บทที่ 362 เปิดการสืบทอด
หลังจากที่เสียงนี้ดัง ในดารา อันตสองสำนักก็มีคนมากมายหัวเราะครืนกันขึ้นมา มองไกลๆ มายังร่างไม่กี่ร่างที่ยืนอยู่บนกระบี่เขาสวรรค์ จากนั้นก็ถอนสายตากลับคืน ไม่สนใจสำนักสยบธารที่ใกล้จะมาถึงอีก และในใจก็รู้สึกดูแคลนไปเรียบร้อย
การช่วงชิงที่เกิดจากการแบ่งทรัพยากรของสี่สำนักใหญ่เช่นนี้ เพราะจำเป็นต้องนำมารวมกัน ดังนั้นจำนวนคนจึงสำคัญอย่างถึงที่สุด ทว่าสำนักสยบธารกลับมีคนเดียวที่มีคุณสมบัติ ถ้าเช่นนั้นจึงแทบไม่ต้องคิดอะไรให้มากความก็รู้ได้ว่าคราวนี้สำนักสยบธาร…หากได้ไปแค่หนึ่งจากร้อยก็ถือว่าโชคช่วยมากแล้ว
โดยเฉพาะนักพรตสำนักธารดาราที่พวกเขารู้ถึงสาเหตุของการแบ่งทรัพยากรครั้งนี้เป็นอย่างดี เวลานี้ในใจก็ยิ่งผ่อนคลาย ตอนที่มองมายังสำนักสยบธาร แม้ว่าใบหน้าของทุกคนไม่ได้เผยความดูแคลนออกมา ทว่าในใจกลับมองเมินพวกเขาไปแล้ว
มีเพียงเฉินอวิ๋นซานเท่านั้นที่นัยน์ตาของเขาแฝงไว้ด้วยจิตสังหาร ใจเขาโกรธแค้นป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ยิ่งนัก ภาพเหตุการณ์ของเมื่อหนึ่งเดือนก่อนทำให้ตลอดทั้งหนึ่งเดือนมานี้เขาเหมือนตกอยู่ในฝันร้ายตลอดเวลา แถมยังถูกลงโทษเพราะเหตุนั้นด้วย ทั้งตอนกลับไปยังสำนักก็กลายเป็นตัวตลกของคนอื่น นั่นทำให้ความขุ่นเคืองในใจเขายิ่งลึกล้ำมากขึ้นเรื่อยๆ
“น่าเสียดายที่ที่นี่ไม่อนุญาตให้เข่นฆ่ากัน มิฉะนั้นข้าจะต้องสังหารเขาให้ได้แน่นอน!” เฉินอวิ๋นซานจ้องไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน แอบกล่าวอยู่กับตัวเองในใจ
ส่วนทุกคนของสำนักธารอันตต่างก็ถอนสายตากลับ ไร้ซึ่งความสนใจใดๆ ต่อสำนักสยบธารที่กำลังจะมาถึง สำหรับพวกเขาแล้วครั้งนี้ก็เป็นแค่ภารกิจที่สำนักมอบหมายมาให้เท่านั้น ทุกคนที่เข้าร่วมล้วนได้รับค่าตอบแทนไม่ธรรมดา ทว่าสำนักสยบธารกลับมีแค่คนเดียว เรื่องนี้ทำให้ความรู้สึกเหยียดหยามลอยขึ้นมากลางใจของพวกเขา
และขณะที่นักพรตของทั้งสองฝ่ายต่างเป็นเช่นนี้ เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง กระบี่เขาสวรรค์ก็คำรามมาจากบนนภากาศ หลังจากหยุดนิ่งแล้ว พวกชื่อหุนสามคนก็พา
ป๋ายเสี่ยวฉุนและเถี่ยตั้นเดินจากกระบี่เขาสวรรค์ลงมาบนพื้น
ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้น เบิกตากว้าง เหม่อมองนักพรตดารา อันตสองสำนัก แค่เขากวาดตามองก็เห็นว่าจำนวนนักพรตของสองสำนักมีรวมโอสถมากเกือบยี่สิบคน อีกทั้งแต่ละคนยังไม่ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด แถมหลายคนนั้นยังทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกได้ถึงวิกฤตรุนแรงจนใจสั่นระรัวขึ้นมาทันที
“ทำไม…ทำไมถึงมีคนเยอะขนาดนี้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวด พอนึกถึงว่าตัวเองต้องช่วงชิงตราประทับสืบทอดจากยี่สิบกว่าคนนี้ เขาก็รู้สึกว่าเรือนกายเล็กบางของตัวเองอาจจะแบกรับไม่ไหว
พวกชื่อหุนสามคนก็ขมวดคิ้วเช่นกัน ตอนที่กวาดสายตามองไปยังสองสำนักดารา อันต นักพรตก่อกำเนิดที่พาคนสองสำนักนี้มายังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ เพียงแค่มองหน้ากันแล้วส่งยิ้มบางๆ ไม่ได้มีความคิดจะลุกขึ้นมาทักทายปราศรัย
เมื่อเปรียบเทียบกับสองสำนักนี้แล้ว สำนักสยบธารดูอ่อนกำลังกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“ที่แท้ผู้ที่มีคุณสมบัติของสำนักสยบธารไม่ใช่แค่คนคนเดียว แต่ยังรวมสัตว์อีกตัวหนึ่งด้วย ก็ถือว่าเป็นหนึ่งคนครึ่งล่ะนะ” เฉินอวิ๋นซานพลันเอ่ยปากแล้วหัวเราะเสียงดัง ชักนำเสียงหัวเราะครื้นเครงจากสหายร่วมสำนักข้างกาย
“ไม่ใช่แค่คนครึ่งนะ นี่มันใครกัน? บนร่างถึงได้แปะยันต์มากมายเพียงนั้น แถมยังแบกหม้อใหญ่สีดำมาด้วย!”
เสียงหัวเราะสนุกสนานยิ่งดังกระหึ่ม การแต่งตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้นักพรตเหล่านี้ของสำนักธารดาราพากันเอ่ยเสียดสีขึ้นมาทันที
นักพรตธารอันตที่อยู่ข้างกันก็มองมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนและเถี่ยตั้นเช่นกัน ซึ่งหลายคนในนั้นเผยความละโมบออกมาทางดวงตา เห็นได้ชัดว่ามองออกถึงความไม่ธรรมดาของเถี่ยตั้น
เถี่ยตั้นถูกนักพรตรวมโอสถมากมายจ้องเขม็งแบบนี้จึงรู้สึกไม่เป็นสุขเล็กน้อย บนร่างของมันก็สวมชุดเกราะและติดยันต์เช่นกัน จึงอำพรางเกล็ดที่ตั้งชันเพราะถูกสายตาเหล่านั้นจับจ้อง เผยให้เห็นเพียงเปลวเพลิงสีม่วงใต้ฝ่าเท้าและเสียงคำรามต่ำๆ ที่ออกมาจากปากเท่านั้น
เดิมทีป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังกลัดกลุ้มกระวนกระวายใจ เวลานี้พอได้ยินคำพูดของเฉินอวิ๋นซาน มองเห็นสายตาของพวกเขา รวมไปถึงความไม่สบายใจของเถี่ยตั้น เขาก็โมโหขึ้นมาทันใด
ทว่าโมโหไปก็เท่านั้น เพราะเมื่อเทียบกับสองสำนักนี้แล้ว สำนักสยบธารนั้น…อ่อนแอเกินไปจริงๆ
ชื่อหุนสามคนเองก็เงียบงันเช่นกัน ในใจของพวกเขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมาเข้าร่วมด้วย ก่อนหน้านี้ที่คิดอยากให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมาช่วงชิงตราประทับสืบทอดก็เพราะพวกเขารู้สึกว่าด้วยพลังในการสู้รบและตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว บวกกับอาวุธล้ำค่าป้องกันกายเหล่านั้น ต่อให้ไม่ได้ตราประทับสืบทอดมา ทว่าหากคนอื่นคิดจะเอาชีวิตของเขานั้นก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
และที่สำคัญที่สุดคือการช่วงชิงตราประทับสืบทอดคือกติกาที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารากำหนดมา ไม่อนุญาตให้มีการตายเกิดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ก็สอดคล้องกับผลประโยชน์ของสี่สำนักเอง เพราะอย่างไรซะพวกเขาก็ไม่ต้องการให้ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของตัวเองมาตายอยู่ที่นี่
ดังนั้นพวกชื่อหุนสามคนถึงได้อยากให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมาที่นี่ ต่อให้ไม่ได้รับผลพวงใดกลับมาก็ยังได้ทำความคุ้นเคยกับศิษย์แห่งความภาคภูมิใจรุ่นเดียวกัน ได้รับประสบการณ์ที่ล้ำค่า
ทว่าตอนนี้พอคิดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวต้องไปแย่งชิงกับคนหลายสิบคนนั้น มองเห็นเงาร่างของเขาที่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในใจของพวกหันจงสามคนก็เริ่มลังเล
และขณะที่พวกเขาสามคนกำลังสองจิตสองใจ ทันใดนั้นบนท้องฟ้าที่ห่างออกไปไกลก็มีเสียงฟ้าคำรณดังสนั่นหวั่นไหว ไม่นานเรือรบสีเงินขนาดใหญ่ยักษ์ลำหนึ่งก็กรีดผ่าความว่างเปล่ามาปรากฏอยู่กลางอากาศ!
หลังจากเรือรบปรากฏขึ้น สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนก็แลบปลาบครั่นครืนออกไปรอบด้าน ฉีกกระชากชั้นเมฆให้แตกออกจากกัน ทำให้เรือรบเคลื่อนลงต่ำมาปรากฏอยู่เหนือร่างทุกคน
และนั่นก็คือ…สำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในสี่สำนักใหญ่แม่น้ำตอนกลาง สำนักธารมรรคา!
แทบจะวินาทีเดียวกับที่เรือรบลำนี้ปรากฏ เงาร่างมากมายก็บินพรวดออกมาจากบนเรือด้วยความรวดเร็ว ตรงดิ่งมาที่พื้นดิน จำนวนคนนั้นมากพอสี่สิบกว่าคน…
นักพรตเหล่านี้มีทั้งหญิงและชาย ไม่ว่าใครก็ล้วนให้ความรู้สึกถึงการหลุดพ้นจากกิเลศ ทุกคนล้วนแผ่คลื่นตบะน่าตะลึง และทุกคนต่างก็เป็น…นักพรตที่รวมโอสถภายในอายุหกสิบปี!
สำนักแม่น้ำตอนกลางมีอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่า มีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์มากกว่า มีปราณฟ้าดินที่เข้มข้นยิ่งกว่าตอนล่าง ดังนั้นจึงทำให้ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของพวกเขามีเยอะกว่าตอนล่างมากมายนัก มากจนมิอาจเปรียบเทียบกันได้
เมื่อนักพรตรวมโอสถสี่สิบกว่าคนนี้ปรากฏตัว พลานุภาพสยบแข็งแกร่งระลอกหนึ่งพลันระเบิดออกมาทันใด คนสุดท้ายที่เดินออกมาจากในเรือรบก็คือผู้เฒ่าผมขาวที่ปรากฏตัวในตำหนักใหญ่สำนักสยบธารวันนั้นและก็เป็นคนเดียวกับผู้ที่เอ่ยประโยคสุดท้ายตัดบทอย่างเด็ดขาด
หลังจากที่ผู้เฒ่าคนนี้กวาดตามองไปรอบด้านก็สังเกตเห็นว่าสำนักสยบธารมีแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียว และก็ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร ทำเพียงแค่ยิ้มบางๆ เท่านั้น
“ขอเชิญทูตแห่งสำนักเบื้องบนโปรดจับตามองการช่วงชิงตราประทับสืบทอดของพวกเราสี่สำนัก!” คำพูดเขาดังออกมา เมฆหมอกบนท้องฟ้าก็พลันกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ลมและเมฆพัดตลบซัดโหม ทันใดนั้นเมฆหมอกเหล่านี้ก็รวมตัวกันเป็นดวงตาที่ตั้งตรงขนาดยักษ์หนึ่งข้าง!
คลื่นน่าหวาดกลัวที่ดวงตาข้างนี้แผ่ออกมาทำให้ฟ้าดินซีดเซียว ขณะเดียวกันก็มีประกายสายตาจับจ้องมาที่พื้นดิน
เมื่อดวงตาที่อยู่ในแนวตั้งนั้นปรากฏขึ้น นักพรตสำนักธารดารา ธารอันตล้วนลุกขึ้นยืนประสานมือคารวะดวงตาตั้งตรงบนท้องฟ้า สำนักธารมรรคาก็ทำเช่นเดียวกัน พวกหันจงสามคนสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วประสานมือคารวะเช่นคนอื่นๆ
“ตราประทับสืบทอด กติกาดังเดิม ไม่อนุญาตให้มี…การตายปรากฏขึ้น ผู้ใดจงใจสังหารคนอื่น กายดับจิตสลาย!” หลังจากในดวงตาที่ตั้งตรงนั้นมีเสียงอื้ออึงดังลอยมา อารามที่อยู่ในค่ายกลหินยักษ์ก็พลันมีแสงห้าสีระเบิดออกมาทันใด เมื่อแสงนั้นแผ่กระจาย ค่ายกลหินยักษ์ก็สั่นสะเทือนรุนแรง พลานุภาพสยบที่ถูกส่งมาจากด้านในลดลงฮวบฮาบ ทำให้นักพรตสามารถเหยียบย่างเข้าไปได้
“เปิด!”
เมื่อเสียงดังลอยมา นักพรตสี่สิบกว่าคนของสำนักธารมรรคาก็บินออกไปอย่างรวดเร็ว กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวเหยียบเข้าไปในค่ายกลหินยักษ์ ตรงดิ่งเข้าหาอารามที่อยู่ตรงกลาง
พริบตาเดียวลูกศิษย์สำนักธารดาราและสำนักธารอันตก็บินตามไป ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอด พาเถี่ยตั้นบุกเข้าไปเช่นกัน
ลมหายใจของเขาถี่กระชั้นน้อยๆ เวลานี้ในสมองมีข้อมูลเกี่ยวกับตราประทับสืบทอดลอยขึ้นมา เขารู้ดีว่าหลังจากเข้าไปในอารามเบื้องหน้าแล้วจะถูกส่งไปในพื้นที่ที่พิเศษแห่งหนึ่ง
ตำแหน่งตรงกลางของที่แห่งนั้นมีขุนเขาแห่งตราประทับขนาดใหญ่พอๆ กับภูเขาลูกหนึ่งตั้งอยู่ บริเวณโดยรอบภูเขานี้เป็นพื้นที่ที่กว้างขวางมาก มีค่ายกลที่แข็งแกร่งน่าเหลือเชื่อปกคลุมเอาไว้ ใครก็มิอาจเข้าใกล้
ทว่าตราประทับสืบทอดอยู่ในภูเขาลูกนั้น ซึ่งตราประทับทั้งหมดหนึ่งร้อยชิ้นจะทยอยกันบินออกมาจากในภูเขาแล้วบินวนอยู่รอบด้าน รอให้คนดูดซับช่วงชิงกันเอาไปเอง
ยิ่งดูดซับได้มากเท่าไหร่ สุดท้ายเมื่อผสานรวมกันแล้ว วิชาที่ได้รับก็จะต่างกันออกไป!
หลังจากที่คนทั้งหมดจากไปอย่างรวดเร็ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พาเถี่ยตั้นเหยียบย่างเข้าไปในค่ายกลหินยักษ์เช่นกัน เขามีนิสัยระมัดระวังรอบคอบจึงรักษาระยะห่างจากทุกคนไว้ช่วงหนึ่ง จนกระทั่งมาถึงตำแหน่งตรงกลางของค่ายกลหินยักษ์ พอเห็นอารามที่อยู่ด้านหน้า เงาร่างของลูกศิษย์ของสามสำนักต่างก็หายเข้าไปในอารามกันหมดแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก มองเถี่ยตั้นหนึ่งครั้ง
“เถี่ยตั้น จำไว้ว่าต้องตามติดข้า ข้างในนี้มีคนชั่วเยอะมาก” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวจบ เถี่ยตั้นก็คำรามหนึ่งครั้งและพยักหน้า ป๋ายเสี่ยวฉุนจัดระเบียบอาภรณ์และหม้อใบใหญ่สีดำด้านหลังตัวเองอยู่พักหนึ่ง จากนั้นถึงได้กัดฟันกรอดเหยียบเข้าไปในอาราม
แทบจะวินาทีเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนและเถี่ยตั้นเข้าไปในอาราม แสงของอารามก็สลายหายไป ค่ายกลหินยักษ์ส่งเสียงกัมปนาท พลานุภาพสยบลอยขึ้นดังเดิมอีกครั้ง ทำให้ไม่มีใครเข้าไปใกล้ได้ เวลาเดียวกันนั้น เมื่อค่ายกลหินยักษ์โคจร กลางอากาศก็มีม่านแสงหนึ่งปรากฏขึ้น
ด้านบนม่านแสงนี้ต่างก็เผยรายชื่อของสี่สำนัก ด้านหลังชื่อยังมีจุดแสงสลัวรางผลุบๆ โผล่ๆ ตอนที่ชื่อหุนสามคนหันไปมองก็เข้าใจได้ทันที จุดแสงสลัวรางทั้งสี่จุดนี้เป็นตัวแทนของจำนวนตราประทับที่ลูกศิษย์สี่สำนักได้รับมาในพื้นที่สืบทอด
ยิ่งได้รับมาเยอะเท่าไหร่ จุดแสงที่สว่างขึ้นก็จะก่อร่างเป็นลำแสง…
และนอกค่ายกลหินยักษ์เวลานี้ นักพรตก่อกำเนิดทั้งหมดเมื่อรวมชื่อหุนสามคนด้วยก็มีสิบกว่าคน ผู้เฒ่าผมแดงเพลิงของสำนักธารดารากำลังพูดคุยด้วยรอยยิ้มกับก่อกำเนิดสำนักธารอันต แต่ละคนเวลามองมายังนักพรตของสำนักธารมรรคาต่างก็เผยความเกรงใจออกมา
“ครั้งนี้สำนักธารมรรคาต้องคว้าที่หนึ่งไปได้อีกแน่นอน อันดับที่สองเกรงว่าสำนักธารดาราของข้าคงสู้สำนักธารอันตของศิษย์พี่โอวหยางไม่ได้ แต่เป้าหมายของพวกเราก็ไม่สูงหรอก แค่ที่สามก็พอแล้ว” ผู้เฒ่าผมแดงหัวเราะฮ่าๆ
“พี่โจวคิดมากเกินไปแล้ว ผู้ใดจะได้ที่สองที่สามก็ยังไม่มีใครรู้” นักพรตสำนักธารอันตที่ถูกผู้เฒ่าผมแดงเรียกว่าพี่โอวหยางคือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง เขายิ้มบางๆ แม้จะพูดเช่นนั้น ทว่าสีหน้ากลับเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
นักพรตสามสำนักนี้สนทนากันด้วยรอยยิ้ม มีเพียงเฟิงเสินจื่อสามคนของสำนักสยบธารเท่านั้นที่ถูกมองเมิน
เฟิงเสินจื่อสามคนสีหน้าน่าเกลียด เงียบงันไม่พูดไม่จา



