Skip to content

A Will Eternal 376

บทที่ 376 มาโดยไม่ได้รับเชิญ

“ต้องเป็นคนที่ต่อสู้เก่งมากเป็นพิเศษ เป็นนักสู้ที่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยของพวกเราได้ทุกด้าน นักสู้แบบนี้เดิมทีก็จำเป็นต้องมีตบะที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือต้องมีความห้าวหาญที่น่าตะลึง!”

เสินซ่วนจื่อกล่าวอย่างเคร่งขรึม

สวีเป่าไฉที่อยู่ข้างกันพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็หันมามองทางเสินซ่วนจื่อ

“เพราะไม่รู้ว่าครั้งนี้พวกเราต้องไปอยู่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารานานกี่ปี ดังนั้นการเลือกนักสู้คนที่ว่านี้จะเลือกแบบลวกๆ ไม่ได้เด็ดขาด ให้ดีที่สุดก็คือต้องเป็นคนที่หลังจากตามพวกเราไปแล้ว ใช้เวลาอีกไม่นานเท่าไหร่ก็จะสามารถรวมโอสถได้เลย” เสินซ่วนจื่อโยกหัวไปมา เอ่ยวิเคราะห์

“เจ้าพูดถูกมากเลย!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกาย หัวเราะฮ่าๆ

“บุรพาจารย์น้อย ข้ามีข้อเสนอแนะอย่างหนึ่ง ท่านลองดูว่าซ่งเชวีย กุ่ยหยา จิ๋วต่าว เป่ยหันเลี่ย ในบรรดาคนพวกนี้ ใครที่เหมาะสมที่สุด?” เสินซ่วนจื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนชอบอกชอบใจจึงแอบผ่อนลมหายใจอยู่กับตัวเอง

“คนเหล่านี้ล้วนได้หมด เลือกยากยิ่งนัก แต่ว่ายังไงซะซ่งเชวียก็เป็นหลานชายของข้า เรื่องดีๆ อย่างการไปที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราแบบนี้ ต่อให้คนนอกจะว่ากล่าวข้าเช่นไร ข้าก็ต้องมอบโอกาสนี้ให้กับหลานชายของข้าให้ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไปคิดมาก็พึมพำขึ้นมาแผ่วเบา

เสินซ่วนจื่อและสวีเป่าไฉมองหน้ากันไปมา ต่างก็มีสีหน้าเหยเก แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรมาก รีบเอ่ยเยินยอว่าป๋ายเสี่ยวฉุนช่างมีเมตตาต่อคนเด็กรุ่นหลังยิ่งนัก

และก็ด้วยเหตุนี้ เรื่องที่ซ่งเชวียจะมาเป็นนักต่อสู้ให้กับพวกเขาจึงถูกกำหนดขึ้น ทั้งสามคนไม่ได้ไปหาซ่งเชวีย ป๋ายเสี่ยวฉุนถือโอกาสใช้ให้ลูกศิษย์คนหนึ่งของสายธาราโลหิตไปแจ้งซ่งเชวียเอง

“ข้าสามารถพาคนไปได้ห้าคน ตอนนี้เพิ่งจะได้สามคนเอง…อืม ข้ายังต้องการคนรู้ใจอีกหนึ่งคน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนทำท่าครุ่นคิด ไม่นานในสมองก็มีภาพของจางต้าพั่งลอยขึ้นมา

“ให้ศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนรู้ใจของข้าถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว แม้ว่าสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราจะแปลกถิ่น ทว่ายังไงมันก็เป็นสำนักต้นน้ำ เรื่องนี้บางทีอาจเป็นโชควาสนาครั้งหนึ่งของศิษย์พี่ใหญ่ก็เป็นได้” หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่ครวญอยู่ในใจก็โบกมือให้สวีเป่าไฉและเสินซ่วนจื่อไปเตรียมตัว นัดหมายเวลาเรียบร้อยว่าจะเดินทางในอีกสามวัน จากนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะบัดร่างกลายเป็นรุ้งยาวจากไป

จนกระทั่งเขาจากไปแล้ว สวีเป่าไฉและเสินซ่วนจื่อถึงได้มองหน้ากันไปมาแล้วยิ้มเจื่อนๆ เวลานี้พวกเขาต่างก็รู้สึกเคว้งคว้างต่ออนาคตในวันข้างหน้า

ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงถ้ำของจางต้าพั่ง จางต้าพั่งกำลังหลอมพลังจิต ป๋ายเสี่ยวฉุนรออยู่ข้างนอกพักใหญ่ จางต้าพั่งจึงเปิดประตูถ้ำออกมา พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน จางต้าพั่งก็หัวเราะฮ่าๆ โบกกระบี่บินเล่มหนึ่งไปมาด้วยท่าทางลำพองใจ

“เป็นยังไง หลอมพลังจิตสามครั้ง!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองกระบี่บินเล่มนั้นหนึ่งครั้งด้วยใจที่สั่นสะท้านน้อยๆ รู้สึกว่าจางต้าพั่งมีพรสวรรค์ที่น่าตะลึงในด้านการหลอมพลังจิตยิ่งนัก ดังนั้นจึงรีบเอ่ยชื่นชม ทำเอาจางต้าพั่งที่ได้ยินยิ้มเบิกบาน

“ว่ามาเถอะ เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด ขอแค่ข้าจางต้าพั่งทำให้ได้ ย่อมรับปากโดยไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วแน่นอน!” จางต้าพั่งกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้สึกลังเล แม้เขาจะรู้สึกว่าบางทีการไปที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราอาจเป็นโชควาสนาอย่างหนึ่งสำหรับจางต้าพั่ง ทว่ายังไงซะอยู่ที่สำนักสยบธารก็ปลอดภัยกว่า หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เล่าเรื่องให้ฟังอย่างคร่าวๆ และมอบสิทธิ์ในการตัดสินใจให้แก่จางต้าพั่ง

พอจางต้าพั่งได้ยินเรื่องนี้ ดวงตาก็เปล่งประกายทันที ลมหายใจถี่กระชั้น เอื้อมมือมาคว้ามือของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้

“ไป ต้องไปแน่นอน สำนักอันตมรรคาฟ้าดารานั้นเป็นสำนักต้นน้ำ ข้าเคยได้ยินท่านอาจารย์ข้าบอกว่าการหลอมพลังจิตของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราคือสถานที่แห่งเดียวในโลกบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตะวันออกที่สามารถหลอมได้มากถึงสิบห้าครั้ง!!”

“อีกอย่างในสำนักนั้นมีวิชาสืบทอดสำหรับการหลอมพลังจิตโดยเฉพาะ จิ่วพั่ง เจ้าต้องพาข้าไปด้วยนะ”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นท่าทางเช่นนี้ของจางต้าพั่งก็พอวางใจลงไปได้ ถามอีกหลายคำจนแน่ใจแล้วว่าจางต้าพั่งยินดีที่จะไปด้วยจริงๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบพยักหน้าให้ทันที

“ได้ ศิษย์พี่ใหญ่ อีกสามวัน ข้าจะรอท่านที่นอกตำหนักใหญ่เขาสยบธาร!”

หลังกลับมาจากถ้ำของจางต้าพั่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลับมายังซากถ้ำที่ปรักหักพังบนภูเขาสยบธาร เมื่อนั่งขัดสมาธิลงตรงนั้นแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ครุ่นคิดถึงผู้พิทักษ์คนสุดท้าย

“เสี่ยวเม่ยและซ่งจวินหว่าน…ปวดหัวยิ่งนัก ตอนนี้เหลือแค่รายชื่อเดียวแล้ว หากจะเอาสองคนนี้ไปก็เอาไปได้แค่คนเดียว…แบบนี้จะทำยังไงดี จะเอาใครไปก็ไม่ดีทั้งนั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้มเล็กน้อย หากจะบอกให้เอาไปทั้งคู่ ยังไม่ต้องพูดถึงปัญหาเรื่องจำนวนที่กำหนดไว้แน่นอน แค่ที่ตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเองเขาก็ไม่ยินดีให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

คิดอยู่นานมากป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคิดไม่ออก เลยถือโอกาสเลิกคิดมันเลยเสียเลย เลือกหลับตาลงทำสมาธิ ทว่าใจกลับไม่สงบนิ่ง พอคิดว่าต้องไปอยู่สถานที่แปลกใหม่อย่างสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เอาแต่นึกถึงผลได้ผลเสียอยู่ตลอดเวลา

จนกระทั่งถึงกลางดึก เขาลืมตาขึ้น มองไปรอบด้านแล้วถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง

“ไม่อยากไปเลย”

ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว ขณะที่กำลังขบคิดถึงคนสุดท้ายที่จะพาไปด้วย สีหน้าเขาก็พลันกระตุก เงยหน้ามองไปยังทิศไกล สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึมในบัดดล ความดุดันระลอกหนึ่งแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขาแล้วเล็งไปยังทิศทางหนึ่ง

ไม่นานความว่างเปล่าตรงทิศทางที่เขาเล็งไปก็เกิดบิดเบือน เรือนร่างอรชรร่างหนึ่งเดินออกมาเงียบๆ แล้วเข้ามาใกล้รวดเร็ว ไม่สนใจความดุดันบนร่างของ

ป๋ายเสี่ยวฉุน จนกระทั่งมาหยุดอยู่ด้านหน้าเขา

กลิ่นหอมลอยมาปะทะใบหน้า คนผู้นี้ก็คือเฉินม่านเหยา!

นางสวมชุดเสื้อและกางเกงยาวสีดำแนบเนื้อ เมื่อผสานรวมกับโฉมหน้างามล้ำของนางแล้วก็ยิ่งทำให้นางที่อยู่ใต้แสงจันทร์แผ่เสน่ห์น่าหลงใหลชวนพิศวง

โดยเฉพาะเส้นผมสลวยที่พลิ้วไหวไปตามลม และยังมีสายตาที่ในส่วนลึกคล้ายแฝงเร้นไว้ด้วยความน่าสงสารก็ยิ่งทำให้เสน่ห์ความเป็นหญิงของนางแสดงออกถึงขีดสุด

“ทำไมต้องมองคนเขาด้วยสายตาดุดันแบบนี้ด้วยเล่า” เฉินม่านเหยาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ในน้ำเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความอ่อนแอเปราะบาง ทั้งยังมากด้วยความยั่วยวน ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกเหมือนมีกองไฟถูกจุดขึ้นมากลางหน้าท้อง ปรารถนาจะกระโจนเข้าใส่แล้วย่ำยีนางให้สาแก่ใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว สำหรับเฉินม่านเหยาผู้นี้ เขารู้ว่าสำนักและอิทธิพลเบื้องหลังนางได้ทำข้อตกลงบางอย่างต่อกัน ดังนั้นผู้หญิงคนนี้ถึงยังได้อยู่ต่อในสำนักสยบธารอย่างปลอดภัย

ทว่าส่วนลึกในใจเขากลับระแวดระวังหญิงสาวผู้นี้อยู่ตลอดเวลา

“เจ้ามีธุระอะไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ไม่มีธุระก็มาหาเจ้าไม่ได้งั้นหรือ?” ในดวงตาของเฉินม่านเหยาแฝงด้วยห้วงอารมณ์ล้ำลึก และยิ่งมากด้วยความขมขื่นที่ซ่อนเร้น พอกวาดตามองหนึ่งครั้งแล้วพบว่าในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายจะกระตุกไหวน้อยๆ ในใจนางก็พลันลำพองขึ้นมาทันที ขณะที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยต่อ ทันใดนั้นร่างของนางกลับแข็งค้าง มองเห็นว่าตอนนี้ดวงตาที่สามกลางหว่างคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุนได้เปิดขึ้น!

ดวงตาที่สามสีม่วงนี้มีพลังที่น่าหวาดหวั่นบางอย่าง วินาทีที่เฉินเม่านเหยามองไป นางพลันค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่านางไม่สามารถควบคุมเรือนกายของตัวเองได้ มือขวาของนางยกขึ้นมาช้าๆ แล้ววางลงบนกระดุมเสื้อของตัวเอง ท่ามกลางความตื่นตระหนกและพรั่นพรึงของนาง มือนางได้ปลดกระดุมเม็ดที่หนึ่งออก ทำให้หน้าอกอวบอิ่มที่รัดแน่นอยู่ใต้อาภรณ์เผยตัวออกมาให้เห็นบางส่วน

ยังดีที่เมื่อปลดกระดุมเม็ดแรกแล้ว ดวงตาที่สามของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค่อยๆ ปิดลง ร่างของเฉินม่านเหยากลับคืนมาเป็นปกติ ลมหายใจของนางถี่กระชั้น หน้าผากผุดพรายไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว สีหน้าแดงสลับเขียว

“ข้าผู้แซ่ป๋ายมิใช่คนประเภทเอาอาหารมาจ่อถึงปากแล้วจะไม่กิน จะถามเจ้าอีกครั้ง มีธุระอะไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเฉินม่านเหยา ทว่ากลับเลียนแบบน้ำเสียงเวลาที่ซ่งเชวียพูดกับคนอื่น ไม่เพียงแต่เหมือนมาก ทั้งยังทำได้ดีกว่าด้วย

เฉินม่านเหยาปรับลมหายใจของตัวเองเล็กน้อย ไม่กล้าแสดงละครต่อ ถอยหลังออกไปอีกหลายก้าว ประสานมือคารวะโค้งตัวต่ำให้แก่ป๋ายเสี่ยวฉุน

“ขอบุรพาจารย์น้อยโปรดมอบรายชื่อสุดท้ายให้แก่ข้า”

“ไม่ได้ เจ้าไปซะเถอะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

“บุรพาจารย์น้อยโปรดฟังข้าก่อน มีข้าอยู่ข้างกาย ท่านสามารถติดต่อกับแดนทุรกันดารได้ตลอดเวลา สามารถรู้เรื่องที่ท่านต้องการรู้ นอกจากนี้แล้ว ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารายังมีเรือรบหนึ่งลำ เรือรบลำนี้สามารถเดินทางไปยังแดนทุรกันดารได้!”

“ขอแค่ท่านยินดี ข้ายังสามารถแบ่งปันความลับบางอย่างในแดนทุรกันดารให้ท่านได้รับรู้ หรือแม้แต่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเองข้าก็มีความเข้าใจเยอะมากเช่นกัน สามารถ…” เฉินม่านเหยารีบพูดเกลี้ยกล่อม ทว่ายังไม่ทันพูดจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ลมพายุระลอกหนึ่งพัดกวาดมาโอบล้อมร่างนาง หมายจะโยนนางออกไปจากที่แห่งนี้

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามีเบาะแสของตู้หลิงเฟย ท่านพาข้าไป ข้าต้องช่วยท่านหาเบาะแสนี้จนเจอแน่นอน!! และก็มีแค่ข้าเท่านั้นที่ทำได้ เพราะข้ามาจากแดนทุรกันดาร สายลับในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารารู้จักข้า แต่ไม่รู้จักท่าน ข้าขอสาบานด้วยชีวิตว่าจะต้องช่วยท่านหาเบาะแสของนางจนเจอให้ได้!”

เฉินม่านเหยารีบพูดรัวเร็ว หลังจากที่คำพูดของนางดังออกมา ลมพายุนั้นชะงักน้อยๆ ทว่าก็หมุนคว้างมาถึงอย่างรวดเร็ว หอบร่างนางให้ลอยดิ่งลงไปจากเขาสยบธาร

เฉินม่านเหยาร้อนใจ ขณะที่ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดีนั้น ริมหูของนางก็มีเสียงเย็นชาของป๋ายเสี่ยวฉุนดังลอยมา

“อีกสองวันเจอกันที่หน้าตำหนักใหญ่เขาสยบธาร”

พัดเฉินม่านเหยาให้จากไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งเงียบๆ อยู่ตรงซากปรักหักพังของถ้ำ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว หากเฉินม่านเหยาไม่พูดถึงชื่อนั้นขึ้นมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็นึกว่าตัวเองคงไม่คิดถึงเรื่องของคนคนนั้นอีกแล้ว

ทว่าหลังจากชื่อนั้นดังขึ้น ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยังขมขื่น เขาเองก็แยกไม่ออกเหมือนกันว่าความรู้สึกและท่าทีที่ตัวเองมีต่อตู้หลิงเฟยนั้นเป็นเช่นไรกันแน่

ดูเหมือนว่า นอกจากเหตุการณ์ที่เทือกเขาลั่วเฉินแล้ว ระหว่างพวกเขาก็ไม่มีเรื่องอื่นอีก

“บางทีสิ่งที่ข้าอยากรู้คงมีเพียงแค่คำตอบข้อหนึ่งกับความจริงเท่านั้น…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ ภายใต้แสงจันทร์ ดวงตาของเขาค่อยๆ เผยแววย้อนระลึกความทรงจำ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!