Skip to content

A Will Eternal 534

บทที่ 534 ข่าวของวิญญาณคนฟ้า

ขณะเดียวกันกับที่ลำแสงทั้งเก้านี้พวยพุ่งสู่ท้องฟ้า เฉินเห้อเทียนและหงเฉินหนวี่ต่างก็พากันหยิบแผ่นหยกในร่างของตัวเองออกมา เห็นได้ชัดว่ามีคนส่งข้อความเสียงให้กับพวกเขา

สีหน้าของคนทั้งสองพลันเผยความสนใจออกมาในเวลาเดียวกัน ลมหายใจของทั้งคู่เริ่มถี่กระชั้น หลังจากเงยหน้าก็จ้องมองกันนิ่ง ก่อนที่จะแย่งกันส่งข้อความเสียงออกไป

และเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ คนทั้งสองก็คล้ายจะมีความเห็นตรงกัน เฉินเห้อเทียนพลันโบกมือหนึ่งครั้งแล้วหันไปตะโกนด้วยเสียงมากบารมีให้แก่คนที่อยู่เบื้องล่าง

“กองทัพใหญ่ทั้งห้าถอนทัพ!”

แทบจะเวลาเดียวกันกับที่เขาเอ่ยปากสั่งความ ดวงตาของหงเฉินหนวี่ก็เปล่งแสงวาบ หันไปมองทางกองทัพใหญ่ของชนพื้นเมืองแดนทุรกันดาร ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบเช่นกัน

“เผ่าศักดิ์สิทธิ์ถอนทัพ!”

ด้วยฐานะของคนทั้งสอง หลังจากที่พวกเขาเอ่ยปากแล้วสงครามครั้งนี้ย่อมไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ ทุกอย่างจึงยุติลงอย่างรวดเร็ว เมื่อชนพื้นเมืองของแดนทุรกันดารพากันถอยหลัง ต่อให้สีหน้าของพวกเขาจะยังคงเต็มไปด้วยความงุนงง แต่ทุกครั้งที่พวกเขาหันไปมองลำแสงทั้งเก้าต่างก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้

ทางฝ่ายกำแพงเมืองเองก็เป็นเช่นนี้ ในใจของนักพรตกองทัพใหญ่ทั้งห้าเต็มไปด้วยการคาดเดาไร้ที่สิ้นสุด แต่เห็นได้ชัดว่าที่ทำให้คนฟ้าทั้งสองมีความเห็นร่วมกันจนยุติลงครามครั้งนี้นั่นเพราะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน!

และเรื่องใหญ่ที่ว่านี้ก็เป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วนว่าต้องเกี่ยวข้องกับลำแสงทั้งเก้านั่น!

ขณะที่ชนพื้นเมืองของแดนทุรกันดารถอยทัพ พวกป๋ายหลินเองก็ออกคำสั่งให้ห้ากองทัพใหญ่ค่อยๆ ถอนกำลัง จนกระทั่งกลับมาถึงกำแพงเมือง แสงสายัณห์หดหายและแทนที่มาด้วยม่านรัตติกาล ท่ามกลางความมืดมิดนั้นเมื่อมองไปจะเห็นได้ว่ากองทัพใหญ่ของชนพื้นเมืองแดนทุรกันดารได้ห่างออกไปไกลมากแล้ว

ร่างของเฉินเห้อเทียนพร่าเลือนก่อนจะหายวับไป เมื่อมาปรากฏตัวอีกครั้งเวลาก็ผ่านไปหลายชั่วยามแล้ว ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะกลับมาจากด้านนอก แม้จะดึกมากแล้วทว่าเขาก็ยังคงเรียกพวกแม่ทัพของห้ากองอย่างป๋ายหลินมารวมตัวกันในเจดีย์สูงเพื่อประชุมเรื่องสำคัญทันทีที่เขาปรากฏตัว

หลายชั่วยามที่เฉินเห้อเทียนหายตัวไปนี้ กองทัพใหญ่ทั้งห้าเองต่างก็ถอนกำลังกลับไปยังค่ายพักของใครของมัน

หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนนำกองทัพที่สามกลับเข้ามายังค่ายทหาร เขาก็เงยหน้ามองลำแสงเก้าเส้นที่อยู่ห่างไปไกล แม้ว่าจะเป็นยามค่ำคืนมืดมิด ทว่าลำแสงสีดำทั้งเก้านี้กลับไม่ถูกกลบทับด้วยความมืด ยังคงมองเห็นประกายแสงที่หมุนวนได้รำไร

ในใจเขาพลันบังเกิดความกระวนกระวายไม่เป็นสุข

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปมองลำแสงทั้งเก้าพร้อมความรู้สึกตึงเครียดที่ลอยขึ้นกลางใจ

“ลำแสงเส้นที่หนึ่ง คนอื่นๆ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ตัวข้ากลับรู้ดีว่านั่นเป็นเพราะข้า…เอาวิญญาณมามากเกินไปเลยชักนำให้วิญญาณตัวใหญ่ออกอาละวาด จนเป็นเหตุให้เกิดลำแสงนั่น”

“หรือว่า…มีคนอื่นไปยั่วแหย่วิญญาณใหญ่ชั่วร้ายตนนั้น? หรือว่าในตำหนักใต้ดินนั่นเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะเดาถูกมีถึงแปดเก้าส่วน เพราะอย่างไรซะช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายกำแพงเมืองหรือแดนทุรกันดารต่างก็ส่งคนมากมายไปตรวจสอบที่นั่น

“หรือว่า…วิญญาณใหญ่ชั่วร้ายตนนั้นหนีออกมาได้แล้ว? มันจะมาจับตัวข้า!!” หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตระหนักได้ถึงข้อนี้เขาก็ตื่นตระหนกจนริมฝีปากแห้งผาก รีบมองประเมินไปรอบด้านด้วยหัวใจที่สั่นระรัว พอนึกถึงความน่ากลัวของผีร้ายนั่น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าตัวเองขาดความรู้สึกปลอดภัยอย่างรุนแรง

“จะทำอย่างไรดี…หวังว่าคงจะไม่ใช่อย่างที่คิดนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าตาบูดบึ้ง ถอนหายใจเฮือกๆ อยู่ในใจไม่หยุด

การพูดคุยระหว่างเฉินเห้อเทียนและพวกป๋ายหลินกินเวลานานพอหนึ่งชั่วยาม หนึ่งชั่วยามให้หลังเมื่อพวกป๋ายหลินบินออกมาจากในเจดีย์สูง สายตาของพวกเขาแต่ละคนก็ล้วนเปล่งประกายแสงระยิบระยับราวกับสะกดกลั้นความตื่นเต้นไว้ในใจ

“ผู้บังคับกองหมื่นกองถลกหนัง รีบมาที่หอเรือนของตัวข้า!” หลังกลับมาถึงค่ายพัก ยังเหลือเวลาอีกพักใหญ่กว่าฟ้าจะสาง สิ่งที่ป๋ายหลินทำเป็นเรื่องแรกก็คือเรียกรวมพวกผู้บังคับกองหมื่นใต้บังคับบัญชาให้มารวมตัวกันทันที

หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับคำสั่งก็ลังเลไปครู่ ครุ่นคิดว่าควรจะออกไปสืบข่าวสักหน่อย ดังนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึก พกพาเอาความตื่นเต้นและไม่สบายใจบินออกไปทันที ตรงดิ่งไปยังที่พักของป๋ายหลินซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างราวกับโลงศพแห่งนั้น ไม่นานเขาก็มองเห็นว่าผู้บังคับกองหมื่นอีกเก้าคนของกองถลกหนังต่างก็มีสีหน้าคาดเดา หลังจากคารวะกันแล้วกลับไม่ได้เอ่ยคำใดต่อกัน แต่บินไปยังที่พักของป๋ายหลินทันที

หลังจากมาถึงที่พักของป๋ายหลินแล้ว กลางห้องโถงใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนและผู้บังคับกองหมื่นอีกเก้าคนต่างก็รีบประสานมือคารวะป๋ายหลินที่ยืนดวงตาเป็นประกายอยู่ตรงนั้นทันที

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” ป๋ายหลินเงยหน้าขึ้น ใช้สายตาราวสายฟ้ามองไปยังพวกป๋ายเสี่ยวฉุน และประโยคแรกที่เขาเอ่ยออกมาก็ทำให้หัวใจทุกคนบีบรัดตัวแน่นทันที

โดยเฉพาะป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยิ่งใจสั่น กลัวว่าประโยคต่อมาของป๋ายหลินจะพูดบอกว่าวิญญาณผีร้ายหนีออกมาแล้ว

“มีการค้นพบ…วิญญาณคนฟ้า!” สีหน้าของป๋ายหลินปกปิดความตื่นเต้นเอาไว้ไม่มิด ไม่รอให้ทุกคนเอ่ยถามเขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยออกมาเอง และประโยคนี้ที่พูดออกมา นอกจากป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ผู้บังคับกองหมื่นคนอื่นๆ ต่างก็ใจกระตุกรัว

“วิญญาณคนฟ้า!!”

“นี่…ที่นี่มีวิญญาณคนฟ้าอยู่จริงๆ รึนี่!!”

“ข้าผู้อาวุโสอยู่ในกำแพงเมืองมาหลายปี วิญญาณคนฟ้าเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น ไม่เคยได้เห็นกับตาตัวเองมาก่อน!!” ต่อให้คนเหล่านี้จะก่อกำเนิดแล้ว ทว่ามูลค่าของคนฟ้าก็ยังทำให้พวกเขาใจสั่นได้อยู่ดี

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับผ่อนลมหายใจ เขามีวิญญาณคนฟ้าอยู่แล้ว รู้ดีว่าวิญญาณคนฟ้ามีรูปร่างแบบไหน แม้ว่าผีร้ายในวันนั้นจะแข็งแกร่ง แต่กลับไม่ใช่วิญญาณคนฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าขอแค่ไม่ใช่ผีร้ายนั่นหนีออกมา ตนก็ปลอดภัยแล้ว ส่วนวิญญาณคนฟ้า เมื่อเขามาอยู่กำแพงเมือง เมื่อได้ทำความรู้จักกับที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็รู้แต่แรกแล้วว่าวิญญาณคนฟ้านั้นสามารถพูดได้ว่ามิอาจประเมินค่าได้!

แม้ว่าวิญญาณคนฟ้าหนึ่งดวงจะสามารถแลกเอาวิญญาณสัตว์ฟ้าห้าดวงอย่างทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดินมาได้ครบถ้วนทั้งห้าธาตุ แต่ในทางกลับกัน หากคิดจะนำวิญญาณสัตว์ฟ้าห้าธาตุมาแลกเอาวิญญาณคนฟ้าหนึ่งดวง ใต้หล้านี้ก็แทบจะไม่มีใครทำเช่นนั้น

เพราะวิญญาณคนฟ้านั้นมีน้อยมากจริงๆ

ไม่ว่าจะเป็นใครที่ได้ครอบครองก็ล้วนเก็บเป็นความลับไม่บอกใคร ต่างก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหาอีกสี่ชิ้นมาให้ได้ เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ยากเกินไป จนถึงกระทั่งทุกวันนี้ก็มีเพียงเทียนจุนแห่งเกาะทงเทียนเท่านั้นที่ทำได้ คนอื่นยังไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อน

ถึงกระทั่งมีข่าวลือแพร่ออกมาด้วยว่า เทียนจุน…ไม่ชอบให้มีคนสร้างก่อกำเนิดด้วยวิญญาณคนฟ้าเช่นเดียวกับเขา! ทว่าจะอย่างไรแล้วนี่ก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น หากเทียนจุนไม่ต้องการให้คนอื่นๆ ก่อกำเนิดด้วยวิญญาณคนฟ้าจริงๆ คิดจะตัดหนทางนี้ก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก และคงไม่คิดจะให้ความหวังคนอื่น

คำพูดที่เหมือนจะจริงและเหมือนจะเป็นเท็จนี้ทำให้คนคาดเดาไม่ได้

และทั้งหมดนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้พิจารณามากนัก เขาสนใจชีวิตน้อยๆ ของตัวเองมากกว่า หลังจากแอบเหลือบมองสีหน้าของพวกผู้บังคับกองหมื่นที่อยู่รอบกาย ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็เกิดความลำพองใจไม่มากก็น้อย

“ก็แค่วิญญาณคนฟ้าไม่ใช่หรือ ร้ายกาจแค่ไหนกันเชียว ในถุงเก็บของข้ามีตั้งสองดวง” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนคิดเช่นนี้ ทว่าใบหน้ากลับเผยความกระตือรือร้นและปรารถนาอย่างเร่าร้อนไม่ต่างจากคนอื่นๆ

ป๋ายหลินมองไปที่ทุกคน พึงพอใจต่อสีหน้าของทุกคนอย่างมาก ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาได้ยินเฉินเห้อเทียนกล่าวเช่นนี้ เขาเองก็ตะลึงอย่างมากเหมือนกัน แต่ว่าที่เขาตะลึงไม่ใช่เพราะมูลค่าของวิญญาณคนฟ้า แต่เป็นเรื่องราวซึ่งเกี่ยวข้องกับวิญญาณคนฟ้าที่เฉินเห้อเทียนพูดถึงต่างหาก!

หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ ใจป๋ายหลินไม่อยากจะพูดออกมา แต่ครุ่นคิดว่าต่อให้ตนไม่พูด แม่ทัพคนอื่นๆ ก็ต้องพูดอยู่ดี เพราะอย่างไรซะในคราวนี้เขาก็ต้องได้วิญญาณคนฟ้าดวงนี้มาครอบครอง และผู้แข่งขันตัวเป้งของเขาก็คือพวกแม่ทัพอีกสี่คนที่มีตบะใกล้เคียงกับเขา คิดจะช่วงชิงเอาวิญญาณคนฟ้ามาให้ได้ เขาจำเป็นต้องมีคนช่วยเหลือ ดังนั้นจึงกล่าวเสียงทุ้มหนักด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“หลังจากสะสมวิญญาณคนฟ้าได้ครบห้าดวงแล้ว ไม่เพียงแต่สามารถทำให้นักพรตรวมกำเนิดวิถีฟ้า วิญญาณนี้ยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งนั่นคือสามารถทำให้นักพรตก่อกำเนิดมีอัตราความสำเร็จเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วนเมื่อฝ่าทะลุสู่ขอบเขตคนฟ้า!”

“ต่อให้จะมีวิญญาณคนฟ้าแค่ดวงเดียวก็ยังสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จได้ หากสามารถรวบรวมครบทั้งห้าดวง รวมเป็นวิญญาณคนฟ้าห้าธาตุแล้วฝ่าทะลุสู่เขตคนฟ้า อัตราความสำเร็จก็จะยิ่งมากอย่างถึงขีดสุด!”

คำพูดของป๋ายหลินดังออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่รู้สึกอะไร ทว่าผู้บังคับกองหมื่นคนอื่นๆ มีหลายคนที่ตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า พากันสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ บัดนี้พวกเขาไม่ใช่แค่สนใจธรรมดาเท่านั้น แต่ในสมองยังมีเสียงดังอึงอล ร่างก็สั่นสะท้านไปด้วย

“เพิ่มอัตราความสำเร็จตอนฝ่าทะลุสู่คนฟ้า…”

“วิญญาณคนฟ้ามีสรรพคุณวิเศษขนาดนี้เชียวหรือ!!”

ป๋ายหลินกวาดสายตามองผ่านทุกคนโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่จับสังเกตสีหน้าของคนเหล่านั้น นอกจากป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ผู้บังคับกองหมื่นอีกเก้าคน มีสามคนที่สีหน้าเป็นปกติ สองคนหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ คล้ายกำลังปกปิดอารมณ์ และมีอีกสี่คนที่หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง

ขณะเดียวกันเขาเองก็มองออกถึงความนิ่งเฉยของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วย เขาจึงเข้าใจทันทีว่าสำหรับเหล่าผู้ที่ก่อกำเนิดแล้ว เรื่องนี้สร้างแรงดึงดูดให้อย่างมหาศาล ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่สำคัญเท่าการก่อกำเนิด

แต่เขาไม่รู้ว่าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสงบนิ่งได้ถึงขนาดนี้เป็นเพราะเขามีวิญญาณคนฟ้าสองดวงแล้ว ก็เหมือนกับคนกินอิ่มที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของคนหิวโหย แน่นอนว่าเขาย่อมนิ่งเฉย

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ มองป๋ายหลิน แล้วก็หันไปมองผู้บังคับกองหมื่นคนอื่นๆ ที่อยู่รอบกาย หลังจากทำท่าครุ่นคิด เขาก็ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะหันไปประสานมือคารวะป๋ายหลินก่อนเป็นอันดับแรก

“ท่านขุนพล นี่คือโอกาสอันดีเลยนะขอรับ หากท่านขุนพลได้วิญญาณคนฟ้ามานั่นก็ไม่เท่ากับมีความหวังที่จะได้เป็นคนฟ้าหรอกหรือ!”

คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกมา ความคิดอันฮึกเหิมของพวกผู้บังคับกองหมื่นพลันถูกข่มให้สงบลง แม้ว่าวิญญาณคนฟ้าจะดี แต่พวกเขาเองก็เข้าใจดีว่าตบะของตัวเองยังห่างจากการฝ่าทะลุเป็นคนฟ้าอีกไกลนัก ต่อให้ได้วิญญาณคนฟ้ามาครอง ข่าวที่แพร่ออกไปก็ย่อมปิดเป็นความลับไม่ได้อีก

และคนที่มีความเป็นไปได้ที่สุดที่จะฝ่าทะลุตบะ หรือถึงขั้นสามารถรักษาวิญญาณคนฟ้าไว้ได้ก็มีเพียงแม่ทัพป๋ายหลินผู้อยู่เบื้องหน้านี้เท่านั้น ดังนั้นสายตาของแต่ละคนจึงเปล่งประกาย เข้าใจความต้องการของป๋ายหลินและเข้าใจถึงคำเตือนของป๋ายเสี่ยวฉุน

อันที่จริงพวกเขาเองก็แค่ตื่นตะลึงไปกับประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของวิญญาณคนฟ้าจนทำให้จิตใจวุ่นวายไปชั่วขณะ มิฉะนั้นก็คงไม่จำเป็นต้องให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมาเอ่ยเตือนเช่นนี้ ตอนนี้หลังจากที่เข้าใจทุกอย่างกระจ่างแจ้งแล้วจึงทำให้มองเห็นสายตาเย็นชาของป๋ายหลิน และนั่นก็ทำให้พวกเขาซาบซึ้งใจในตัวป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างยิ่ง

แม้แต่ผู้บังคับกองหมื่นสี่คนที่หน้าไม่เปลี่ยนสีเท่าไหร่นักก็ยังหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายครั้ง คนหนึ่งในนั้นหลังจากเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งก็หันมาประสานมือถามป๋ายหลิน

“ท่านขุนพล ไม่ทราบว่าวิญญาณคนฟ้านี้อยู่ที่ไหนหรือ?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!