Skip to content

A Will Eternal 397

บทที่ 397 โรงเตี๊ยมอมตะ

ริมชายเขตของเมืองฝั่งตะวันตกมีทะเลทรายอยู่ผืนหนึ่ง กลางทะเลทรายแห่งนี้ จุดที่ห่างไปไม่ไกลมีทางเข้าไปยังซากโบราณสถานแห่งหนึ่ง ซึ่งเบื้องล่างคือวังใต้ดิน

วังใต้ดินแห่งนี้ใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของนครฟ้า ด้านในมีสัตว์และของล้ำค่าแปลกประหลาดมากมาย ทั้งยังมีหญ้าเซียนพืชวิเศษ และที่แห่งนี้ก็ถือว่ามีทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับนักพรตอยู่มากมาย

ขณะเดียวกันซากโบราณสถานแห่งนี้ก็เป็นสถานที่สำหรับทำภารกิจในนครฟ้าด้วย ซึ่งภารกิจหลายอย่างล้วนมีความเกี่ยวข้องกับที่นี่

สำหรับนักพรตนครฟ้าแล้ว การทำภารกิจซึ่งถูกกำหนดให้มาทำที่นี่โดยเฉพาะถือว่าสบายกว่าออกไปข้างนอกมากนัก อีกทั้งถึงแม้ที่นี่จะเป็นซากโบราณสถาน ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นสถานที่ที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราสร้างขึ้นมาเพื่อให้ลูกศิษย์ได้ฝึกประสบการณ์

ดังนั้นถึงแม้ว่าในซากโบราณสถานแห่งนี้จะยังมีสถานการณ์ที่ไม่สามารถต้านทานได้ดำรงอยู่ ทว่าก็เกิดขึ้นน้อยครั้ง อีกอย่างยังไงซะที่นี่ก็ยังอยู่ในนครฟ้า เป็นฝ่ายในของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา หากว่ากันตามความรู้สึกแล้ว เหล่านักพรตจึงชอบมาทำภารกิจที่นี่มากกว่า

ในเวลาปกติสถานที่แห่งนี้จึงมีคนไปๆ มาๆ อยู่เป็นประจำ คึกคักอย่างมาก

สถานที่วิเศษเช่นนี้ย่อมมีคนอยากครอบครอง แต่ในนครฟ้ากลับมีเพียงพรรคท้องฟ้าเท่านั้นที่สามารถยึดครองที่แห่งนี้ สามารถเข้าไปได้ ทว่าตอนออกมาจำเป็นต้องแบ่งทรัพยากรสามส่วน หรือไม่ก็คะแนนคุณความดีจำนวนไม่น้อยเพื่อซื้อป้ายคำสั่งจากพรรคท้องฟ้าถึงจะได้รับอนุญาตให้ออกมา

และเรื่องแบบนี้ก็มีเพียงพรรคท้องฟ้าที่มีตระกูลคนฟ้าหนุนหลังเท่านั้นถึงสามารถทำได้ หากคนอื่นคิดจะทำบ้างนับว่าเป็นเรื่องยากอย่างถึงที่สุด เพราะอันดับแรกเลยก็คือพรรคท้องฟ้าย่อมไม่อนุญาตให้ทำอยู่แล้ว

ต้องรู้ว่าตอนแรกที่พรรคท้องฟ้าสามารถยึดครองที่แห่งนี้ได้จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล อีกทั้งผลประโยชน์ที่ได้รับจากที่แห่งนี้ก็มีมากถึงห้าส่วนจากผลกำไรรวมทั้งหมดของพรรคท้องฟ้า

เมื่ออยู่ภายใต้ผลประโยชน์เหลือคณานับเช่นนี้ พรรคท้องฟ้าจึงให้ความสำคัญกับที่แห่งนี้อย่างถึงที่สุด

เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนพาคนหนึ่งร้อยกว่าคนตรงดิ่งมายังทะเลทรายผืนนี้ ไม่เพียงแต่คนของพรรคท้องฟ้าเท่านั้นที่อึ้งงัน พวกคนที่ติดตามมาระหว่างทางก็พากันแปลกใจด้วย

“พรรคมังกรเขียวเป็นอะไรไป? ทำไมถึงมาที่นี่?”

“หรือว่าอยากจะเข้าไปในวังใต้ดินโบราณสถานเพื่อทำภารกิจ?”

“ไม่เหมือนนะ…”

เวลาเดียวกันนั้น พื้นที่ส่วนนอกซากปรักหักพังแห่งหนึ่งของโบราณสถานกลางทะเลทราย ตรงนั้นมีด่านอยู่หนึ่งแห่ง ซึ่งหน้าด่านมีนักพรตพรรคท้องฟ้าจำนวนมากตั้งค่ายพักอาศัยอยู่ที่นี่ยาวแรมปี พวกเขาจึงมองเห็นพวกป๋ายเสี่ยวฉุนที่ห้อตะบึงมาจากทิศไกลได้ทันที แต่ละคนเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียด พากันลุกขึ้นยืน

อีกทั้งเวลานี้ส่วนนอกของโบราณสถานยังมีนักพรตไม่น้อยที่ต้องการเข้าไปทำภารกิจในวังใต้ดิน พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้จึงพากันตะลึงงัน หันมามองด้วยความใคร่รู้

ภายใต้การจับจ้องของทุกคน อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่นักพรตพรรคมังกรเขียวที่ตามหลังป๋ายเสี่ยวฉุนมาซึ่งรวมพวกจางต้าพั่งด้วยก็ยังฉงนสนเท่ห์ มองมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความสงสัยเต็มหัวใจ

“บุรพาจารย์น้อย พวกเรามาทำอะไรที่นี่กันหรือ?” สวีเป่าไฉอดไม่ไหวจนต้องเอ่ยถาม

“เลือกสถานที่ย้ายบ้านไงเล่า” ป๋ายเสี่ยวฉุนตอบรับหนึ่งประโยคโดยไม่แม้จะหันกลับมามอง จากนั้นก็เข้าไปใกล้จุดที่นักพรตพรรคท้องฟ้าตั้งค่ายอยู่ ทว่าไม่ได้สนใจพวกเขา แต่ก้าวยาวๆ เดินผ่านไป

นักพรตมากมายของพรรคท้องฟ้าซึ่งพักอยู่ที่นี่ไม่มีใครกล้าขัดขวาง เพราะรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคือนักพรตยาอายุวัฒนะ และที่สำคัญที่สุดก็คือทำตามกฎที่พรรคท้องฟ้าของพวกเขาตั้งเอาไว้ นั่นคือปล่อยให้เข้าไปได้ตามใจชอบ พวกเขาแค่รับผิดชอบเก็บทรัพย์สินจากคนที่ออกมาเท่านั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินผ่านร่างของนักพรตพรรคท้องฟ้าเหล่านี้ไปแล้วมาหยุดอยู่ตรงจุดที่ห่างจากซากโบราณสถานไม่ถึงพันจั้ง หลังจากมองไปรอบด้านแล้วบนใบหน้าของเขาก็เผยความพึงพอใจ

“เอาล่ะ ที่นี่ ก็คือบ้านใหม่ของพวกเรา!” เมื่อคำพูดเขาดังออกมา เสินซ่วนจื่อกะพริบตาปริบๆ เหม่อมองไปรอบด้าน

ดวงตาสวีเป่าไฉเคว้งคว้าง จางต้าพั่งมองเซ่อ แม้แต่เฉินม่านเหยาเองก็ยังอ้าปากหวอน้อยๆ ยืนงงอยู่ตรงนั้น

พวกเขายังเป็นขนาดนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักพรตพรรคมังกรเขียว เวลานี้แต่ละคนได้แต่มองหน้ากันไปมาด้วยความรู้สึกเลื่อนลอยเล็กน้อย

พวกคนของพรรคท้องฟ้าที่ตั้งค่ายอยู่ที่นี่ พอได้ยินประโยคนี้ก็หัวเราะก๊ากทันที

“โทษทีนะ ดูเหมือนว่า…ที่นี่จะไม่สามารถเป็นบ้านใหม่ของพวกเจ้าได้ ที่นี่เป็นของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ไม่ใช่ที่ดินส่วนตัวของผู้ใด”

“พรรคมังกรเขียว…คิดจะทำบ้าอะไรกันแน่”

ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้นที่อดไม่ไหวจนหลุดหัวเราะออกมา แม้แต่พวกคนที่ติดตามมาเบื้องหลัง รวมไปถึงนักพรตรอบด้านที่จะไปทำภารกิจในซากโบราณสถานก็ยังพากันหัวเราะครืน

“ต่อให้พรรคมังกรเขียวจะถูกลงโทษ ก็คงไม่ถึงขนาดสติฟั่นเฟือนจนเป็นบ้าไปแล้วกระมัง คิดได้อย่างไรว่าจะยึดครองที่แห่งนี้?”

“ผู้นำพรรคมังกรเขียวเป็นถึงนักพรตรวมโอสถ เรื่องก่อนหน้านี้ก็ยังว่าไปอย่าง ทว่าที่นี่คือที่ตั้งสายเลือดแห่งชีวิตของพรรคท้องฟ้า หากเขาคิดจะยึดครองที่แห่งนี้จริงๆ ถ้าเช่นนั้นตระกูลคนฟ้าที่หนุนหลังพรรคท้องฟ้าย่อมลงโทษอย่างแน่นอน เว้นเสียแต่ว่าการยึดครองของพรรคมังกรเขียวในครั้งนี้จะทำให้คนอื่นๆ พูดอะไรไม่ได้”

ขณะที่คนเหล่านั้นหัวเราะสนุกสนาน เสินซ่วนจื่อกลับหน้าแดงแปร๊ด สวีเป่าไฉกระอักกระอ่วน ส่วนพวกนักพรตของพรรคมังกรเขียวก็พากันขมขื่น ความเลื่อนลอยในดวงตายิ่งมีมาก

จางต้าพั่งและเฉินม่านเหยาไอแห้งๆ มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างทว่ากลับหยุดชะงักไป

“เสี่ยวฉุน…”

ทว่าเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเชิดคางขึ้น สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เมื่อเขายกมือขวาขึ้น กลางฝ่ามือของเขาก็มีธงเล็กๆ เจ็ดสีที่ส่องประกายพริบพราวผืนหนึ่งปรากฏออกมา!

เมื่อธงเจ็ดสีผืนนี้ปรากฏก็มีพลานุภาพสยบระลอกหนึ่งแผ่ออกไปรอบด้านทันใด ทำให้ทุกคนที่หัวเราะครึกครื้นชะงักกึกด้วยความงงงัน หันมามองธงเล็กผืนนั้นอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความลำพองใจ แล้วจึงเอาธงเล็กเจ็ดสีผืนนั้นปักลงไปบนพื้นทรายใต้ฝ่าเท้าอย่างแรง!

“เปิด!” เมื่อปักธงลงบนพื้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คำรามกร้าวหนึ่งเสียง ขณะที่เสียงคำรามนั้นดังสะท้อน วินาทีที่ธงเจ็ดสีสัมผัสเข้ากับหน้าดิน เสียงตูมตามก็ดังสนั่นหวั่นไหวคล้ายว่าอยู่ดีๆ ก็มีสายฟ้าระเบิดผ่า!

ตูมๆๆ!

พื้นดินสั่นสะเทือน ฟ้าดินส่งเสียงดังกัมปนาท พายุลูกใหญ่หมุนคว้างไปรอบด้าน ทั้งยังมีพลานุภาพสยบไร้คำบรรยายระลอกหนึ่งระเบิดตามออกมา!

พวกเสินซ่วนจื่อหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน แต่ละคนลมหายใจถี่ระรัว ถอยกรูดออกไปหมด ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ แม้แต่นักพรตพรรคท้องฟ้า คนที่ติดตามมา และนักพรตที่หมายจะเข้าไปทำภารกิจในซากโบราณสถานล้วนสำลักลมหายใจกันหมด ร่างถอยร่นห่างออกไปอย่างมิอาจควบคุมได้

โดยเฉพาะเมื่อพลานุภาพสยบนั้นแผ่ออกมาก็ยิ่งทำให้จิตใจของทุกคนสั่นคลอน สมองเกิดเสียงดังอึงอล คล้ายได้เจอกับพลานุภาพสยบจากสวรรค์ และจุดศูนย์กลางของพลานุภาพสยบจากสวรรค์นี้ก็มาจากธงเจ็ดสีที่อยู่ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุน!

ท่ามกลางการระเบิดของพายุและพลานุภาพสยบ วงแหวนเจ็ดสีชั้นหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมาบนธงผืนเล็ก แล้วแผ่ขยายอาณาเขตออกไปรอบด้านทันที เส้นผมของป๋ายเสี่ยวฉุนปลิวไสว อาภรณ์ตลอดทั้งร่างถูกลมพัดโชยสะบัด ขณะเดียวกันคลื่นเจ็ดสีก็ปกคลุมไปถึงรัศมีร้อยจั้ง…

ยังไม่สิ้นสุด ยังคงแผ่ขยายออกไปต่อเนื่อง พริบตาเดียวก็กว้างถึงสามลี้ แปดลี้ จนกระทั่ง…สิบลี้!!

ในรัศมีสิบลี้มีเพียงคลื่นเจ็ดสีเข้ามาแทนที่ทะเลทราย บนพื้นมีประกายแสงระยิบระยับคล้ายกลายมาเป็นสายรุ้ง ภาพนี้ทำให้รอบด้านเงียบสงัด มีเพียงเสียงสูดลมหายใจที่ดังไม่ขาดระยะ

ไม่รอให้ทุกคนมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับคืนมา พื้นดินพลันสั่นไหว เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าดังขึ้นอีกครั้ง คลื่นเจ็ดสีที่แผ่ออกไปในระยะสิบลี้พลันหลอมรวมลงไปใต้พื้นดิน แล้วค่อยๆ จางหายไปในที่สุด ทว่าเมื่อคลื่นเจ็ดสีหายไป สุดท้ายกลับมีรอยวงกลมขนาดยักษ์หนึ่งชั้นนาบประทับลงไปบนพื้นดิน!

ไม่สามารถลบเลือน!!

และเวลานี้ก็ยังมีแรงขับไล่ระลอกหนึ่งที่พลันระเบิดออกไปทั่วในรัศมีสิบลี้ แรงขับไล่นี้ผลักดันทุกคนที่อยู่ในรัศมีสิบลี้ให้ออกไป พวกเขามิอาจต้านทานได้แม้แต่น้อย ร่างถูกผลักกระเด็นออกไปในพริบตาเดียว จนกระทั่งออกไปนอกสิบลี้แล้วถึงจะหยุดลง

ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบด้านมองตาค้าง…

“นี่มัน…มีเพียงเข้าไปในพื้นที่ส่วนบุคคลเท่านั้นถึงจะมีค่ายกลขับไล่ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราปรากฏออกมา!!”

“เป็นไปไม่ได้ ที่นี่จะมีค่ายกลขับไล่ได้อย่างไร สวรรค์ มีเพียงได้รับที่ดินส่วนตัวซึ่งมีค่ายกลใหญ่ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเท่านั้นถึงจะถูกยอมรับให้อยู่ในค่ายกลได้!”

“ตลอดทั้งนครฟ้า พื้นที่ส่วนบุคคลมีไม่เกินสิบแห่งเองนะ!”

“หัวหน้าพรรคมังกรเขียวกลับยึดครองที่แห่งนี้ได้!!” ภาพนี้สร้างความฮือฮาได้อย่างสมบูรณ์แบบ นักพรตเหล่านั้นรู้สึกเหมือนมีสายฟ้ามาระเบิดอยู่ในสมอง ไม่เพียงพวกเขาเท่านั้นที่ร้องอุทานเสียงหลงด้วยความเหลือเชื่อ

แม้แต่ทุกคนของพรรคมังกรเขียวเองซึ่งรวมพวกสวีเป่าไฉด้วยก็ยังเบิกตากว้างอ้าปากค้างกันหมด ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น

และที่ทำให้ทุกคนหนังหัวชาหนึบได้มากที่สุด…ก็คือทางเข้าของซากโบราณสถานแห่งนั้น…ก็อยู่ในพื้นที่นี้ด้วย!

“ฮะแฮ่ม ข้าจะสร้างโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งขึ้นที่นี่…ข้าคิดชื่อมาไว้เรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือโรงเตี๊ยมอมตะ” ท่ามกลางเสียงร้องอุทานและเสียงฮือฮาที่ดังเซ็งแซ่นี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามือไพล่หลัง เชิดคางขึ้น ความลำพองใจในเวลานี้อยู่ในระดับที่มิอาจพรรณนาได้

“ทุกคนสามารถเข้ามาในวังใต้ดินของโบราณสถานแห่งนี้ได้ตามปกติ ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่ายังไงซะที่นี่ก็คือบ้านของข้า เพราะฉะนั้น…หลังจากที่พวกเจ้าเข้ามาแล้ว ขอแค่ซื้อชาวิเศษถ้วยหนึ่งของโรงเตี๊ยมข้า ก็ถือเป็นคนกันเองแล้ว”

“ชาวิเศษของข้าไม่แพงหรอก…ถูกกว่าพรรคท้องฟ้าเสียอีก แค่จ่ายคะแนนคุณความดีมาส่วนหนึ่งก็พอแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง แล้วจึงพูดพร้อมยิ้มตาหยีส่งไปให้กับทุกคนรอบด้าน

เสียงสูดลมหายใจเฮือกๆ ดังออกมาจากปากของนักพรตพรรคท้องฟ้า ในใจพวกเขาเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นอยู่นานแล้ว นี่มันเท่ากับแย่งชิงสิทธิ์เข้าออกซากโบราณสถานแห่งนี้ไปจากมือของพรรคท้องฟ้าอย่างป่าเถื่อนชัดๆ!

ทว่านักพรตคนอื่นๆ กลับดวงตาเปล่งประกาย เพราะเมื่อเทียบกับผลกำไรสามส่วนที่ต้องจ่ายให้กับพรรคท้องฟ้าแล้ว เห็นได้ชัดว่าพรรคมังกรเขียว…ทำให้พวกเขาพอใจได้มากยิ่งกว่า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!