บทที่ 344 บูรณะปรับปรุง
สำนักสยบธาร เข้ามาก่อตั้งอยู่ในแม่น้ำตอนกลาง!
เรื่องนี้ครึกโครมไปทั่วตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรและสำนักทั้งหมดในแม่น้ำตอนกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่อีกสามสำนักใหญ่เงียบงัน ก็ยิ่งทำให้เรื่องนี้แพร่กระจายออกไปทั่วแปดทิศในระยะเวลาสั้นๆ
นี่เป็นตัวแทนการเปลี่ยนแปลงทางรูปแบบขอบเขตของตลอดทั้งแม่น้ำตอนกลาง เป็นตัวแทนว่าหนึ่งในผู้พิชิตใหญ่ทั้งสี่ได้ถูกโยกย้ายแทนที่ อีกทั้งการที่สำนักสยบธารมาจากแม่น้ำตอนล่าง ก็ยิ่งเป็นการปลุกเร้าสร้างกำลังใจให้กับโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนล่างของอีกสามสำนักใหญ่ในระดับที่มิอาจพรรณนาได้
สำนักสยบธารจะสร้างที่ตั้งสำนักของพวกเขาบน…ที่ตั้งเก่าของสำนักธารฟ้า!
โครงการสร้างที่ตั้งสำนักนี้ บุรพาจารย์ทั้งสี่สายได้ปรึษากันไว้เรียบร้อยนานแล้วว่าต้องตอบสนองต่อความต้องการของทั้งสี่สาย ขณะเดียวกันก็ต้องพร้อมสำหรับการบุกโจมตีและป้องกัน เพราะยังไงซะที่ตั้งของสำนักก็ต้องสามารถแบกรับการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาอย่างน้อยหมื่นปีขึ้นไป เป็นตัวแทนของเกียรติยศและความรุ่งโรจน์ของสำนักสยบธาร!
จุดศูนย์กลางของที่ตั้งสำนักใหม่คือภูเขาลูกหนึ่งที่ตัวของภูเขาเกือบครึ่งจมอยู่ใต้แม่น้ำทงเทียน อีกเกินครึ่ง โผล่พ้นแม่น้ำทงเทียนสูงตระหง่านเสียดฟ้า!
ภูเขาลูกนี้ใหญ่มากจนเกือบตัดขาดแม่น้ำทงเทียนเลยทีเดียว ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับมีวิธีการมากมายทำให้แม่น้ำทงเทียนยังคงไหลผ่านไปได้เช่นเดิม
ภูเขาลูกนี้สูงทะยานแทงทะลุชั้นเมฆ หากเงยหน้ามองจากริมฝั่งแม่น้ำทงเทียนก็ยังมองไม่เห็นยอดเขา เห็นแค่เพียงเมฆหมอกที่ล้อมวน พลังอำนาจยิ่งใหญ่เกรียงไกร
ภูเขาลูกนี้ถูกตั้งชื่อว่าภูเขาสยบธาร! มันจะกลายมาเป็นจุดศูนย์กลางของสำนักสยบธาร และก็เป็นที่อยู่อาศัยของบุรพาจารย์ ใช้พลังแฝงกำราบควบคุม ทั้งยังเป็นจุดศูนย์กลางในการวางแผนกลยุทธ์ของสำนักสยบธารในอนาคตด้วย
ขณะเดียวกันบริเวณโดยรอบของภูเขาสยบธารก็มีเทือกเขามโหฬารอีกสี่เส้นที่ถูกเคลื่อนย้ายมาด้วยพลังมหัศจรรย์ ทอดยาวออกไปไกลพอพันลี้ เทือกเขาทุกเส้นล้วนมียอดเขาที่เตี้ยกว่าภูเขาสยบธารอยู่แปดลูก!
ตามแผนการที่วางไว้เทือกเขาทั้งสี่เส้นนี้จะแบ่งออกเป็นเทือกเขาของเทพ โลหิต ทมิฬ และโอสถสี่สายของสำนักสยบธาร!
และประตูใหญ่ของสำนักสยบธารที่หันหน้าเข้าหาแม่น้ำทงเทียน…ที่นั่น ทางฝั่งซ้ายมียักษ์ตนหนึ่งยืนตระหง่าน ตลอดทั้งร่างของยักษ์ตนนี้อบอวลไปด้วยปราณเลือด ยืนนิ่งคล้ายหลับสนิท ซึ่งก็คือ…บรรพบุรุษโลหิต!
ทางฝั่งขวาคือต้นไม้ปีศาจมะเดื่อฟ้าที่ยืนพิทักษ์สำนักสยบธารเช่นเดียวกับยักษ์ตนนั้น
การดำรงอยู่ของวัตถุสูงตระหง่านเสียดฟ้าน่าครั่นคร้ามทั้งสองนี้ก็คือพลานุภาพสยบที่แข็งแกร่งมีพลังที่สำนักสยบธารมีต่อสำนักอื่นๆ ในแม่น้ำตอนกลาง พลานุภาพสยบเช่นนี้มากพอจะทำให้สำนักมากมายกริ่งเกรง
แผนการจัดตั้งสำนักของสำนักสยบธารมองดูแล้วเหมือนเรียบง่าย ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับครอบคลุมไปทั่วทุกด้าน โดยเฉพาะอาณาเขตรอบด้านที่มีค่ายกลใหญ่ปกคลุม เมื่อเทียบกับที่สำนักธาราเทพแล้วถือว่ากว้างใหญ่กว่าหลายสิบเท่า
สำนักเช่นนี้ถึงจะสอดคล้องกับพลังอำนาจของสำนักใหญ่แม่น้ำตอนกลาง ถึงจะสามารถทำให้ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดไม่กล้าเกิดความคิดจะเป็นกบฎ
เวลาเดียวกันนั้น สำนักสยบธารก็ได้ส่งทูตไปยังโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนล่างที่อยู่ใต้อาณัติเพื่อตั้งกฏเกณฑ์ ทำให้สี่สำนักใหญ่ตอนล่างที่เกิดขึ้นมาใหม่เพราะการแข่งขันกลับคืนสู่ความสงบสุขเข้ารูปเข้ารอยอีกครั้ง และพวกเขาต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับที่สี่สายของสำนักสยบธารเคยทำ นั่นคือทุกปีต้องมอบทรัพยากรจำนวนมากมาบรรณาการให้แก่สำนักสยบธาร
ส่วนสำหรับภายนอก สำนักสยบธารได้ประกาศปิดผนึกขอบเขตอิทธิพลของตัวเอง ก่อนหน้าที่สำนักใหม่ยังสร้างไม่เสร็จ ไม่อนุญาตให้กลุ่มอิทธิพลใดๆ เหยียบย่างเข้ามา และยิ่งไม่อนุญาตให้คนในออกไปข้างนอก
สำนักสยบธารประกาศคำสั่งแรกนี้ออกไปโดยอาศัยอำนาจบาตรใหญ่ที่ดับทำลายสำนักธารฟ้าได้ ในอาณาบริเวณของพวกเขาจึงไม่มีใครล่วงละเมิดเข้ามา ต่อให้เป็นสำนักใหญ่ตอนกลางอีกสามแห่งก็ยังไม่ยินดีจะล่วงเกินสำนักสยบธารเอาในเวลานี้
ต่อให้เมื่อเทียบกับพวกเขา สำนักสยบธารจะอ่อนแอที่สุด ทว่ายังไงซะสำนักเบื้องบนก็ให้การยอมรับแล้ว พวกเขาเองก็ไม่อยากจะหมางใจกันอย่างเด่นชัดตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นแบบนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในขอบเขตอิทธิพลของสำนักสยบธารจึงมีแต่ความสงบสุข เมื่อได้เผชิญกับความสันติสุขเช่นนี้ คนมากมายรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันก็มีคนมากมายตื่นเต้น แต่สำหรับคนของสำนักสยบธารแล้ว พวกเขาไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลยสักนิด
เพราะพวกเขามีเรื่องมากมายที่ต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสำนัก การจัดระเบียบแม่น้ำตอนล่าง หรือจะเป็นการจัดการกับขอบเขตของสำนักที่ใหญ่กว่าโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนล่างมากมายหลายเท่าตัว ไม่ว่าเรื่องใดล้วนจำเป็นต้องมีการวางแผนและเตรียมการอย่างละเอียดทั้งสิ้น
ยังดีที่สำนักสยบธารมีสี่สาย หลังจากที่บุรพาจารย์ทั้งสี่สายปรึกษากันจึงแบ่งขอบเขตกันทันที แต่ละสายล้วนได้ครอบครองหนึ่งเทือกเขา ซึ่งจะก่อสร้างตามรูปแบบความชื่นชอบและความต้องการของใครของมัน
สายธาราเทพเนื่องจากมีป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่จึงได้ครอบครองเทือกเขาตะวันออกไปโดยตรง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ยังคงแบ่งเป็นเทือกเขาเหนือใต้เจ็ดแห่งอย่างตอนที่อยู่ในสำนักธาราเทพ เพียงแต่ว่ายอดเขาที่แปดจะเป็นพื้นที่สำหรับนักพรตรวมโอสถเท่านั้น
สายธาราโลหิตครอบครองเทือกเขาทิศใต้ ที่นี่อยู่ใกล้ร่างของบรรพบุรุษโลหิตมากที่สุด ทำให้ในด้านการฝึกวิชาของสายธาราโลหิตไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งยังวางแผนไว้ด้วยว่าอนาคตจะมีบุตรโลหิตเกิดขึ้นแปดเขา และผู้ที่เป็นบุตรโลหิตก็จำเป็นต้องเป็นนักพรตรวมโอสถเท่านั้น!
สายธาราทมิฬและสายธาราโอสถก็มีการวางแผนในลักษณะเดียวกัน สายธาราทมิฬนั้นใช้การฝึกค่ายกลและการแยกร่างเป็นหลัก ส่วนสายธาราโอสถก็มุ่งหน้าเดินอยู่บนวิถีแห่งโอสถต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ เค้าโครงของสำนักสยบธารจึงสมบูรณ์แบบอย่างมาก สอดคล้องกับคำจำกัดความของคำว่าสำนักใหญ่ได้อย่างพอดิบพอดี!
ท่ามกลางการสร้างและบูรณะนี้ ทั้งหมดล้วนดำเนินไปตามแผนการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ไม่ว่าจะเป็นภูเขาสยบธารอันเป็นจุดศูนย์กลางหรือค่ายกลรอบด้านก็ล้วนเป็นเช่นเดียวกัน รวมไปถึงการจัดระเบียบและการทำความสะอาดสมรภูมิรบ บริเวณโดยรอบซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของสำนักธารฟ้าเต็มไปด้วยซากศพมากมาย และที่ได้รับการจัดการก่อนคือศพของคนสำนักสยบธารที่ตายในสนามรบ
คนเหล่านี้ล้วนถูกส่งไปฝังในที่ที่กำหนดไว้ให้ ชื่อของพวกเขาถูกบันทึกเอาไว้ กลายเป็นวิญญาณวีรชนของสำนักสยบธารที่คนรุ่นหลังจะจดจำขึ้นใจและให้การสรรเสริญ
มีเรื่องให้ต้องทำเยอะแยะไปหมด โดยเฉพาะที่ตอนนี้สงครามยุติลงแล้ว ในสี่สายของสำนักสยบธารจะเลือกใครเป็นผู้นำ แล้วจะเลือกใครเป็นเจ้าสำนัก กฎระเบียบภายในมากมายล้วนจำเป็นต้องกำหนดขึ้นในช่วงเวลานี้ ยังดีที่เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นหน้าที่ที่บุรพาจารย์ของสี่สายต้องเป็นกังวล ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงกลายเป็นคนว่างงานยิ่งกว่าใคร
มองเห็นคนรอบด้านยุ่งวุ่นวายกันอยู่ทุกวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย ไม่ว่าเขาเดินไปที่ไหนก็ล้วนได้รับสายตาเคารพเลื่อมใสและการคำนับจากลูกศิษย์จำนวนมากของสำนักสยบธาร ตอนแรกเริ่มเขายังรู้สึกสบายอารมณ์ ทว่านานวันเข้าก็หมดความสนใจไปเอง
“ช่างเถอะๆ ข้าไปคุยเล่นกับเสี่ยวเม่ยก็แล้วกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำกับตัวเอง เดินอยู่ในสายธาราเทพ แล้วก็เจอโหวเสี่ยวเม่ยในกลุ่มคนที่กำลังควบคุมให้ยักษ์ค่ายกลย้ายภูเขา
“เสี่ยวเม่ย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะเอ่ยปาก…
“พี่เสี่ยวฉุน ท่านอย่าเพิ่งมากวนข้านะ ข้ากำลังยุ่ง” โหวเสี่ยวเม่ยปาดเหงื่อ หลังจากตะโกนบอกหนึ่งประโยคก็ยุ่งวุ่นวายกับงานของนางต่อไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย หลังจากยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งก็พลันมองเห็นจางต้าพั่ง
“ศิษย์พี่ใหญ่…”
“เสี่ยวฉุน มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกัน ข้าต้องหลอมพลังจิต…” จางต้าพั่งสีหน้าจริงจัง หลังจากมองป๋ายเสี่ยวฉุนครั้งหนึ่งก็รับปากส่งๆ หนึ่งประโยค จากนั้นก็มุ่นทำธุระของตัวเองร่วมกับพวกสวีเหม่ยเซียงต่อ
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มค้าง หน้าม่อยคอตก ขณะที่กำลังจะจากไปพลันมองเห็นโหวอวิ๋นเฟยที่บินมาจากทิศไกล
“พี่ใหญ่โหว…”
“เสี่ยวฉุน เจ้าหลบไปหน่อย ท่านอาจารย์ให้ข้าไปจัดการหอวิชา…”
โหวอวิ๋นเฟยไม่ได้ชะงักฝีเท้า คำรามอู้ผ่านไปโดยตรง
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มเจื่อน มองเห็นทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับงาน ดังนั้นจึงไปที่สายธาราโลหิต เพิ่งจะเหยียบย่างเข้าไปก็มองเห็นซ่งจวินหว่านกำลังบัญชาการลูกศิษย์เขาจงเฟิงหลายคนให้สร้างเขาจงเฟิงขึ้นมาใหม่
“พี่หญิงซ่ง…”
“เย่จั้ง ไปเล่นที่อื่นไป!” ซ่งจวินหว่านสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พูดด้วยท่าทางวางอำนาจอย่างมากแล้วจึงบัญชาการต่อ
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเซ่อไปเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะพูดอะไรต่อด้านหลังของเขาก็มีเสียงสั่นๆ เสียงหนึ่งดังลอยมา
“บุรพาจารย์น้อย ข้าว่า…ข้าว่าท่านไปก่อนดีหรือไม่ ท่านอยู่ที่นี่ ข้าตื่นเต้น…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากจะบ้า ถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครั้งแล้วจึงจากไปเงียบๆ
ทุกคนที่เขาสนิทด้วยล้วนไม่มีเวลามาสนใจเขา แต่ละคนล้วนมีภารกิจติดตัว แม้แต่เถี่ยตั้นก็ยังถูกส่งตัวให้ไปสั่งการสัตว์รบตัวอื่นๆ มาช่วยเหลือ
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนว่าตอนนี้ตลอดทั้งสำนักสยบธารมีตนคนเดียวที่ไม่มีอะไรทำ…ผู้ที่สามารถมอบภารกิจให้เขาได้มีเพียงบุรพาจารย์ขั้นก่อกำเนิด และตอนนี้บุรพาจารย์เหล่านั้นก็กำลังปรึกษาเรื่องใหญ่กัน ถึงขั้นที่ว่าบางครั้งยังได้ยินเสียงทะเลาะและเสียงคำรามของพวกเขาดังลอยมาจากบนเขาสยบธารด้วย
“ไหนพูดกันว่าคนเก่งต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นไงล่ะ ทำไมบุรพาจารย์น้อยที่ร้ายกาจเช่นข้ากลับไม่มีอะไรให้ทำ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไม่ออกจริงๆ ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง ดังนั้นจึงปลงตกอย่างมาก
“ช่างเถอะๆ ข้าไปหลอมยาก็แล้วกัน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกจนใจเล็กน้อย จากนั้นก็มาที่ริมฝั่งแม่น้ำทงเทียน หลังจากหาที่เหมาะๆ เจอก็นั่งลงทำสมาธิ พยายามสงบจิตใจของตัวเองแล้วย้อนนึกถึงสัจธรรมความจริงของยาทวนธาราที่ซ่อนเร้นอยู่ในหยดเลือดที่ทารกหญิงเจินหลิงมอบให้ตนก่อนหน้านั้น
“นางมอบโชควาสนาครั้งหนึ่งให้แก่ข้า ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะต้องหลอมยาทวนธาราเพื่อนางให้ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเสียงเบา ไม่นานจิตใจของเขาก็สงบลง ท่ามกลางการทำความเข้าใจ ในสมองของเขาก็เริ่มวิเคราะห์และพิจารณาวิธีการหลอมยาทวนธารา
เวลาผันผ่าน ค่ำคืนมืดมิดมาเยือน…แม้ว่านักพรตสยบธารจะรีบเร่งดำเนินงานจนยุ่งวุ่นวายกันแค่ไหน แต่พอถึงเวลากลางคืนก็ยังต้องพักผ่อน ไม่นานตลอดทั้งฟ้าดินก็เงียบสงัดลง
ศพของนักพรตสำนักสยบธารที่อยู่บนสนามรบถูกเก็บไปหมดแล้ว ส่วนศพของคนสำนักธารฟ้าก็ถูกเก็บไปแล้วเกินครึ่ง ซึ่งจะถูกนำไปรวมกันในพื้นที่ที่กำหนดไว้ ทว่ายังมีศพนอนกองระเกะระกะอีกจำนวนหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้เวลาอีกหลายวันทยอยเก็บออกไป
เวลานี้ดวงจันทร์ลอยเด่นกลางฟ้า เดิมทีแสงจันทร์สาดส่องให้พื้นดินสว่างจ้ามองเห็นชัดเจน ทว่าทันใดนั้น…ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เมฆดำถึงได้บังเกิดขึ้นแล้วค่อยๆ …เคลื่อนเข้าปกคลุมดวงจันทร์ จนพื้นดิน…มืดสนิท ท่ามกลางความมืดมิดนั้น มีเงาร่างสวมชุดขาวร่างหนึ่งค่อยๆ เดินออกมาจากความว่างเปล่า



