บทที่ 535 รายชื่อ
ป๋ายหลินหันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งก่อน สำหรับการเอ่ยเตือนคนอื่นของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้น เขาชื่นชมอย่างมาก เพราะบางคำพูดหากให้เขาพูดออกมาเองก็ดูจะเสียภาพลักษณ์เกินไปหน่อย หลังจากนั้นเขาจึงหันไปมองผู้บังคับกองหมื่นคนที่เอ่ยถามแล้วพยักหน้าให้
“พวกเจ้าเองก็ได้เห็นลำแสงสีดำหลายลำก่อนหน้านี้แล้ว คิดว่าคงจะเดากันได้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ที่ตั้งของตำหนักใต้ดินซึ่งได้รับความสำคัญจากทุกฝ่ายได้เกิดการเปลี่ยนแปลง”
“ตำหนักใต้ดินมีการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ที่นั่นน่าจะพังถล่มลงมาทั้งหมดแล้ว จึงเผยให้เห็นทางเข้าที่แท้จริง…และในทางเข้านั้นมีเขาวงกตอยู่แห่งหนึ่ง!”
“นอกเขาวงกตมีป้ายศิลาที่ด้านบนเขียนเอาไว้ชัดเจนว่าหากสามารถผ่านเขาวงกตนี้ไปได้จะถือว่าผ่านการทดสอบ และได้รับวิญญาณคนฟ้า!” ป๋ายหลินเอ่ยช้าๆ
ทุกคนเงียบงัน ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับใจสั่น หัวใจที่คลายตัวก่อนหน้านี้พลันบีบรัดตัวแน่นอีกครั้ง เรื่องนี้ค่อนข้างจะสอดคล้องกับการคาดเดาของเขาก่อนหน้านี้ แต่นี่คือคำตอบที่เขาไม่ต้องการได้ยินมากที่สุด พอนึกว่าสถานที่ที่วิญญาณคนฟ้าอยู่ก็คือสถานที่ที่ตนไปกวาดเอาวิญญาณพยาบาทมามากมาย อีกทั้งเรื่องนี้อาจจะเกิดขึ้นเพราะฝีมือตนจริงๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกลนลานไปหมด
“ผู้อาวุโสเฉินเห้อเทียนมีคำสั่ง เมื่อสนธยาครั้งต่อไปมาถึง เขาจะเลือกคนสามหมื่นคนให้ติดตามเขาเดินทางไปยังเขาวงกต! ส่วนรายชื่อของคนที่จะได้ไปนั้น เนื่องจากความปลอดภัยของกำแพงเมืองมิอาจมองข้ามได้ ดังนั้นผู้อาวุโสเฉินจึงจะเป็นคนเลือกเอง และจะประกาศให้รู้กันคืนนี้” ป๋ายหลินกล่าวต่อ
“แม้ว่าตัวข้าจะต้องไปด้วย แต่กลับไม่ได้เข้าไปในเขาวงกต เพราะต้องบัญชาการณ์ทัพใหญ่ร่วมกับแม่ทัพคนอื่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้แดนทุรกันดารลอบโจมตี อีกอย่างเจินหลิงในเจดีย์สูงก็จะปรากฏตัวด้วย เพื่อจะได้ป้องกันให้ครบทุกด้าน”
“พวกเจ้าจงกลับไปสั่งความเสียหน่อย สรุปคือคนของกองถลกหนังเรา ใครก็ตามที่นำวิญญาณคนฟ้ากลับมาให้ตัวข้า ผู้บังคับกองหมื่นในกองที่พวกเขาอยู่จะได้รับการตบรางวัลอย่างงามจากข้า!” ป๋ายหลินกล่าวจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใจร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เดิมทีเขาไม่สนใจเรื่องวิญญาณคนฟ้าอะไรนั่น เขาแค่สนใจชีวิตน้อยๆ ของตัวเองเท่านั้น
ยามนี้พอได้ยินว่าต้องมีคนได้ไปเขาวงกตเยอะขนาดนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มตื่นตระหนกขึ้นมา พอนึกถึงความน่ากลัวของวิญญาณชั่วร้าย แล้วนึกถึงรางวัลที่แดนทุรกันดารประกาศจับตนในตอนนี้ เขาก็กลัวว่าตัวเองจะถูกส่งตัวเข้าไปด้านในจนหัวใจเต้นกระเด็นกระดอนขึ้นมาอยู่ตรงลำคอแล้ว
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ตบะของข้าต่ำเตี้ยอ่อนแอ คงจะไม่ให้ข้าไปหรอกกระมัง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบปลอบตัวเอง แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่วางใจจึงหันไปมองป๋ายหลิน
“ท่านแม่ทัพ เรื่องนี้ทำไมฟังแล้วมันทะแม่งๆ พิกล ทั้งเขาวงกต ทั้งป้ายศิลา แถมยังเขียนไว้อย่างชัดเจนว่ามีวิญญาณคนฟ้า ข้ารู้สึกว่าเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วนว่าจะเป็นกับดัก นี่คงไม่ใช่กับดักที่แดนทุรกันดารวางล่อเอาไว้กระมัง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแสร้งทำเป็นพูดด้วยท่าทีระแวดระวัง
“ก่อนหน้านี้ข้าน้อยเองก็คิดถึงปัญหาข้อนี้เหมือนกัน อีกอย่างต่อให้ในบรรดาพวกเรามีคนได้รับวิญญาณคนฟ้า แต่หากผู้อาวุโสเฉินต้องการ…อีกอย่าง ท่านขุนพล ไม่ทราบว่าข่าวนี้เชื่อถือได้หรือไม่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวจบ ผู้บังคับกองหมื่นอีกคนที่อยู่ข้างกายเขาก็เอ่ยถามหนึ่งประโยค
“เรื่องนี้ตอนที่พวกข้าปรึกษากับผู้อาวุโสเฉินก็เคยถามมาก่อน ซึ่งผู้อาวุโสเฉินได้แอบไปที่นั่นมาก่อนแล้ว และยืนยันได้ว่าที่นั่นไม่ใช่กับดัก ส่วนรายละเอียดมากกว่านี้เขาไม่ได้เล่าให้ฟัง แต่ว่าพวกเราห้าแม่ทัพมีข้อตกลงร่วมกับผู้อาวุโสเฉินแล้ว…” ป๋ายหลินยิ้มน้อยๆ
“พวกเรายินดีให้ท่านผู้อาวุโสเลือกคนของเราสามหมื่นคนเพื่อเดินทางไปที่นั่น และท่านผู้อาวุโสก็รับปากว่าฝ่ายใดที่ได้รับวิญญาณคนฟ้ามาก่อนจะได้รับการคุ้มครองและยอมรับจากเขา!”
“ส่วนเรื่องที่ว่าข่าวเชื่อถือได้หรือไม่นั้น…นี่ก็เกี่ยวข้องกับข้อตกลงระหว่างพวกเราห้าแม่ทัพกับท่านผู้อาวุโสเช่นกัน…”
“เพราะว่าข่าวนี้ส่งกลับมาจากจ้าวเทียนเจียวลูกศิษย์ของผู้อาวุโสเฉินเห้อเทียนและเฉินเยว่ซานลูกสาวของท่าน ก่อนหน้านี้คนทั้งสองไปฝึกประสบการณ์ในแดนทุรกันดาร ตอนกลับมาเป็นช่วงที่ลำแสงที่หนึ่งปรากฏพอดีจึงไปตรวจสอบที่นั่นตามคำสั่งของผู้อาวุโสเฉิน!”
“ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ แต่เดากันว่าน่าจะถูกกักตัวอยู่ในเขาวงกตจึงขาดการติดต่อไป อีกทั้งตามที่บอกมาคือเขาวงกตนั้นกว้างใหญ่อย่างถึงที่สุด พลังของคนคนเดียวเกรงว่าคงยากที่จะค้นหาไปทั่วได้ ดังนั้นคนสามหมื่นคนที่ผู้อาวุโสเฉินจัดตัวให้ไปยังเขาวงกต นอกจากจะต้องเอาวิญญาณคนฟ้ามาแล้ว ยังมีอีกภารกิจหนึ่งนั่นคือตามหาจ้าวเทียนเจียวและเฉินเยว่ซาน ปกป้องให้พวกเขาปลอดภัย” ป๋ายหลินเอ่ยเนิบช้า ป๋ายเสี่ยวฉุนพอได้ยินประโยคนี้ใจก็กระตุกทันที
“ศิษย์พี่จ้าว…” เบื้องหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันมีเงาร่างของจ้าวเทียนเจียวลอยขึ้นมา พอนึกถึงความน่ากลัวของวิญญาณชั่วร้าย นึกถึงว่าจ้าวเทียนเจียวและเฉินเยว่ซานที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ลมหายใจของเขาก็ถี่กระชั้นอย่างห้ามไม่ได้ สีหน้ามีความกังวลเล็กน้อย
ไม่นานหลังจากนั้น หลังจากที่สั่งความผู้บังคับกองหมื่นใต้บังคับบัญชาของตนเสร็จสิ้น ป๋ายหลินก็ปล่อยตัวให้ทุกคนกลับไป ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไม่ตกไปตลอดทาง ด้านหนึ่งกังวลเรื่องความปลอดภัยของจ้าวเทียนเจียว อีกด้านหนึ่งก็ตื่นเต้นว่าในรายชื่อนั้นจะมีชื่อของตนอยู่ด้วยหรือไม่
“มีคนมากมายไปหาศิษย์พี่จ้าวและศิษย์พี่หญิงเฉินแล้ว ขอแค่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหามากนัก…แต่ข้านี่แหละ อย่าเลือกข้าเลยนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความกังวลใจ ถอนหายใจยาวเหยียดหนึ่งครั้ง หลังกลับมาถึงค่ายพัก เขาก็นั่งอยู่ในห้องครุ่นคิดถึงผลได้ผลเสียของตน
“อย่าเลือกข้าเด็ดขาดเชียว…หากข้าไปเขาวงกต พวกแดนทุรกันดารเห็นข้าต้องเป็นบ้ากันแน่ๆ…โดยเฉพาะพอออกห่างกำแพงเมืองไปแล้ว ไม่แน่ว่านักพรตของห้ากองทัพใหญ่เองก็อาจเกิดความโลภขึ้นมาก็ได้” พอป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงสายตาที่มาจากนักพรตของห้ากองทัพใหญ่หลังจากได้ยินรางวัลที่หงเฉินหนวี่ประกาศบนสนามรบก่อนหน้านี้ ใจของเขาก็หนาวเหน็บ กลัดกลุ้มเป็นกำลัง แต่พอนึกถึงจ้าวเทียนเจียว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกเป็นห่วง ขณะเดียวกันก็โทษตัวเองด้วย เขารู้สึกว่าที่จ้าวเทียนเจียวและเฉินเยว่ซานต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับตนจริงๆ
เวลาผ่านไป ไม่นานพระอาทิตย์ก็จะโผล่พ้นขอบฟ้า เมื่อฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในห้องตัวเองเพียงลำพังไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น เขากำลังรอให้รายชื่อออกมา ในใจลึกๆ ยังคงวุ่นวาย ได้แต่ขอพรภาวนาให้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง
เวลาเดียวกันนั้น ในเจดีย์สูงเบื้องใต้ดวงตายักษ์ เฉินเห้อเทียนมีสีหน้ามืดทะมึน เขานั่งขัดสมาธิด้วยใจที่ร้อนเป็นไฟ ทั้งยังมากด้วยความเสียใจ เพราะอย่างไรซะหากไม่เป็นเพราะเขาบอกให้ลูกศิษย์และลูกสาวไปตรวจสอบดูที่ตำหนักใต้ดินก็คงไม่เกิดเรื่องอย่างวันนี้
พอนึกถึงลูกสาวและลูกศิษย์ที่เมื่อไปฝึกประสบการณ์ในแดนทุรกันดารก็แทบเอาชีวิตไม่รอด เดิมทีสามารถหวนคืนมาได้อย่างปลอดภัย แต่ตอนนี้กลับต้องตกอยู่ในวิกฤตความเป็นความตายเพียงเพราะคำสั่งเดียวของตน ใจของเฉินเห้อเทียนก็รวดร้าว แม้ว่าแผ่นชะตาชีวิตของลูกสาวจะยังไม่แตกสลาย อีกทั้งยังมีอาวุธล้ำค่าบางอย่างที่เขาเคยมอบให้ติดกาย แต่เขาก็ยังคงไม่วางใจอยู่ดี
ตอนแรกที่ยอมให้คนทั้งสองไปหาประสบการณ์ในแดนทุรกันดาร เดิมทีก็ผ่านการใคร่ครวญและตัดสินใจอย่างละเอียดดีแล้วถึงได้กัดฟันยอมอนุญาต ทว่าในใจก็เต็มไปด้วยความกังวลอยู่ตลอดเวลา พอได้รู้ว่าลูกสาวและลูกศิษย์ต่างก็กลับมาอย่างปลอดภัย เขาถึงคลายใจลงได้
แต่นึกไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะกลายมาเป็นแบบนี้ไปเสียอีก
อีกอย่างที่เขาบอกพวกป๋ายหลินไปนั้นก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด อันที่จริงแล้วเป็นเพราะตอนที่จ้าวเทียนเจียวและเฉินเยว่ซานถูกผู้ฝึกวิญญาณของแดนทุรกันดารไล่ฆ่าได้ไปชักนำผนึกบางอย่างเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงได้ทำให้เกิดลำแสงขึ้นมาอีกแปดลำ และภูเขาก็พังถล่ม ขณะเดียวกันทางเข้าเขาวงกตจึงเผยตัวออกมา
ซึ่งนาทีที่ทางเข้าเขาวงกตเผยตัวก็ได้มีแรงดึงดูดที่ดูดเอาทุกคนเข้าไป และในข้อความสุดท้ายที่จ้าวเทียนเจียวส่งมาก็เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและลนลาน ประโยคนั้นของเขาก็คือ
“ที่นี่คือ…เขาวงกตแผ่นดินผี…ยามสนธยาเปิด พระอาทิตย์ขึ้นปิด…”
“เขาวงกต…แผ่นดินผี…” เฉินเห้อเทียนพึมพำ ตอนที่กองทัพใหญ่ของแดนทุรกันดารถอนกำลังออกไป หลายชั่วยามที่เขาหายตัวไปก็เพราะไปดูที่เขาวงกตนั้นด้วยตัวเอง
เขายังถึงขั้นทดลองเข้าไปในเขาวงกตด้วยซ้ำ หลังจากรู้ถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของเขาวงกต เขาเองก็รู้สึกได้ว่าพลังจิตของตนถูกยับยั้งอย่างรวดเร็ว เกรงว่าในเวลาไม่นานพลังจิตของเขาก็จะต้องถูกระงับจนถึงขีดจำกัด เขารู้ดีว่าด้วยกำลังของเขาเพียงคนเดียวยากที่จะตามหาลูกศิษย์และลูกสาวเจอ
ขณะเดียวกัน เขาก็ยังได้เห็นการดำรงอยู่ของบางสิ่งที่น่าหวาดกลัวในเขาวงกตนั้นด้วย…ต่อให้เป็นเขาเองก็ยังตื่นตระหนก ยังดีที่เขาไม่ทันเดินไปไกลเท่าไหร่ก็รีบร้อนกลับมา แต่พอนึกถึงว่าลูกสาวและลูกศิษย์ของตัวเองที่อยู่ที่นั่นอาจตายได้ทุกเมื่อ เฉินเห้อเทียนก็ร้อนรนถึงขีดสุด
นั่นถึงทำให้เขามีข้อตกลงร่วมกับพวกป๋ายหลิน คนที่มีตบะอย่างเขา วิญญาณคนฟ้านั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจเท่าไหร่แล้ว เขาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของลูกสาวและลูกศิษย์ตัวเองมากกว่า ดังนั้นถึงต้องการให้มีคนไปช่วยเขาค้นหาในเขาวงกตแห่งนั้น
หากที่นี่ไม่ใช่กำแพงเมืองแต่เป็นสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ด้วยฐานะของเขา อย่าว่าแต่สามหมื่นคนเลย ต่อให้สามล้านคนก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบาก ทว่ากองทัพใหญ่ทั้งห้าของที่นี่เป็นของศาลาเลือดเหล็ก เป็นของบุรพาจารย์ครึ่งเทพ สำหรับการเฝ้าปกป้องพิทักษ์กำแพงเมืองแล้ว นักพรตสามหมื่นคนก็ถือว่าไม่ใช่จำนวนน้อยๆ และเขาเองก็ไม่สามารถฝืนออกคำสั่ง ทั้งยังร้อนใจอยากให้การช่วยเหลือ จึงถือโอกาสสร้างข้อตกลงขึ้นมาเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์
ยามนี้เบื้องหน้าของเขามีแผ่นหยกอยู่แผ่นหนึ่ง ในแผ่นหยกนี้บันทึกข้อมูลของนักพรตทุกคนในกองทัพใหญ่ทั้งห้าเอาไว้ ไม่ได้บอกแค่ว่าตบะอ่อนด้อยหรือแข็งแกร่ง แม้แต่ความถนัดเชี่ยวชาญของแต่ละคนก็ยังถูกบันทึกไว้ด้วย
ขณะนี้นักพรตคนแล้วคนเล่าของกองทัพใหญ่ทั้งห้ากำลังถูกเฉินเห้อเทียนกวาดตามองเร็วๆ เพื่อเลือกตัวออกมา
นักพรตเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นรวมโอสถ อีกทั้งยังค่อนข้างถนัดในด้านพลังจิต สะดวกต่อการค้นหา และยังมีบางส่วนที่มีความเร็วเหนือกว่าคนทั่วไป
ส่วนก่อกำเนิดแน่นอนว่าต้องมีด้วย ทว่าเฉินเห้อเทียนไม่สามารถเลือกก่อกำเนิดได้มากนัก ดังนั้นจึงได้แต่เลือกเอาคนที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น
ไม่นานหลังจากที่แต่ละชื่อถูกเขาเลือกออกมาจนใกล้จะเต็มจำนวนสามหมื่นคน และเวลานี้เอง พลังจิตของเฉินเห้อเทียนก็ไปตกอยู่บนรายชื่อหนึ่ง
“ป๋ายเสี่ยวฉุน…” เฉินเห้อเทียนครุ่นคิด มองบันทึกเกี่ยวกับป๋ายเสี่ยวฉุน อย่างไรซะป๋ายเสี่ยวฉุนก็เพิ่งเข้าร่วมกองถลกหนังได้ไม่นาน มองดูแล้วเหมือนว่าอยู่มาหลายปี ทว่าสำหรับนักพรตแล้วนี่ยังถือว่าเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก ดังนั้นข้อมูลของเขาจึงมีไม่เยอะ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการแสดงออกของเขาเมื่อสงครามในครั้งแรกๆ ตอนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในกองทัพ
ซึ่งในด้านความเร็วได้มีเครื่องหมายเน้นย้ำไว้อย่างชัดเจน



