บทที่ 351 มานั่งเล่นที่ถ้ำของข้า…
สัมผัสได้ถึงความพึงพอใจของป๋ายเสี่ยวฉุน วิญญาณเย่จั้งตัวปลอมร้องโหยไห้อยู่ในใจ แต่ก็ถือว่าหายใจหายคอได้คล่องเสียที สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ ก่อนหน้านั้นเขารู้สึกหวาดกลัว ทว่าตอนนี้ก็ยิ่งทั้งกลัวทั้งผวา
กลัดกลุ้มอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าต่อไปจะต้องเจอกับอะไรอีก…
ป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บกระจกลงไปด้วยความอิ่มเอมใจ แล้วก็พลิกอ่านจดหมายรักมากมายที่ตัวเองได้รับมาอีกรอบ สุดท้ายถึงได้เก็บทีละฉบับลงไปไว้ในถุงเก็บของด้วยอารมณ์เบิกบาน เขาตัดสินใจแล้วว่าต่อไปจะเอาจดหมายรักพวกนี้มาใช้เป็นต้นทุนในการโอ้อวดตัวเองให้ลูกให้หลานฟัง
ทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนลิงโลด หลังจากฝึกคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดอยู่พักหนึ่งก็เริ่มฝึกเอ็นคงกระพันตรงนิ้วโป้งเท้าซ้าย สุดท้ายยังเหลือเวลาอีกนานกว่าที่ฟ้าจะสาง เขาก็เริ่มไม่พอใจเล็กน้อย
“ทำไมฟ้าถึงได้สว่างช้านัก” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่สองสามประโยค แต่ก็ทำได้เพียงสงบจิตสงบใจไปศึกษายาทวนธารา
เวลาผันผ่าน ไม่นานก็ถึงยามสี่[1] ด้านนอกเงียบสงัด ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังศึกษายาทวนธารา ทันใดนั้นสีหน้าเขาพลันมืดคล้ำ ความรู้สึกเย็นเยียบแผ่ไปทั่วร่างอีกครั้ง เวลาเดียวกันนั้นคลื่นเคลื่อนไหวบนพื้นดินก็ยิ่งรุนแรงมากกว่าหลายครั้งก่อนหน้านี้ เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวก็แผ่ขยายไปทั่วถ้ำ
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวที่คนนอกไม่ได้ยินดังก้องอยู่ภายใน พลังแบ่งแยกระลอกหนึ่งคล้ายจะแยกถ้ำแห่งนี้ให้ออกห่างจากรอบด้าน เวลาเดียวกันนั้น ในถุงเก็บของของเขา หน้ากากที่ถูกปิดผนึกก็พลันระเบิดแสงสีแดงที่ดุเดือดกว่าเดิมหลายเท่าตัวออกมา
ราวกับว่าคราวนี้อิทธิพลลึกลับได้จ่ายค่าตอบแทนที่มหาศาลยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ ถึงฝืนก่อให้เกิดคลื่นเคลื่อนไหวทั้งๆ ที่อยู่ภายใต้ตราผนึกมากมาย พยายามจะสนทนากับป๋ายเสี่ยวฉุนให้ได้
เมื่อหน้ากากนั้นบินออกมาจากในถุงเก็บของด้วยตัวเอง น้ำเสียงที่แก่ชราซึ่งแฝงไว้ด้วยความร้อนรนและกังวลใจจึงรีบเอ่ยปากรัวเร็ว
“ฟังข้าพูดก่อน…”
คราวนี้พูดได้มากสุดคือสี่คำ ทว่าการเปลี่ยนแปลงรุนแรงที่มาเยือนกะทันหันนี้กลับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจ เขากรีดร้องเสียงแหลม มือขวายกขึ้นยันต์กำใหญ่ปรากฏพรวดอยู่ในมือแล้วถูกเขาขว้างออกไปอย่างแรง กระแทกตูมลงบนหน้ากาก ขณะเดียวกันตบะตลอดร่างของเขาก็ระเบิดออก พลังยาอายุวัฒนะวิถีฟ้าไหลกรากออกมากำราบหน้ากากนี้เอาไว้
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ หน้ากากนั่นก็ยังคงดิ้นรน เสียงแก่ชราที่อยู่ด้านในขุ่นมัวเล็กน้อย ฟังไม่ชัดเจน แต่สามารถสัมผัสได้ว่าคราวนี้ดูเหมือนอีกฝ่ายก็ยอมทุ่มสุดตัว ยังไงก็ต้องสื่อสารกับป๋ายเสี่ยวฉุนให้ได้
“เจ้าบังคับข้าเองนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตาแดงก่ำ ในใจเขาหวาดกลัว หลังจากขว้างยันต์ทั้งหมดออกไปก็สะบัดร่างหนึ่งครั้งบินพรวดออกจากถ้ำอย่างรวดเร็ว ระเบิดความเร็วสูงสุดไปตลอดทาง ตรงดิ่งไปยังแม่น้ำทงเทียนที่อยู่ล่างภูเขาสยบธาร!
มาถึงริมฝั่ง มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ต่อยโครมลงไปบนแม่น้ำทงเทียนอย่างแรง เสียงตูมดังสนั่น พอน้ำของแม่น้ำจำนวนมากพวยพุ่งขึ้นสูง เขาก็เอาถังใหญ่ใบหนึ่งที่ทำมาจากหินหยกรองรับน้ำจนเต็มถัง
ถังใหญ่ใบนี้เดิมทีเตรียมไว้เพื่อใช้ในการฝึกบำเพ็ญตบะของเขา ทว่าตอนนี้หลังจากบรรจุน้ำของแม่น้ำทงเทียนไว้เต็มแล้ว
เขาก็หมุนตัวพุ่งกลับเข้าไปในถ้ำ หน้ากากนั้นยังคงสั่นไหว น้ำเสียงคลุมเครือกำลังดังออกมาอย่างร้อนรน อีกทั้งดูท่าทางแล้วเหมือนว่าจะปะติดปะต่อกันมากขึ้น
“เจ้า…อย่า…ตัด…”
“ตัดกับหัวเจ้าน่ะสิ!” ป๋ายสี่ยวฉุนคำรามเดือดดาล คว้าหน้ากากมาได้ก็โยนมันลงไปในถังใหญ่ที่บรรจุน้ำแม่น้ำทงเทียนไว้เต็มทันที หวังใช้แม่น้ำทงเทียนตัดขาดการสื่อสารครั้งนี้
แทบจะวินาทีเดียวกับที่หน้ากากถูกโยนลงไปในถังน้ำ เสียงก็หยุดลงกลางคัน ส่วนหน้ากากก็แน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวอีก…
ป๋ายเสี่ยวฉุนสังเกตอยู่อีกพักใหญ่ถึงวางใจลงได้ แล้วจึงแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง
“นึกจริงๆ หรือว่านายท่านป๋ายของเจ้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้จริงๆ ครั้งนี้ดูสิเจ้าจะก่อเรื่องได้ยังไงอีก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพรูลมหายใจยาวอย่างลำพองใจ หลังจากปิดผนึกถังไม้ใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำของแม่น้ำทงเทียนเรียบร้อยแล้วจึงเก็บไปไว้ในถุงเก็บของ
ใช้น้ำแม่น้ำทงเทียนตัดขาดการสื่สาร หากวิญญาณของเย่จั้งตัวปลอมยังอยู่ภายในจะส่งผลกระทบต่อเขาอย่างแน่นอน ก่อนหน้านั้นป๋ายเสี่ยวฉุนถึงไม่ได้จัดการด้วยวิธีนี้ ทว่าตอนนี้ในเมื่อวิญญาณเย่จั้งตัวปลอมก็มาอยู่ในกระจกทองแดงแล้ว เขาจึงเลือกใช้วิธีนี้เพื่อขจัดผลร้ายที่จะตามมาในภายภาคหน้าอย่างไม่ลังเล
หลังจากวางใจเรื่องหน้ากากแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกราวกับได้ยกหินก้อนใหญ่ออกจากอก เขาไม่ยินดีล่วงเกินอิทธิพลลึกลับนั่น อีกทั้งไม่ต้องการลากให้สำนักไปเป็นศัตรูกับอิทธิพลลึกลับนี้ด้วย
เพราะยังไงซะเรื่องนี้เขาก็เป็นคนก่อขึ้นมาเอง ดังนั้นหากไม่สุดวิสัยจริงๆ เขาก็จะไม่มอบหน้ากากนี้ให้สำนักจัดการเด็ดขาด เวลานี้วางใจได้อย่างแท้จริงแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกปลอดโปร่งไปทั้งร่าง หลายวันจากนั้นเขาจึงมักจะออกไปรับจดหมายรักตั้งแต่เช้าตรู่
จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉก็ยังมาหาป๋ายเสี่ยวฉุนด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็จะออกไปรับจดหมายกับเขาด้วยให้ได้ สำหรับเรื่องนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ดังนั้นทุกวันที่ออกไปข้างนอกจึงไม่ได้มีเพียงแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียว ยังมีจางต้าพั่งและ
สวีเป่าไฉเพิ่มขึ้นมาด้วย
ทุกครั้งที่สองคนนี้มองเห็นลูกศิษย์หญิงวิ่งมาส่งจดหมายรักให้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะต้องเบิกตากว้าง ความอิจฉาที่แสดงออกมานั้นแม้แต่คนนอกก็ยังมองออก…
“จิ่วพั่ง เจ้าก็เห็นว่าข้าผอมแล้ว ทำไมถึงไม่มีใครเอาจดหมายรักมาส่งให้ข้าบ้าง!” จางต้าพั่งกลัดกลุ้มเล็กน้อย มองรูปร่างของตัวเองที่ผอมลงมาเยอะมากแล้ว ทว่าพุงยังยื่นออกมาเล็กน้อย หันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนตาปริบๆ
สวีเป่าไฉที่อยู่ข้างกายก็เป็นเช่นเดียวกัน สำหรับเรื่องราวอันเป็นตำนานของ
ป๋ายเสี่ยวฉุนในช่วงไม่กี่วันมานี้เขาได้บันทึกไว้ในสมุดเล่มเล็กหมดแล้ว ในใจคันยิบๆ ราวกับมีมดไต่…
ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินอยู่ในสำนัก ได้ยินคำพูดของจางต้าพั่ง เขาเอามือกำเป็นหมัดหลวมๆ มาวางไว้ตรงปากแล้วไอแห้งๆ หนึ่งที เชิดคางขึ้นน้อยๆ
“เรื่องนี้จำเป็นต้องมีพรสวรรค์ พวกเจ้าไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวข้าจะค่อยๆ สอนพวกเจ้าเอง…”
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะคุยโวด้วยความลำพองใจ ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นสวีเป่าไฉตาค้าง จางต้าพั่งที่อยู่ข้างกันก็เบิกตากว้าง ลมหายใจถี่รัว จ้องเขม็งไปที่ด้านหลังของเขา
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง เขาพบว่าไม่เพียงแต่จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ คนอื่นๆ ที่อยู่รอบด้านก็มีท่าทีเดียวกัน ดังนั้นจึงรีบหันกลับไปมอง แล้วก็เห็นทันใดว่าด้านหลังของตัวเองมีสาวน้อยคนหนึ่งเดินมาบนทางเล็กๆ ด้วยท่วงท่าการเดินอ้อนช้อย
หญิงสาวผู้นี้มองดูแล้วน่าจะอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปี ดวงตากลมโตทั้งคู่ดำขลับ ริมฝีปากแดงนุ่มนิ่มอวบอิ่ม จมูกโด่งเล็กน่ารักตั้งเด่นอยู่บนใบหน้างามพิสุทธิ์ที่อ่อนโยนและสง่างามของนาง บวกกับนวลแก้มที่ใสเต่งเรียบรื่น ผิวอมชมพูบอบบางคล้ายแค่ดีดก็แตกสลายได้ ทำให้นางเป็นหญิงที่คู่ควรกับคำว่างามล่มเมืองอย่างแท้จริง
นางสวมอาภรณ์สีเรียบๆ ปกปิดเรือนกายเพรียวบางงามล้ำของนาง ลำแขนขาวเรียวประดุจบัวหิมะ ท่อนขาเรียวยาวกลมกลึง น่องเล็กๆ บวกกับผิวพรรณที่เรียบรื่นตึงเต่ง อรชรสะโอดสะอง ผิวผ่องเป็นยองใย ใบหน้างามงดดุจหลุดออกมาจากภาพวาด สมกับที่เป็นสาวงามอันดับหนึ่ง
นางก็คือ…เฉินม่านเหยา!
“สาวงามอันดับหนึ่งของสำนักสยบธาร!”
สวีเป่าไฉสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ พึมพำเบาๆ ด้วยท่าทางเคลิบเคลิ้ม ฉายาสาวงามอันดับหนึ่งนี้เขาเป็นคนแต่งตั้งให้เอง ทั้งยังบันทึกไว้ในสมุดเรียบร้อย และได้แพร่ฉายานี้ให้กับคนทั่วทั้งสำนักรับรู้ อีกฝ่ายได้เข้ามามีอิทธิพลแม้แต่ในฝันของเขาหลายครั้งหลายครา เวลานี้เขาจึงยืดอกตั้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว นัยน์ตาเผยความเด็ดเดี่ยว ตลอดทั้งร่างมองดูแล้วไม่ได้เจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป แต่มีความสง่างามเพิ่มขึ้นมาหนึ่งส่วน
แม้แต่จางต้าพั่งเองก็ยังแขม่วพุงทันทีทันใด นัยน์ตาเปล่งประกายระยิบระยับ
“ไม่จริงมั้ง นี่ออกจะเกินจริงไปหน่อยไหม” ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินเสียงสูดลมหายใจจากรอบด้าน แล้วก็มองเห็นท่าทางของสวีเป่าไฉกับจางต้าพั่ง เขาแปลกใจอย่างมาก กวาดตามองเฉินม่านเหยาที่เดินเข้ามาหาหนึ่งครั้ง แม้จะรู้สึกว่าอีกฝ่ายสวยมากก็จริง ทว่ากลับไม่ได้รู้สึกถึงขั้นจิตใจเคลิบเคลิ้มหลงใหล
“หึ จดหมายรักที่นางได้รับต้องน้อยกว่าข้าแน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคางขึ้น มองเฉินม่านเหยา ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าท่าทางของผู้หญิงคนนี้คล้ายเสแสร้งแกล้งทำ
ขณะที่กำลังจะเดินหนีไปเพราะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ทันใดนั้นเฉินม่านเหยาก็เดินเร็วๆ เข้ามาหา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงใสกังวาน มากด้วยความอ่อนโยน ไพเราะน่าฟังอย่างมาก
“ศิษย์พี่ป๋าย โปรดรอก่อน”
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายพูดทักทายตน ดังนั้นจึงผินหน้าหันไปมอง
ภายใต้สายตาจับจ้องของเขา แก้มของเฉินม่านเหยาแดงก่ำน้อยๆ คล้ายเขินอาย นางก้มหน้าลงแล้วเดินเข้ามาใกล้ จากนั้นจึงหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าสีชมพูผืนหนึ่งออกมาวางไว้ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างรวดเร็ว
“หากศิษย์พี่ป๋ายมีเวลา คืนนี้ยามสาม[2] สามารถมานั่งเล่น…ที่ถ้ำของน้องได้หรือไม่…”
เฉินม่านเหยาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายปลุกระดมความกล้าให้กับตัวเอง หลังจากพูดจบแก้มนวลของนางก็ยิ่งแดงแปร๊ด ทั้งยังชม้ายมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง มองเห็นได้ว่าแม้แต่ลำคอที่ขาวเนียนของนางก็ยังเป็นสีแดงก่ำ จากนั้นก็รีบก้มหน้าลงแล้ววิ่งจากไปไกล
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน ถือผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือด้วยความมึนงง เขาได้รับจดหมายรักมาเยอะมาก หรือแม้แต่ของอย่างอื่นก็ล้วนได้รับมาหมดแล้ว ต่อให้เป็นผ้าเช็ดหน้าก็เคยมีคนให้หลายผืน แต่กลับไม่มีใครใจกล้าถึงขนาดนัดเวลา…และสถานที่แบบนี้มาก่อน…
“เอ่อ…นางให้ข้าไปนั่งเล่นที่ถ้ำของนาง…ความหมายของนาง คือให้ไปทำอะไรหรือ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหันกลับไปถามความเห็นจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉ
จางต้าพั่งมองเซ่อ
สวีเป่าไฉก็ยิ่งอึ้งค้างราวกับไก่ไม้ ยังคงมาดเดิมดังก่อนหน้านี้ แต่นัยน์ตากลับเผยความเหลือเชื่อ ในสมองของเขามีเสียงดังอึงอล การที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับจดหมายรักจากคนอื่น เขาก็แค่อิจฉาเท่านั้น ทว่าคราวนี้ เขาเห็นกับตาตัวเองว่าแม้แต่เฉินม่านเหยาก็ยังมอบจดหมายรักให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนด้วย…
ต้องเข้าใจว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เฉินม่านเหยาได้กลายมาเป็นเทพธิดาประจำใจของลูกศิษย์เกือบครึ่งค่อนสำนัก ชื่อเสียงของนางข่มทับลูกศิษย์หญิงทุกคน ได้กลายมาเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของสำนักสยบธารไปแล้ว
ทว่าตอนนี้ นางกลับเป็นฝ่ายเชิญชวนให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไปนั่งที่ถ้ำด้วยตัวเอง
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่านางให้ไปทำอะไร…” สวีเป่าไฉพ่นลมขุ่นมัวออกมาจากปากอย่างแรง พูดขึ้นด้วยความริษยาเต็มเปี่ยม
——
[1] ยามสี่ (四更)ช่วงเวลาตีหนึ่งถึงตีสาม
[2] ยามสาม(三更)ประมาณช่วงเที่ยงคืน