Skip to content

A Will Eternal 523

บทที่ 523 เลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับกองหมื่น!

ขณะเดียวกันกับที่พลังจิตของหงเฉินหนวี่ถูกฉีกทึ้ง เฉินเห้อเทียนก็รู้สึกได้จึงหันไปมองทางที่ตั้งของแดนทุรกันดาร ก่อนจะก้มหน้าลงมองดวงตายักษ์เบื้องล่างอีกครั้ง แล้วสีหน้าของเขาก็ต้องเผยความตะลึงพรึงเพริดเช่นกัน

เขาย่อมมองออกว่าเมื่อครู่นี้เจินหลิงในดวงตายักษ์ถึงขั้นเปล่งเสียงของมันออกมา…

เสียงของเจินหลิงที่พูดถึงก็คือเสียงแห่งชีวิตของเจินหลิงที่จะเปล่งออกมาก็ต่อเมื่อเผชิญกับวิกฤตเท่านั้น เพราะทุกครั้งที่เปล่งออกมาจะสร้างความเสียหายให้กับตัวมันเอง ขณะเดียวกันความยิ่งใหญ่ของอานุภาพนั้นต่อให้เป็นคนฟ้าเองหากถูกมันโจมตีสุดกำลังอย่างไม่เสียดายค่าตอบแทนก็ยังมิอาจถอนตัวออกมาได้ทัน

เสียงของเจินหลิงเมื่อครู่นี้แม้ว่าจะไม่ได้เปล่งเต็มกำลัง ทว่าขณะเดียวกันกับที่มันทำลายพลังจิตของหงเฉินหนวี่ก็ได้เผาผลาญพลังของเจินหลิงในดวงตายักษ์ไปไม่น้อยด้วย

ต้องรู้ว่าถึงแม้เจดีย์สูงเจินหลิงนี้จะมีความสัมพันธ์กับสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ทว่าความเป็นมาที่แท้จริงของมันมีเพียงคนส่วนน้อยอย่างเฉินเห้อเทียนเท่านั้นถึงจะรู้อย่างลึกซึ้งว่าเจินหลิงนี้…คือวัตถุที่มาจากเกาะทงเทียนบนมหาสมุทรทงเทียน!

สำหรับสำนักต้นน้ำของแม่น้ำทงเทียนทั้งสี่สายใหญ่แล้ว เกาะทงเทียนก็เป็นเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เคารพสูงสุด มีความสัมพันธ์ประหนึ่งจักรพรรดิกับราชนิกูลสูงศักดิ์ สี่สำนักใหญ่ต้นแม่น้ำก็คือฝ่ายของอ๋องและโหว ส่วนเกาะทงเทียนก็คือพระราชวัง!

ส่วนเทียนจุนที่อยู่บนเกาะทงเทียน…แน่นอนว่าย่อมเป็นเจ้าผู้ครอบครองทงเทียนสายหนึ่ง

ทว่าตอนนี้เจินหลิงที่มีข้อตกลงร่วมกับเกาะทงเทียนว่าต้องให้การปกป้องพิทักษ์กำแพงเมืองกลับทำถึงขนาดนี้…ภาพนี้จึงทำให้เฉินเห้อเทียนอดไม่ได้ที่จะมองลูกวิญญาณเก้าหมื่นกว่าลูกรอบด้าน แล้วจึงหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยดวงตาที่เปล่งแสงวาบ

“นี่มันคือการปกป้องอาหารชัดๆ …หงเฉินหนวี่นั่นก็ดวงซวยแท้ๆ ดันแผ่พลังจิตมาในเวลาอย่างนี้ ส่วนเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่ไปเอาวิญญาณพยาบาทมากมายขนาดนี้มาจากไหนกัน…บนร่างของเด็กคนนี้มีความลับอยู่ไม่น้อยเลยนะ” สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนนั้น หลายปีมานี้เฉินเห้อเทียนได้แอบจับตามองเขาอย่างลับๆ มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นยารวมวิญญาณหรือเตาหลอมยาระเบิดก็ล้วนทำให้เขาต้องให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ เขายังถึงขั้นแอบให้คนของสำนักหาทางไขตำรับยารวมวิญญาณด้วยซ้ำ ซึ่งเรื่องนี้เขาทำอย่างระมัดระวัง เพราะอย่างไรซะการตรวจสอบคนของห้ากองทัพใหญ่เดิมทีก็เป็นเรื่องที่เปราะบางอยู่แล้ว ขณะที่เฉินเห้อเทียนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กำลังโบกสะบัดปลายแขนเสื้อด้วยความเบิกบานทระนงตน

“จงเปิดออก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามกร้าว เมื่อเสียงของเขาดังออกมา ลูกวิญญาณทั้งเก้าหมื่นลูกก็พลันสั่นไหวแล้วทยอยกันระเบิดตูม พริบตาเดียววิญญาณก็แผ่กระจายออกมาดารดาษ ปกคลุมไปแปดทิศ ตลบอบอวลทั่วทั้งนครหลัก ก่อนจะแตกฮือออกไปทั่วด้าน

หมื่นจั้ง แสนจั้ง ล้านจั้ง สิบล้านจั้ง…พริบตาเดียวหมอกวิญญาณนี้ก็คล้ายจะฉีกทึ้งฟ้าดิน พวกมันแผ่กระจายออกไปรอบด้านอย่างไร้ที่สิ้นสุด!

ภาพนี้ไม่เพียงแต่ทำให้นักพรตห้ากองทัพใหญ่กลางนครหลักตะลึงพรึงเพริด แม้แต่ทางฝ่ายของนครเขตแดนก็ยังสังเกตเห็น ทำเอานักพรตที่อยู่ในเมืองหน้าเผือดสีกันทันใด

ต่อให้เป็นพวกชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณในแดนทุรกันดารเองที่พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ยังมองตาค้าง

“เกิดอะไรขึ้น!”

“สวรรค์ นั่น…นั่นมันคืออะไร!”

ขณะที่หมอกวิญญาณตลบอบอวลไปทั่วฟ้าดิน เขย่าคลอนสี่ทิศ ดวงตายักษ์ของเจดีย์สูงก็กะพริบพราวอย่างรวดเร็วคล้ายกำลังตัวสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น มันระเบิดแสงเจิดจ้ายิ่งกว่าที่เคยออกไปรอบด้าน แต่ดูเหมือนเจินหลิงในดวงตายักษ์จะรู้สึกว่าความเร็วในการดูดซับช้าเกินไป ด้วยความร้อนใจจึงถึงขั้น…บินออกมาจากในดวงตายักษ์!!

แสงของดวงตายักษ์หดตัวลงมารวมตัวกันเป็นจุดแสงหนึ่งจุด จุดแสงนี้บินออกมาจากในดวงตายักษ์ก่อนจะกลายร่างเป็นค้างคาวตัวหนึ่ง!

ตลอดร่างของค้างคาวตัวนี้เป็นกึ่งโปร่งแสง นัยน์ตาเป็นสีแดงฉาน เมื่อบินออกมาก็แหงนหน้าแผดเสียงคำราม ทันใดนั้นบนนภากาศก็ปรากฏเป็นเงามายาขนาดใหญ่ยักษ์หนึ่งเงา

เงานี้ก็คือค้างคาวเช่นเดียวกัน ความใหญ่ของร่างกายเหมือนจะปิดคลุมนภากาศได้หมด หลังจากที่ปรากฏตัว มันก็อ้าปากแล้วสูดลมอย่างแรง พริบตานั้นฟ้าดินส่ายไหว หมอกวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนรอบด้านกลิ้งหลุนๆ คล้ายน้ำขึ้นน้ำลงที่ตรงดิ่งเข้ามาหาค้างคาวตัวใหญ่ยักษ์

ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้นักพรตของห้ากองทัพตัวสั่นสะท้าน ตะลึงพรึงเพริดถึงขีดสุด พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในดวงตายักษ์จะมีค้างคาวอยู่ตัวหนึ่ง!!

แม้ว่าแม่ทัพของห้ากองทัพใหญ่อย่างพวกป๋ายหลินจะรู้ถึงการดำรงอยู่ของค้างคาวตัวนี้ แต่กลับไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ มาก่อน ยามนี้พอได้เห็นก็ตกใจจนสำลักลมหายใจเช่นเดียวกัน

ฟ้าดินบิดเบือน เมื่อหมอกวิญญาณไร้ขอบเขตถูกค้างคาวตัวมหึมาดูดสวบมา เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดหมอกควันนี้ก็สลายหายไปหมด เงามายาของค้างคาวยักษ์เหมือนจะพึงพอใจอย่างมาก มันก้มหน้าลงมองทั่วด้านด้วยสายตาเย็นชา สายตาที่กวาดผ่านล้วนมองข้ามตัวตนของทุกคน มีเพียงตอนมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่ดวงตาของค้างคาวตัวนี้เผยความชื่นชม และความชื่นชมนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นความสนิทสนมเสี้ยวหนึ่ง

จากนั้นมันก็ขยับตัวหนึ่งครั้งก่อนจะหายวับไป กลายมาเป็นจุดแสงที่บินกลับเข้าไปในดวงตายักษ์อีกครั้ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็งุนงงไม่ต่างจากคนอื่นๆ เขายืนอึ้งมองค้างคาวตัวนั้นดูดหมอกวิญญาณไปจนหมด เขาเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าแค่ตัวเองมาเซ่นไหว้ดวงวิญญาณจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้ได้

เวลานี้หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำรัวเร็ว รอบด้านเงียบฉี่ สายตาของทุกคนหันไปมองดวงตายักษ์ก่อน หลังจากนั้นจึงมองมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ กลอกตาไปมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าควรจะเอ่ยปากอธิบายเช่นไร ทันใดนั้นป้ายตัวตนที่อยู่ในถุงเก็บของของเขาก็พลันสั่นสะเทือนรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจสะดุ้งโหยง รีบหยิบเอาป้ายตัวตนออกมา พอกวาดพลังจิตมองเขาก็ต้องเบิกตากว้าง ร้องอุทานเสียงหลง

“เยอะขนาดนี้เชียวรึ!!”

เวลานี้คุณความชอบในป้ายตัวตนของเขากำลังทะยานขึ้นสูงอย่างบ้าคลั่ง แค่เวลาไม่นานก็สูงมากจนถึงระดับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับกองหมื่นได้ แต่นั่นยังไม่สิ้นสุด มันยังคงเพิ่มอย่างต่อเนื่อง และไม่นานหลังจากที่คุณความชอบในการรบของเขามากพอจะแลกตำแหน่งผู้บังคับกองหมื่นสองคน การไต่ทะยานถึงได้ค่อยๆ หยุดลง

มองคุณความชอบในการรบเหล่านั้น ลูกตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็แทบจะถลนออกมานอกเบ้า หัวใจเขาเต้นกระหน่ำอีกครั้ง แม้เขาจะไม่รู้ว่าสรุปแล้ววิญญาณของตัวเองแลกเอาคุณความชอบในการรบมาได้มากน้อยแค่ไหน แต่ก็เคยคำนวณคร่าวๆ มาก่อนจึงรู้ว่าน่าจะพอบรรลุถึงข้อเรียกร้องในการเป็นผู้บังคับกองหมื่นอย่างกล้อมแกล้ม

แต่ตอนนี้กลับมีมากกว่าที่คิดไว้ถึงหนึ่งเท่าตัว…เห็นได้ชัดว่าเจินหลิงในดวงตายักษ์นั่นพึงพอใจอย่างมาก จึงจงใจให้คะแนนเขาเพิ่มอีกไม่น้อย…

มองคุณความชอบในการรบของตัวเองป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันตื่นเต้น เวลานี้เขาไม่มีอารมณ์มาสนใจอะไรอีกแล้ว จึงรีบชูป้ายตัวตนขึ้นสูงแล้วตะโกนอย่างห้าวเหิม

“ข้าจะเลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับกองหมื่น!” คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกมา นักพรตทุกคนที่อยู่โดยรอบล้วนใจสะท้าน

“เขา…เขาพูดว่าอะไรนะ? ผู้บังคับกองหมื่น!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับกองหมื่น!!”

“เรื่องนี้ครึกโครมเกินไป ไม่ว่าจะเป็นหมอกวิญญาณมืดฟ้ามัวดินก่อนหน้านี้ การเปลี่ยนแปลงของดวงตายักษ์ หรือข้อเรียกร้องที่จะเลื่อนขั้นของเขา นี่…ทั้งหมดนี้…สวรรค์ ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ต้องกลายมาเป็นตำนานแน่นอน!!”

“แค่เซ่นไหว้วิญญาณก็ได้เป็นผู้บังคับกองหมื่น?” เสียงพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบด้านดังเอ็ดอึง

เวลาเดียวกันนั้น แทบจะขณะเดียวกับที่คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกมา คุณความชอบในป้ายตัวตนของเขาก็พลันลดลงฮวบฮาบ และเวลาแค่พริบตาเดียวก็ลดหายไปครึ่งหนึ่ง

ขณะเดียวกันป้ายตัวตนในมือของเขาก็ระเบิดประกายแสงแสบตา บันทึกด้านในนั้นบอกว่าตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนได้เปลี่ยนจากผู้บังคับกองพันมาเป็น…ผู้บังคับกองหมื่นแล้ว!

เพียงแต่ว่าก่อนจะได้เป็นผู้บังคับกองหมื่นนี้ต้องได้รับคำว่าอนุมัติเสียก่อน!

เพราะอย่างไรซะตัวตนผู้บังคับกองหมื่นก็สำคัญมากเกินไป สำหรับห้ากองทัพใหญ่แล้วถือว่าเป็นตำแหน่งสูงสุดที่นักพรตคนหนึ่งจะเดินมาถึงได้ ไม่ว่าผู้บังคับกองหมื่นคนใดก็ล้วนจำเป็นต้องให้แม่ทัพใหญ่ทั้งห้ารวมไปถึงบุรพาจารย์คนฟ้าร่วมกันยืนยันเสียก่อนว่าไม่มีปัญหา จากนั้นจึงส่งต่อไปให้กับเจินหลิงในดวงตายักษ์ แล้วเสร็จถึงจะสามารถป่าวประกาศให้ทุกคนในกองทัพใหญ่ทั้งห้ารวมไปถึงรายงานให้สำนักอันตมรรคาฟ้าดารารับรู้

โดยเฉพาะตอนนี้ในกองทัพใหญ่ทั้งห้าไม่มีตำแหน่งผู้บังคับกองหมื่นว่างอยู่ ดังนั้นหากยืนยันแน่ชัดเมื่อไหร่ยังจำเป็นต้องปลดผู้บังคับกองหมื่นคนใดคนหนึ่งออก

ทั้งหมดนี้ล้วนเต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อย จำเป็นต้องดำเนินไปตามขั้นตอน ตอนนี้เมื่อเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังสะท้อน เสียงฮือฮาของคนรอบด้านฟังไม่ได้ศัพท์ก็ทำเอาเฉินเห้อเทียนและพวกป๋ายหลินพากันปวดหัว

“ไหนพวกเจ้าลองว่ามาสิว่าจะทำยังไงกับเรื่องดีนี้” เฉินเห้อเทียนถอนหายใจหนึ่งครั้งก่อนจะส่งข้อความเสียงไปหาพวกป๋ายหลิน ทว่าแม่ทัพเหล่านี้ล้วนไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากเช่นไร ภาพเหตุการณ์ที่ได้เห็นวันนี้พวกเขาก็รู้สึกเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่เช่นกัน

หากป๋ายเสี่ยวฉุนใช้วิธีการอื่นเลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับกองหมื่น พวกเขาคงไม่คิดมากนัก แต่ตอนนี้ การที่เลื่อนยศด้วยวิธีการเช่นนี้ทำให้ทุกคนล้วนรับมือไม่ทัน ต่อให้เป็นป๋ายหลินซึ่งเป็นคนจุดประกายความทะเยอทะยานของป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังคิดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะได้กลายเป็นผู้บังคับกองหมื่น…เร็วขนาดนี้

ต้องรู้ว่านับตั้งแต่ที่กำแพงเมืองก่อตั้งมา ป๋ายเสี่ยวฉุนคือคนแรก…ที่ใช้วิธีการเซ่นไหว้ดวงวิญญาณในครั้งเดียวมายกระดับตัวเองให้กลายเป็นผู้บังคับกองหมื่น

“เรื่องนี้…ข้ารู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็อาศัยความสามารถของตัวเองเหมือนกัน…ก็น่าจะได้กระมัง” เห็นว่าทุกคนเงียบกันหมด ป๋ายหลินจึงฝืนใจเอ่ยขึ้นมา

“จะเล่นเป็นเด็กแบบนี้ได้อย่างไร!!” เฉินเห้อเทียนส่งเสียงคำรามเดือดดาล แต่ในใจกลับกลัดกลุ้ม ตำแหน่งผู้บังคับกองหมื่นสำคัญเกินไป ทว่าตำแหน่งผู้บังคับกองหมื่นของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นเขาจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ แต่หากยอมรับก็ออกจะดูเหลวไหลเกินไปอีก

ขณะที่กำลังขบคิดว่าควรจะทำอย่างไรให้บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ป๋ายเสี่ยวฉุนที่รออยู่กลับเริ่มหงุดหงิดเสียแล้ว เขาไม่รู้ว่าการเป็นผู้บังคับกองหมื่นยังจำเป็นต้องรอคำปรึกษาจากพวกเฉินเห้อเทียนก่อนถึงจะได้ แต่พอเขาเห็นอักษรคำว่ารออนุมัติในป้ายตัวตนของตัวเอง ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็รู้สึกขัดหูขัดตายิ่งนัก

“ผู้อาวุโสค้างคาว ท่านทำอย่างนี้ถือว่าไม่จริงใจนะ ข้าเซ่นไหว้ดวงวิญญาณไปให้ท่านมากมายขนาดนั้น มากพอ…หนึ่งร้อยล้านตัวได้เลย!! แต่ท่านกลับมอบคำว่ารออนุมัติตำแหน่งผู้บังคับกองหมื่นให้กับข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ยอมทันที เขาเงยหน้ามองดวงตายักษ์ในเจดีย์สูงทั้งยังตะโกนเสียงดังลั่น

“ท่านทำแบบนี้ต่อไปจะให้ข้าเอาวิญญาณมาเซ่นไหว้ท่านอีกได้ยังไง จะให้สหายนักพรตคนอื่นๆ มาเซ่นไหว้ดวงวิญญาณได้อีกอย่างไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธมาก ตอนที่คำพูดของเขาดังออกมา ดวงตายักษ์พลันเปล่งแสงวาบหนึ่งครั้งคล้ายกำลังคิดหนัก และก็เวลาเพียงไม่กี่ชั่วลมหายใจ ยังไม่ทันรอให้พวกเฉินเห้อเทียนได้ข้อสรุป ทันใดนั้น…ป้ายตัวตนของนักพรตทุกคนในห้ากองทัพใหญ่ก็พลันมีข้อมูลที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับกองหมื่นลอยขึ้นมา!

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เลื่อนยศเป็นผู้บังคับกองหมื่น!” ไม่เพียงแต่ข่าวนี้แพร่กระจายไปให้กับทุกคน ทั้งยังถูกเจินหลิงในดวงตายักษ์ส่งเรื่องไปยังสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราโดยตรงโดยมองข้ามการยืนยันจากพวกเฉินเห้อเทียนด้วย!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!