บทที่ 520 ลำแสงสีดำ!
ดูเหมือนว่ามือผีนี้จะสามารถบิดเบือนความว่างเปล่าได้ ตอนที่เอื้อมคว้ามานั้นก็ยิ่งปิดผนึกฟ้าดินรอบกายของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้พื้นที่รอบด้านคล้ายกลายมาเป็นกรงขังที่ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนติดปีกก็ยากจะหนีพ้น!
เห็นว่าวิกฤตมาเยือน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตื่นตระหนกผิดปกติ วิกฤตความเป็นความตายเช่นนี้ทำให้ดวงตาเขาเต็มไปด้วยเลือดในพริบตาเดียว อีกทั้งบนใบหน้ายังมีเส้นเอ็นปูดโปน วินาทีที่มือใหญ่เอื้อมคว้ามาถึง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันแผดเสียงตะโกน โคจรวิชาอมตะมิวางวายถึงขีดสุดแล้วจึงเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
วินาทีที่ก้าวออกมา ร่างของเขาก็เริ่มพร่าเลือน เมื่อฝ่าเท้าเหยียบลงพื้น เรือนกายของเขาก็หายวับไปในชั่วพริบตาราวกับแยกตัวออกจากกัน!
แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่ร่างของเขาสลายจากกัน มือผีน่าหวาดกลัวนั่นก็คว้ามาจับตรงพื้นที่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหายตัวไปพร้อมเสียงดังตูมราวกับความว่างเปล่าตรงนั้นถูกบีบจนแหลกละเอียด ก่อนที่จะกลายมาเป็นรอยปริแตกหลายเส้น
เหมือนจะสัมผัสได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหนีออกไปได้ เสียงคำรามด้วยความเดือดดาลในถ้ำจึงดังสะท้านฟ้าขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ถึงขั้นดังออกมานอกขอบเขตของค่ายกลรอบด้าน สะเทือนไปทั่วแปดทิศ ทำเอาคนจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนสัมผัสได้!
เวลาเดียวกันนั้น นอกระยะทางที่ห่างออกไปประมาณหนึ่งลี้ เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏพรวดออกมา หลังจากที่เผยตัว เขาก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ หน้าซีดขาว โซเซถอยหลังไปหลายก้าวเลือดก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
แถมตรงแผ่นหลังของเขายังมีเลือดสดไหลซึมออกมา ซึ่งตรงนั้นมีรอยนิ้วมือห้านิ้วประทับหรา!
ดูเหมือนรอยบาดแผลที่เกิดจากมือของคนผู้หนึ่งฟาดผ่าน และก็ดูเหมือนว่าบาดแผลนั้นจะสามารถกัดกร่อนทำลายอวัยวะตันห้าอวัยวะกลวงหกได้ ยังดีที่เรือนกายของป๋ายเสี่ยวฉุนแข็งแกร่งมากพอจึงพอจะฝืนยืนหยัดเอาไว้ได้ ตอนที่กระอักเลือดสดออกมา ใจของเขาก็ยังคงหวาดผวาไม่คลาย ไม่กล้าหยุดชะงักแม้แต่น้อย กัดฟันห้อทะยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วทันที
ทว่าวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัวนั้นเอง ทันใดนั้นในพื้นที่เงาทับซ้อนของเทือกเขาด้านหลังเขาก็มีลำแสงสีดำเส้นหนึ่งพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อกลายมาเป็นคลื่นขนาดใหญ่ยักษ์กลางนภากาศที่แผ่กระจายออกไปแปดทิศ
บนพื้นดินยังคงมีคลื่นโจมตีที่กวาดตะลุยไปรอบด้านโดยมีหลุมลึกเป็นจุดศูนย์กลาง
ผนึกธรรมชาติทั้งหมดที่อยู่โดยรอบล้วนถูกลำแสงที่พวยพุ่งขึ้นมานี้โจมตีจนพังราบเป็นหน้ากอง ทุกอย่างแตกทลายออกเป็นเสี่ยงๆ ทว่าแรงโจมตีก็ยังไม่สลายหายไป ยังคงแผ่กระจายออกมาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนยามนี้ก็หวาดกลัวถึงขีดสุดแล้ว เขาหนีหัวซุกหัวซุน เผ่นแนบไปตลอดทาง ความหวาดกลัวในใจแผ่ซ่านไปทั่วเรือนกาย โกยหนีอย่างบ้าคลั่งไปยังทิศทางที่ตั้งกำแพงเมือง
“จบกันๆ หรือว่าข้าโลภมากเกินไปเลยชักนำให้เกิดเรื่องใหญ่แบบนี้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหดหู่อย่างถึงที่สุด รู้ดีว่าตัวเองก่อเรื่องแล้ว ทว่ากลับเผ่นหนีเร็วยิ่งกว่าเดิม
ขณะที่เขากำลังห้อตะบึงอยู่นั้น บริเวณรอบหลุมลึกมีชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณไม่น้อยที่สัมผัสได้ทันที แต่ละคนตอนที่หันมามองยังหลุมลึกต่างก็มีสีหน้าแตกตื่น
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
“ตรงนั้นมีคลื่นเคลื่อนไหวอะไรกันแน่!” ท่ามกลางเสียงร้องอุทานด้วยความแตกตื่น ชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณแต่ละคนจึงมุ่งหน้าตรงดิ่งไปยังที่ตั้งของหลุมลึกเพื่อตรวจสอบดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ยังดีที่เมื่อลำแสงสีดำทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า เมื่อการโจมตีแผ่กระจายไปทั่วด้าน เมื่อค่ายกลตราผนึกพังทลาย มือผีใหญ่ยักษ์ที่อยู่ในหลุมนั่นก็ไม่ได้ปรากฏออกมาอีก
ทำให้ชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณที่เข้ามาใกล้มีความเสี่ยงลดน้อยลงไปมากอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่แต่ละคนเข้ามาใกล้ มองไปยังหลุมลึกด้วยท่าทางครุ่นคิด ไม่นานก็มีคนบินออกมาตรวจสอบ
แม้แต่ทางฝ่ายของกำแพงเมืองเองยามนี้ก็ยังสัมผัสได้ ตอนที่ลำแสงสีดำพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ประกายแสงในดวงตายักษ์เหนือยอดเจดีย์พลันเปล่งวาบ เฉินเห้อเทียนเดินออกมาหนึ่งก้าว มองไกลๆ ไปยังลำแสงสีดำที่พวยพุ่งทั้งยังแผ่คลื่นกระจายออกมารอบด้านด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
“ให้คนไปดูหน่อยสิว่านั่นคืออะไร!” เมื่อเฉินเห้อเทียนออกคำสั่ง พวกป๋ายหลินเองก็สังเกตเห็นลำแสงนี้ ทั้งยังรู้สึกได้ถึงคลื่นเคลื่อนไหวแผ่วเบาบนพื้นดิน
ทางฝ่ายของแดนทุรกันดาร บนที่ราบที่มีชนเผ่านับร้อยห้อมล้อม พื้นที่ตรงจุดศูนย์กลาง ในกระโจมใหญ่หลังหนึ่ง หงเฉินหนวี่ ที่สวมอาภรณ์ยาวสีแดงรูปโฉมงามล้ำซึ่งเดิมทีกำลังนั่งทำสมาธิ เวลานี้ดวงตาทั้งคู่ของนางพลันเบิกโพลง มองไกลๆ ไปยังท้องฟ้า
“นั่นคือ…” หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ หงเฉินหนวี่ก็สั่งความให้คนออกไปตรวจสอบ
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ส่งคนออกมานั้น กลางผืนป่าที่ห่างจากหลุมลึกไปหลายสิบลี้ มีเงาร่างสองเงากำลังห้อตะบึงอย่างบ้าคลั่ง สองคนนี้คนหนึ่งเป็นชายคนหนึ่งเป็นหญิง แม้ว่าสภาพจะดูกระเซอะกระเซิง อาภรณ์ขาดวิ่น ทว่าสายตาของคนทั้งสองกลับฉายแสงคมกล้า หากมีคนมองสบตาพวกเขาจะต้องจิตใจสะท้านไหวราวกับได้เห็นสัตว์ดุร้าย
บนร่างของคนทั้งคู่ไม่มีร่องรอยของนักพรต แต่กลับมีคลื่นจิตวิญญาณแผ่ออกมา โดยเฉพาะความเข้มข้นของปราณดุร้ายก็ยิ่งทำให้คนมองขนลุกขนพอง
ชายหนุ่มเย็นชาโอหัง หญิงสาวงามพิสุทธิ์ บนร่างมีบาดแผลมากมาย แม้จะฟื้นตัวแล้ว แต่ที่ทิ้งไว้บนร่างของพวกเขาคือแผลเป็นจากการผ่านสงครามนองเลือด
พวกเขาก็คือ…จ้าวเทียนเจียวและเฉินเยว่ซาน!
หลังจากที่ปีนั้นพวกเขาทั้งสองคนออกจากกำแพงเมืองก็ได้ไปหาประสบการณ์ในแดนทุรกันดาน ผ่านการต่อสู้เล็กๆ ใหญ่ๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ข้างกายมีคนจากกำแพงเมืองมารวมตัวอยู่ด้วยกันอย่างต่อเนื่อง และภายหลังก็มีคนตายไปอย่างไม่ขาดสาย ตอนนี้เหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อผ่านประสบการณ์จากเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ สำหรับพวกเขาแล้วก็เหมือนได้ผ่านการชำระล้างด้วยเลือด ทั้งในและนอกร่างจึงคล้ายกลายมาเป็นคนที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่
ความอ่อนเยาว์เสี้ยวหนึ่งที่เคยดำรงอยู่บนร่างของพวกเขาบัดนี้ได้หายไปแล้ว แทนที่มาด้วยความมั่นคงและอำมหิตเย็นชา!
“ใกล้จะถึงกำแพงเมืองแล้ว…ข้าส่งข่าวไปบอกท่านอาจารย์แล้วว่าเมื่อกลับไปถึง ระยะเวลาที่เหลืออยู่จะเข้าร่วมกับห้ากองทัพใหญ่” จ้าวเทียนเจียวแสยะปากยิ้ม รอยยิ้มของเขานี้ทำให้มองเห็นว่ามุมปากซีกขวาของเขามีรอยแผลเป็นเส้นหนึ่งที่กรีดยาวไปถึงใบหู มองดูแล้วดุร้ายน่าหวาดกลัว
เฉินเยว่ซานรู้สึกสงสารอีกฝ่ายไม่น้อย นางยืนอยู่ข้างกายจ้าวเทียน พยักหน้ารับคำพูดของเขา เพราะจ้าวเทียนเจียวช่วยชีวิตนางเอาไว้จึงได้รอยแผลเป็นนั้นมาจากอาาจารย์หลอมวิญญาณคนหนึ่ง
และความโหดเหี้ยมของศึกครั้งนั้นก็ทำให้เฉินเยว่ซานที่แค่ย้อนนึกถึงก็ยังรู้สึกหวาดผวาไม่คลาย ยังดีที่ถึงแม้การออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกครั้งนี้จะเจ็บปวดน่าเศร้าใจ แต่ผลพวงที่ได้รับมาก็ไม่น้อยเช่นกัน เพราะพวกเขาเจอวิญญาณสัตว์ฟ้าหนึ่งดวง!
และขณะที่คนทั้งสองห้อทะยานไปข้างหน้า ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นว่าบนนภากาศที่ห่างออกไปไกลมีลำแสงสีดำน่าครั่นคร้ามพวยพุ่งขึ้นมา วินาทีที่ลำแสงนั้นทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า สายตาของจ้าวเทียนเจียวก็จ้องมองนิ่ง หลังจากที่ปรึกษากับเฉินเยว่ซานจึงส่งข้อความเสียงไปขอคำแนะนำจากเฉินเห้อเทียนอาจารย์ของเขา ผ่านไปครู่ใหญ่คนทั้งสองไม่ได้กลับกำแพงเมือง แต่มุ่งหน้าไปยังจุดที่มีลำแสงสีดำพวยพุ่งขึ้นมา
การปรากฏขึ้นของลำแสงสีดำสร้างความแตกตื่นให้กับขั้วอิทธิพลมากมาย ขณะที่ขั้วอิทธิพลทั้งหมดสั่งการให้คนในสังกัดของตัวเองไปตรวจสอบ มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวเท่านั้นที่กำลังเผ่นหนีอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาซีดขาว ห้อเต็มเหยียดไปตลอดทาง และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้เห็นกำแพงเมืองในที่สุด เขากัดฟันกรอด ฝืนร่ายใช้การผสานรวมมิติของผนึกมิวางวายอีกครั้ง พอปรากฏตัวอีกทีก็มาอยู่ในนครกำแพงเมืองแล้ว
หลังจากที่กระอักเลือดออกมาอีกคำ เขาก็โซซัดโซเซกลับมาถึงค่ายทหาร พอถึงที่พักตัวเองก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ร่างล้มตึงลงไปกองกับพื้น หมดสติทันที
การหมดสติครั้งนี้ของเขาใช้เวลาสามวันเต็ม สามวันให้หลังป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตา ตอนที่พยายามลุกขึ้นนั่งเขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าวที่ส่งมาจากอวัยวะตันห้าอวัยวะกลวงหกของตัวเอง รวมไปถึงตบะที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ
“มือนั้นที่คว้าจับข้าช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก นี่ยังไม่ทันจับโดนข้าจังๆ นะ แค่ปัดผ่านเท่านั้น…” ป๋ายเสี่ยวฉุนย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็ถึงกับสำลักลมหายใจ หวาดผวาไม่คลาย เขาเองก็เข้าใจดีว่าที่ตัวเองบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ยังมีสาเหตุมาจากการร่ายใช้ค่ายกลลอดทะลุห้วงมิติของผนึกมิวางวายด้วย
ไม่ว่าจะเป็นผนึกทางธรรมชาติก่อนหน้านี้หรือค่ายกลกำแพงเมือง การผสานรวมกับมิติแล้วลอดทะลุออกมาเช่นนี้ก็ล้วนสร้างความเสียหายให้กับร่างกายอย่างใหญ่หลวง
ยังดีที่วิชาอมตะมิวางวายของเขาแข็งแกร่งมากพอถึงฝืนยืนหยัดได้ มิฉะนั้นหากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น ต่อให้เป็นก่อกำเนิด เจอกับอาการบาดเจ็บเช่นนี้อาจไม่ถึงกับตาย แต่ถ้าคิดจะฟื้นตัวกลับมาย่อมไม่สามารถทำได้ในระยะเวลาสั้นๆ แน่นอน
ทว่าความสามารถในการฟื้นตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับน่าตะลึง อาการบาดเจ็บระดับนี้เมื่อเขากินยาเข้าไป ใช้เวลาเจ็ดวันก็ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว
ขณะเดียวกันในช่วงเวลาเหล่านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่กล้าออกไปข้างนอก พอเขาหวนคิดถึงมือผี คิดถึงลำแสงสีดำ คิดถึงการพังทลายของตำหนักใต้ดิน รวมไปถึงโครงกระดูกจระเข้แสนจั้งนั่น เขาก็รู้สึกว่าที่นั่นต้องซุกซ่อนความลับยิ่งใหญ่สะเทือนเลือนลั่นปฐพีเอาไว้แน่นอน!
และก็เห็นได้ชัดว่าตน…คือตัวการแห่งหายนะในครั้งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวนี่นา เขารู้สึกว่าตัวเองได้รับความไม่เป็นธรรมเอามากๆ
“ข้าไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจเฮือกๆ ติดต่อกัน ต้องรู้ว่าแผนการเดิมของเขาก็คือแค่เก็บเอาดวงวิญญาณมามากหน่อยเท่านั้น
ขณะเดียวกันช่วงเวลาที่ใช้พักฟื้นนี้เขาเองก็ได้ยินข่าวจากภายนอกที่พวกจ้าวหลงเอามาบอกให้ฟัง รู้ว่าลำแสงนั่นได้ชักนำให้ฝ่ายกำแพงเมืองและแดนทุรกันดารให้ความสำคัญอย่างสูง แล้วก็รู้ด้วยว่าหลุมแห่งนั้นมีคนมากมายค้นพบมันเข้าแล้ว แถมยังมีคนไม่น้อยที่เหยียบเข้าไปข้างในเพื่อค้นหาต้นสายปลายเหตุด้วย
น่าเสียดายที่จนกระทั่งถึงวันนี้ก็ยังไม่มีข่าวที่มีประโยชน์ส่งมาให้ได้ยิน ท่ามกลางความกระวนกระวายใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ต้องถอนหายใจอีกครั้ง
เวลาผ่านไปอีกครึ่งเดือน แม้ว่าทุกวันจะต้องมีข่าวใหม่ๆ ส่งมาให้ ทว่าด้วยฐานะผู้บังคับกองพันของป๋ายเสี่ยวฉุน ข่าวที่เขาได้รับรู้จึงยังถือว่ามีไม่มาก ดังนั้นเขาเลยต้องไปสืบข่าวจากป๋ายหลินด้วยตัวเอง เลยได้รู้ว่าทางฝ่ายของกำแพงเมืองได้ส่งคนเข้าไปไม่น้อยแล้ว แม้จะมีการต่อสู้ที่วุ่นวายเกิดขึ้น แต่ก็มีข่าวส่งออกมาอย่างต่อเนื่องว่าดูเหมือนข้างในนั้นจะมีตำหนักใต้ดินอยู่หลายแห่ง ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ยินตกตะลึงไม่น้อย
“ดูท่าข้าคงเปิดตำหนักใต้ดินไปแค่แห่งเดียวเท่านั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนปลอบใจตัวเอง มองเห็นว่าความวุ่นวายด้านนอกดูเหมือนจะลดน้อยลงไปบ้างแล้ว เขาจึงลูบคลำถุงเก็บของของตัวเองด้วยนัยน์ตาที่เผยประกายเร่าร้อน
“ที่ต้องประสบพบเจอกับเรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่เพื่อได้เป็นผู้บังคับกองหมื่นหรอกหรือ ข้าจะไปเป็นเดี๋ยวนี้แหละ!”