนึ่งก็พลันดังมาจากในสำนักธารฟ้าที่ห่างออกไปไกล ดังไปทั่วทั้งสนามรบ

“คิกคิก คิกคิก…” ตามหลังเสียงนั้นคือเสียงหัวเราะที่ดังมาเป็นทอดๆ ทำให้ทุกคนที่ได้ยินต่างก็หนาวสะท้านอย่างห้ามไม่ได้ คล้ายว่าร่างกายตกอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง

วินาทีที่เสียงนั้นดังออกมา รุ้งยาวเส้นหนึ่งก็บินออกมาจากในสำนักธารฟ้า ลอยอยู่กลางอากาศ เผยให้เห็นว่านั่นคือ…ตุ๊กตาผ้าตัวหนึ่ง!

รูปร่างคล้ายของเล่นที่เด็กมนุษย์ธรรมดาโยนทิ้งแล้ว เวลานี้กำลังลอยอยู่กลางอากาศ แต่กลับแผ่ปราณน่าตะลึงออกมา และเสียงหัวเราะนั้นก็ออกมาจากปากของตุ๊กตาตัวนี้

ในดวงตาทั้งคู่ของนางมีประกายแสงสีแดงหนึ่งเส้นคล้ายกระหายเลือดอย่างถึงขีดสุด เวลานี้สะบัดร่างหนึ่งครั้งก็หายวับไป มาปรากฏตัวอีกครั้งอยู่เบื้องหน้านักพรตสำนักสยบธารคนหนึ่ง หลังจากแฉลบผ่านร่างเขาไป นักพรตผู้นี้เบิกตากว้าง ศีรษะระเบิดตูมทันใด เลือดสดสาดกระเซ็นไปสี่ทิศ เสียงหัวเราะของตุ๊กตาตัวนั้นก็ดังออกมาอีกครั้ง

ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่มองเห็นสำลักลมหายใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็หนังหัวชาหนึบ

“นี่ก็คืออาวุธล้ำค่าอันเป็นพลังแฝงของสำนักธารฟ้าน่ะหรือ?” ขณะที่ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนคิดเช่นนี้ ในผืนป่า กงซุนหว่านเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น มองตุ๊กตาตัวนั้นด้วยสายตาเย็นชา นัยน์ตาคล้ายแฝงไว้ด้วยแววดูหมิ่น

และเวลานี้เอง ทันใดนั้นมีรุ้งยาวเส้นหนึ่งปรากฏพรวดขึ้นกลางอากาศ ใช้ความเร็วที่มากที่สุดทะยานเข้าหาตุ๊กตาผ้า เมื่อมองอย่างละเอียด เงาร่างที่อยู่ในรุ้งยาวเส้นนั้นก็คือ…พลังแฝงของสำนักธาราโลหิต…หุ่นไล่กา!

บนใบหน้าของหุ่นไล่กาตัวนี้ก็มีรอยยิ้มที่แปลกประหลาดพอกัน ชั่วพริบตาที่ปรากฏตัว มันยกหนังคนที่ถือเอาไว้ในมือขึ้นมาสวมลงบนร่าง แล้วพุ่งเข้าหาตุ๊กตาผ้า

เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าดิน ไม่นานวัตถุที่ไม่ใช่มนุษย์สองสิ่งนี้ก็พุ่งเข้าประหัตประหารกันกลางอากาศ มีเสียงหัวเราะดังต่อเนื่อง พิลึกพิลั่นถึงขีดสุด!

นักพรตสำนักสยบธารจำนวนไม่น้อยผ่อนลมหายใจ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนและนักพรตยาอายุวัฒนะ รวมไปถึงสร้างฐานรากบางส่วนที่มีปฏิกิริยาตอบสนองไวหน่อยกลับหน้าถอดสี!

“หากตุ๊กตาผ้าตัวนี้คือพลังแฝงของสำนักธารฟ้า ทุกอย่างนี้ถือว่าดีหมด ทว่าหากวัตถุนี้ไม่ใช่พลังแฝงของสำนักธารฟ้า แต่เป็นอาวุธล้ำค่าที่ลดระดับลงมาหนึ่งขั้น…ถ้าเช่นนั้น ลำพังเพียงแค่อาวุธล้ำค่าก็ยังจำเป็นต้องให้พลังแฝงของสำนักธาราโลหิตไปรับมือ…แล้วพลังแฝงของสำนักธารฟ้าจะเป็นอะไรกันแน่!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รู้สึกว่าตุ๊กตาตัวนั้นไม่เหมือนพลังแฝง หากจะบอกว่าต้นไม้ปีศาจมะเดื่อฟ้าคือพลังแฝง ถ้าอย่างนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่รู้แล้วว่าในสำนักธารฟ้าจะยังมีพลังแฝงอื่นๆ ดำรงอยู่หรือไม่

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังตื่นตระหนกอยู่นั้นก็มีเสียงคำรามแหลมดังอีกเสียงหนึ่งลอยออกมาจากในประตูสำนักธารฟ้า นั่นคือผ้าห่อศพผืนหนึ่ง ด้านบนผ้าผืนนั้นมีรอยเลือดสีน้ำตาลเข้มติดอยู่ประปราย ปราณยากบรรยายระลอกหนึ่งระเบิดตูมออกในชั่ววินาทีที่ผ้าห่อศพนี้บินออกมา

ความแข็งแกร่งของพลังอำนาจคล้ายว่าจะสูสีกับตุ๊กตาผ้าตัวนั้น!

วินาทีที่ผ้าห่อศพผืนนี้บุกตะลุยคำรามเข้ามาใกล้ ควันกลุ่มหนึ่งพลันลอยขึ้นมาจากทิศไกลแล้วแผ่กระจายออกเป็นแสงสีทองไร้ที่สิ้นสุด สุดท้ายกลายร่างมาเป็นนักพรตผู้หนึ่ง ชายวัยกลางคนผู้นี้เต็มไปด้วยอำนาจบารมี เดินออกมาหนึ่งก้าว สกัดกั้นผ้าห่อศพเอาไว้!

เงาร่างนี้ ก็คือพลังแฝงของสำนักธาราทมิฬ!

นภากาศสั่นสะเทือน คลื่นของสงครามอบอวลไปทั่วฟ้าดิน ลมหายใจของ

ป๋ายเสี่ยวฉุนถี่รัวเร็ว รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยอย่างมากจึงหยิบยันต์ออกมาอีกไม่น้อย หลังจากแปะลงไปบนร่างแล้วก็เก็บเอาถุงเก็บของของคนทั้งสี่มา จากนั้นจึงได้เดินเคลื่อนหน้าไปอย่างระมัดระวัง

เขาพยายามไม่สนใจการต่อสู้บนท้องฟ้า เวลานี้เอาสมาธิทั้งหมดมาไว้ที่รอบด้าน รักษาความเร็วของตัวเองให้คงที่ ขณะที่เดินทางเคลื่อนไปข้างหน้า ทันใดนั้นดวงตาพลันเปล่งวาบ มือขวายกขึ้นทำมุทราชี้ไปยังจุดห่างไกล แปลงกระถางสีม่วงใบหนึ่งออกมาแล้วเหวี่ยงกระแทกลงไปอย่างแรง

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ตรงจุดนั้นปรากฏเป็นหลุมลึก ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็น เปิดดวงตาที่สามกลางหว่างคิ้ว หลังจากที่เนตรทงเทียนเบิกโพลง เขาจึงมองเห็นเงาร่างหนึ่งที่อยู่ข้างกระถางใหญ่ซึ่งต้องเปิดดวงตาที่สามถึงจะมองเห็นทันที

ไร้ซึ่งความลังเลใด ป๋ายเสี่ยวฉุนถลาพรวดออกไป ชั่วพริบตาที่เข้าไปใกล้ มือขวากำเป็นหมัด ร่างอสูรพลันระเบิดพลังลงไปในหมัดนั้นแล้วต่อยโครม

เงาร่างนั้นคล้ายรู้สึกคาดไม่ถึง ถอยกรูดอย่างรวดเร็ว ทว่าก็ยังหนีไม่พ้นโดนกระทบกระเทือน เมื่อกระอักเลือดจึงกลายร่างออกมาจากความว่างเปล่า เผยให้เห็นเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง สายตาของเขาที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนฉายความตะลึงพรึงเพริด

“เจ้ามองเห็นข้าด้วยรึ!!” ระหว่างที่พูดเขาก็หมายจะถอยหนี ทว่าปีกด้านหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏพรวดแล้วโบกกระพืออย่างแรงหนึ่งครั้ง ระเบิดความเร็วพร้อมเสียงดังตูม พอไล่ตามไปทันก็ยกเท้าขวาขึ้นแล้วเหวี่ยงออกไปอย่างแรง

เสียงปังดังขึ้น ไม่ว่านักพรตผู้นี้จะสกัดขวางเช่นไร หรือต่อให้หยิบเอาอาวุธวิเศษป้องกันกายออกมามากแค่ไหนก็ยังไม่มีประโยชน์ อาวุธป้องกันกายเหล่านั้นพังทลายลงไปในพริบตาเดียว การเตะครั้งนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้ทุกอย่างพินาศวอดวาย พลังแข็งแกร่งของเขาจึงกระแทกลงบนร่างของนักพรตผู้นี้โดยตรง ดับทำลายทุกพลังชีวิตของเขาให้มอดม้วย

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่หยุดชะงัก เก็บเอาถุงเก็บของของอีกฝ่ายมาแล้วจึงเดินหน้าอีกครั้ง เปิดเนตรอาคมไปตลอดทาง ทุกที่ที่ผ่านไม่ว่าใครก็ตามที่ซ่อนเร้นอำพรางตนล้วนมิอาจหนีรอดไปได้ เขายังถึงขั้นไปยังเขตพื้นที่ที่คนอื่นอยู่ หากเห็นว่าสหายร่วมสำนักได้รับบาดเจ็บก็จะลงมือช่วยเหลือทันที

ตลอดทางนี้เขามองเห็นซากศพจำนวนมาก มีทั้งของสำนักธารฟ้า และมีทั้งของสำนักสยบธาร อีกทั้งในบรรดาซากศพเหล่านั้นยังมีใบหน้าที่เขาคุ้นเคยด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงัน

เขาไม่รู้ว่าควรจะแสดงความรู้สึกในเวลานี้ออกมาเช่นไร เขารู้แค่เพียงว่าปราณดุร้ายบนร่างของตัวเองยิ่งเข้มข้นมากขึ้น…

“นี่ก็คือการบำเพ็ญตบะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ เหตุผลนั้นเขาเข้าใจ ตอนที่อยู่เทือกเขาลั่วเฉิน หุบเหวกระบี่อุกกาบาต เมืองคูน้ำ เขาก็เข้าใจแล้ว ทว่าทุกครั้งที่ถึงเวลาเช่นนี้ก็ยังอดรู้สึกซับซ้อนไม่ได้อยู่ดี

ท่ามกลางความเงียบงันนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันได้ยินเสียงร้องเร่งร้อนเสียงหนึ่งดังลอยมาจากทิศไกล เสียงร้องแหบแห้งนี้แฝงไว้ด้วยความกังวล มากด้วยความรวดร้าวคล้ายเศร้าอาดูรถึงขีดสุด ทำให้คนที่ได้ยินล้วนเจ็บปวดใจคล้ายถูกเข็มทิ่มแทง

เสียงนี้ในหูของคนอื่นฟังเป็นเช่นนี้ ทว่าในหูของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับดังราวฟ้าผ่า เขาจำที่มาของเสียงนี้ได้ทันทีทันใด

“นกฟ่งเหนี่ยว?” ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเพิ่มความเร็วบินดิ่งไปยังทิศทางที่เสียงร้องแหบโหยนั้นดังลอยมา ไม่นานก็เข้าไปใกล้ มองเห็นว่านกฟ่งเหนี่ยวที่ปีนั้นกินยากระสันซ่านของป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไป ซึ่งเวลานี้ราวกับกำลังเป็นบ้า ต่อให้ตัวเองบาดเจ็บ ต่อให้เลือดจะท่วมจนโชกร่างก็ยังคงโจมตีหญิงสาวที่สวมชุดดำผู้หนึ่ง

หญิงสาวผู้นี้ใบหน้าเย็นชา บนหน้ามีรอยแผลเป็นเส้นหนึ่งซึ่งหลงเหลือจากบาดแผลที่หายดีแล้วราวกับเคยถูกทำให้เสียโฉม ดวงตาของนางดุร้าย ตลอดทั้งร่างให้ความรู้สึกถึงอันตรายที่น่าตะลึง

ในมือของนางเวลานี้ถือศีรษะของคนผู้หนึ่ง ศีรษะนี้เป็นของผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เบิกตากว้าง คล้ายไม่อยากเชื่อกับการตายของตัวเอง

บนพื้นคือร่างที่ไร้ศีรษะ สวมอาภรณ์ของสายธาราเทพ…เลือดสดยังคงไหลนองออกมาด้านนอก

“ผู้อาวุโสโจว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเยือกไปทั้งร่าง มองศีรษะนั้นด้วยอาการเหม่อลอย

คนที่ตายผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสแห่งเขาเซียงอวิ๋นของสายธาราเทพ และก็กลายมาเป็นผู้นำเขาเซียงอวิ๋นแทนที่หลี่ชิงโหว!

ร่างของเขาสั่นเทิ้ม ริมฝีปากสั่นระริก บัดนี้ในสมองของเขามีภาพเหตุการณ์จำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมา…

ตอนที่เพิ่งขึ้นเขา เขาเคยขโมยกินอาหารวิเศษที่ต้องนำไปส่งให้ผู้อาวุโสโจวพร้อมกับพวกจางต้าพั่ง…

นกฟ่งเหนี่ยวพาผู้อาวุโสโจวบินมาหยุดอยู่กลางอากาศ ชี้มาที่ตนซึ่งเพิ่งเดินออกมาจากหอหลอมยาด้วยท่าทางที่บอกว่าตนเป็นผู้ทำร้ายมัน…

บนเขาเซียงอวิ๋น ผู้อาวุโสโจวบินไล่กวดตนด้วยใบหน้าเดือดดาล ส่วนตนกรีดร้องโหยหวน…

การประลองคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติก่อนศึกใหญ่สองชายฝั่งเหนือใต้ ตนที่เดิมทีหมายจะปะปนกับคนอื่นเพื่อให้ผ่านด่านไป ภายใต้เสียงคำรามดังของผู้อาวุโสโจว ตกใจจนรีบบินทะยานขึ้นสะพาน ได้ที่หนึ่งมาครอง…

หลังจากที่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ปรากฏขึ้นในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ อีกครั้ง ความเจ็บปวดเสียใจไร้คำบรรยายตลบอบอวลเต็มหัวใจของเขา ทว่าความเสียใจนั้นกลับรวมตัวกันกลายมาเป็นอสนีบาตที่ระเบิดออกเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!

เขาจ้องเขม็งไปที่หญิงสาวผู้นั้น มือทั้งคู่กำเป็นหมัดแน่น!

นกฟ่งเหนี่ยวเวลานี้ก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว มันกรีดร้องเสียงเศร้าอาลัย บินดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน หญิงสาวผู้นั้นหัวเราะเสียงเย็น มือขวาพลันยกขึ้นชี้ไปที่นกฟ่งเหนี่ยวตัวนั้น

แสงสีดำเส้นหนึ่งบินพรวดเข้าหานกฟ่งเหนี่ยวทันที มันกลายร่างเป็นปากขนาดใหญ่ หมายจะเขมือบกลืนนกฟ่งเหนี่ยว

“เจ้ารนหาที่ตาย!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามกร้าว เดินออกไปหนึ่งก้าว ความเหี้ยมโหดอำมหิตพลันปะทุพวยพุ่งออกจากร่างของเขา เมื่อเท้าเหยียบลงพื้นก็มาปรากฎอยู่ด้านหลังนกฟ่งเหนี่ยว แล้วต่อยโครมลงไปที่ปากยักษ์สีดำซึ่งเข้ามาใกล้นั่นทันที!

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ปากใหญ่สีดำนี้พังทลายกลายมาเป็นหมอกสีดำปริมาณมาก ทว่ากลับไม่ได้สลายออก แต่พริบตาเดียวก็รวมตัวกันขึ้นมาเป็นร่างหนึ่ง ซึ่งก็คือผู้หญิงคนนั้น!

ส่วนร่างของนางที่อยู่ห่างออกไปไกลก่อนหน้านี้ เวลานี้กลับกลายมาเป็นเงาพร่าเลือน เรือนกายที่แท้จริงตอนนี้มาปรากฏอยู่ด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน มุมปากนางมีรอยยิ้มเย็นชาและดูหมิ่น มือขวายกขึ้นแล้วชี้ไปที่หว่างคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างดุดัน!

อยู่ใกล้กันมากเกินไปจนมิอาจหลบเลี่ยงได้ และป๋ายสี่ยวฉุนก็ไม่คิดจะหลบเลี่ยง วิชาอมตะมิวางวายในร่างของเขาระเบิดออก ร่างอสูรพลันก่อตัวขึ้น ไม่เพียงแต่ไม่ถอยหลัง กลับยังเดินหน้าขึ้นไปรับนิ้วชี้นั่นอย่างไม่เกรงกลัวอีกด้วย!

หญิงสาวหน้าเปลี่ยนสี นางนึกไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเหี้ยมโหดถึงขนาดไม่เลือกวิธีการแบบนี้

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง นิ้วมือของนางก็สัมผัสเข้ากับหน้าผากของป๋ายเสี่ยวฉุน

เสียงกร๊อบดังลั่น ร่างของหญิงสาวถอยกรูดรวดเร็ว นิ้วมือหักงอ นัยน์ตาเผยความเคร่งเครียดออกมาเป็นครั้งแรก

“ไม่มีเวลาให้มาพัวพันอยู่กับเจ้า!” หญิงสาวเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงแหบพร่าแล้วถอยร่น หมายจะจากไป

“ทว่าข้าจะพัวพันอยู่กับเจ้าให้ได้!” หว่างคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏรอยแผลขึ้นหนึ่งรอย ทว่าเขาไม่สนใจแม้แต่น้อย ขณะที่เอ่ยปากเสียงเรียบ มือขวาก็ยกขึ้นทำมุทราแล้วกดลงไปบนพื้น

“โลหิตปลิดโลกา!”

ตูม ปราณเลือดไร้ที่สิ้นสุดแผ่กระจายออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน กลายมาเป็นตราผนึกที่ก่อตัวขึ้นเป็นอาณาเขตแห่งหนึ่ง สกัดขวางการจากไปของหญิงสาวผู้นั้น!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!