Skip to content

A Will Eternal 540

บทที่ 540 ไฟเก้าสี

ในบรรดาผู้ฝึกวิญญาณสามคน สองคนในนั้นทำมุทรา แล้วทันใดนั้นกระบี่บินที่อยู่ข้างกายพวกเขาก็พุ่งฉิวออกมาก่อนจะตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ความเร็วมีมากจนทำให้เกิดเสียงแหวกอากาศดังเป็นระลอก พลังอำนาจน่าตื่นตกใจ

เพราะอย่างไรซะนี่ก็คืออาวุธวิเศษที่ผ่านการหลอมพลังจิตมาถึงหกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีว่ามันแหลมคมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ดวงตาทั้งคู่ของเขาจึงหดตัวน้อยๆ

เวลาเดียวกันนั้น ปากของนักพรตเสมือนกำเนิดก็มีเสียงสาปแช่งซับซ้อนฟังยากดังออกมา สีของไข่มุกวิเศษที่อยู่เหนือศีรษะของเขาพลันเปลี่ยนแปลงไป ทั้งยังมีหมอกสีดำแผ่ซ่าน ก่อนจะกลายร่างเป็นเงามายาของผีร้ายตนหนึ่งที่กางเล็บแสยะเขี้ยวกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างดุร้าย

เห็นได้ชัดว่าคนทั้งสามไม่ได้เพิ่งเคยร่วมมือกันแค่ครั้งสองครั้ง ยามนี้เมื่อลงมือจึงแทบจะปิดผนึกตำแหน่งเบื้องหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ทันที เมื่อเห็นว่ามันเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง

“อาวุธหลอมพลังจิต…พวกเจ้ามี ข้าก็มี!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งที ในถุงเก็บของของเขาก็มีร่มสีดำคันหนึ่งถูกหยิบออกมา!

นั่นก็คือร่มราตรีนิรันดร์

ร่มคันนี้ด้วยตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนในปีนั้นจึงไม่สามารถร่ายอานุภาพสยบทั้งหมดของมันออกมาได้ แต่ตอนนี้เขามีตบะรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว เมื่อนำออกมาใช้อีกครั้ง อาจไม่ถึงขั้นใช้ได้สบายตามใจชอบ ทว่าก็ไม่ฝืนใช้ได้อย่างถูไถเหมือนในปีนั้นอีกแล้ว

วินาทีที่ร่มถูกหยิบออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินพรวดออกไปข้างหน้าแล้วกดคันร่มหนึ่งครั้ง เสียงปุ๊งดังขึ้น นาทีที่กระบี่บินสองเล่มและผีหมอกควันพุ่งมาถึง ร่มราตรีนิรันดร์สีดำนี้ก็เปิดพรึ่บออกทันใด

ชั่วขณะที่ถูกเปิดออกมันก็กลายมาเป็นการคุ้มกันที่ชนเข้ากับกระบี่บินสองเล่ม เสียงดังสนั่นหวั่นไหวสะท้อนไปรอบด้าน กระบี่บินสองเล่มที่ผ่านการหลอมพลังจิตหกครั้งกลับไม่สามารถบินต่อไปได้ ทั้งยังถูกม้วนตลบกลับมา แม้แต่ผีหมอกควันก็ยังร้องโหยหวน ขณะที่คิดจะถอยกลับ บนร่มสีดำคันนี้กลับมีใบหน้าเปื้อนยิ้มที่มองแล้วชวนขนหัวลุกลอยพรวดขึ้นมา

ใบหน้ายิ้มนั้นพลันดูดสวบหนึ่งครั้ง ผีหมอกควันร้องโหยหวนแต่กลับมิอาจถอยหนีได้ พริบตาเดียวก็ถูกดูดเข้ามาอยู่ในร่ม…ทั้งหมดนี้พูดแล้วเหมือนกันช้า แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเกิดขึ้นรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ เมื่อร่มถูกกางออก กระบี่บินก็ลอยตลบกลับไป ผีหมอกควันถูกดูด ขณะเดียวกันผู้ฝึกวิญญาณทั้งสามก็ตื่นตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนมาเป็นน่าเกลียดถึงขีดสุด

โดยเฉพาะผู้ฝึกวิญญาณเสมือนกำเนิดคนนั้นที่เบิกตากว้างจนตาแทบถลนออกมาจากเบ้า พอเขามองเห็นลายเส้นสีเงินแปดเส้นที่อยู่บนร่มราตรีนิรันดร์ ลมหายใจจึงเปลี่ยนมาเป็นถี่กระชั้น ดวงตาเผยความดุร้าย ฉวยโอกาสตอนที่กระบี่บินของสหายม้วนตลบกลับมาและพวกเขาได้รับบาดเจ็บทางจิตวิญญาณยกมือทั้งคู่ขึ้นก่อนจะผลักลงไปบนร่างของคนทั้งสองอย่างแรง

ผู้ฝึกวิญญาณสองคนหน้าเปลี่ยนสี นึกไม่ถึงว่าหัวหน้าของตนจะใจดำได้ถึงเพียงนี้ จะหลบเลี่ยงก็ไม่ทัน ร่างพุ่งดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน เวลาเดียวกันนั้น ผู้ฝึกวิญญาณเสมือนกำเนิดก็ถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็วหมายจะหนีเอาชีวิตรอด

เขามองออกว่านักพรตวัยกลางคนผู้นั้นไม่เพียงแต่มีเรือนกายที่แข็งแกร่ง ตบะไม่ธรรมดา แถมอาวุธของเขายังยิ่งน่าครั่นคร้าม นี่คือหมาป่าเดียวดายตัวหนึ่ง ไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายกล้าเดินทางอยู่เพียงลำพัง เขาไม่กลัวคนอื่นๆ ปลิดชีพเพื่อชิงสมบัติแม้แต่น้อย ทั้งยังทำเหมือนจงใจล่อลวงให้คนอื่นเข้าหาแล้วเป็นฝ่ายสังหารกลับไปด้วยซ้ำ

วินาทีที่คนทั้งสามแตกแยกกันเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหุบร่ม เดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กลายร่างเป็นภาพติดตามาปรากฏอยู่เบื้องหน้าผู้ฝึกวิญญาณสองคนที่ร่ายใช้กระบี่บิน ก่อนจะยกมือขวาขึ้นต่อยลงไปบนหน้าอกของคนทั้งสองสองครั้งติดกันอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

เสียงร้องโหยหวนดังลอยมา ผู้ฝึกวิญญาณสองคนนี้กระอักเลือด ร่างปลิวกระเด็นเหมือนว่าวที่สายป่านขาด ยังไม่ทันร่วงกระทบพื้นร่างของพวกเขาก็สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ก่อนที่ร่างจะซูบตอบแห้งเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด พลังชีวิตทั้งหมดกลายมาเป็นหมอกควันสีขาวที่ลอยออกมาจากรูทวารทั้งเจ็ดของพวกเขา ตรงดิ่งเข้าหาร่มราตรีนิรันดร์ในมือป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วถูกดูดสวบเข้าไปด้านในทันที

ร่มราตรีนิรันดร์กลืนกินพลังชีวิต เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน โดยเฉพาะหลังจากที่ผ่านการหลอมพลังจิตมาแปดครั้ง อานุภาพของร่มคันนี้ก็ยิ่งมากมหาศาล ทว่าการที่ดูดพลังชีวิตทั้งที่อยู่ห่างขนาดนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เพิ่งได้เห็นก็ตกใจมากเหมือนกัน แต่กลับไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อเห็นว่าผู้ฝึกวิญญาณเสมือนกำเนิดคนนั้นจะหนีไป เขาก็รีบไล่ตามไปทันที

ผู้ฝึกวิญญาณเสมือนกำเนิดได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากด้านหลัง แล้วพอหันกลับไปเห็นภาพที่คนทั้งสองถูกสูบพลังชีวิต เขาก็ร้องอุทานเสียงหลง

“เจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกวิญญาณ เจ้าคืออาจารย์หลอมวิญญาณ!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงันไปเล็กน้อย แสร้งทำเป็นแค่นเสียงเย็น ระเบิดความเร็วขึ้นอีกหลายเท่าตัวจนใกล้จะตามทัน ผู้ฝึกวิญญาณเสมือนกำเนิดคนนี้ร้องคร่ำครวญอยู่ในใจไม่หยุด ต่อให้เขามีตบะเป็นเสมือนกำเนิด แต่พอได้เห็นพลังในการต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุนกับตาตัวเอง เขาก็รู้ดีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย เมื่อวิกฤตความตายมาเยือน เขาจึงรีบร้องตะโกนเสียงดังทันที

“ไต้เท้าอย่าเพิ่งวู่วาม ข้ายินดีเป็นผู้ติดตามของไต้เท้า!!”

“ในเขาวงกตแห่งนี้ ไต้เท้าเดินทางเพียงลำพังก็สู้มีคนติดตามไม่ได้หรอกนะ…” ผู้ฝึกวิญญาณเสมือนกำเนิดเอ่ยปากอย่างร้อนรน ตอนที่คำพูดเขาดังเข้าหูของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หน้ากระตุกเล็กน้อย รู้สึกว่าคนผู้นี้พูดจามีเหตุผล หากตนอยู่เพียงลำพังคงยังต้องเจอเรื่องทำนองนี้อีก แล้วพอสู้กันขึ้นมา หากไม่ทันระวังเปิดเผยเวทลับอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเข้าจะลำบากเอาได้

ถ้ามีคนอยู่ข้างกายก็สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องจุกจิกไปได้ไม่น้อย…คิดมาถึงตรงนี้ มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงยกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง กำลังมหาศาลระลอกหนึ่งระเบิดออก ก่อนจะพุ่งเข้าไปตกอยู่บนร่างของผู้ฝึกวิญญาณเสมือนกำเนิด

มุมปากของผู้ฝึกวิญญาณคนนี้มีเลือดไหลซึม ดวงตาเปล่งแสงวาบแล้วกัดฟันกรอดหนึ่งครั้ง ไม่หนีอีกต่อไป แต่หยุดอยู่ตรงนั้นแล้วหมุนตัวกลับมาคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างนอบน้อม

“เฉินเจวี๋ยยินดีติดตามไต้เท้า!”

หลังจากมองเฉินเจวี๋ยอยู่หลายทีโดยไม่เอ่ยคำใด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยกมือขวาขึ้นชี้กลางหว่างคิ้วของเฉินเจวี๋ยแล้วส่งไอความเย็นเสี้ยวหนึ่งเข้าไปรัดพันหัวใจของเฉินเจวี๋ยเอาไว้

แค่ความคิดของเขาบังเกิดก็สามารถทำให้ไอความเย็นนี้ระเบิดออกทำลายหัวใจของเฉินเจวี๋ยให้ย่อยยับได้ในชั่วพริบตา

เฉินเจวี๋ยตัวสั่นเยือก ไม่กล้าหลบเลี่ยง หลังจากปล่อยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนทิ้งพันธนาการไว้ในร่างตัวเองเรียบร้อย เขาถึงได้คลายใจลงได้ รู้ว่าตอนนี้ตนรักษาชีวิตไว้ได้ชั่วคราวแล้ว แต่พอสัมผัสได้ถึงไอความเย็นที่ไหลเวียนอยู่รอบหัวใจ ในใจเขาก็ขมขื่นขึ้นมาอีกครั้ง

“ไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนจงใจกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ก่อนจะเดินนำหน้าไป

เฉินเจวี๋ยรีบรับคำว่าขอรับ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าแล้วตามมาคุ้มกันอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน เขารู้ดีว่าหากตนอยากมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับอาจารย์หลอมวิญญาณผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้ หวังเพียงว่าเมื่อตนพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ตอนที่ไปจากที่นี่ อีกฝ่ายจะยอมปล่อยตัวเองไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองดูเหมือนสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าในความเป็นจริงเขาก็แอบกวาดตามองเฉินเจวี๋ยอยู่เหมือนกัน ในใจเขาลำพองใจอย่างมาก ครุ่นคิดว่าตัวเองช่างฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก เดินไปที่ไหนก็ต้องมีคนก้มหัวคารวะ ร่ำร้องว่าต้องการเป็นผู้ติดตามของตน จะไม่ยินยอมก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าหากอีกฝ่ายรู้ว่าตนคือป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีสีหน้าเช่นไร

ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจ ตัดสินใจแล้วว่าคราวนี้ตนต้องแสร้งปลอมตัวเป็นคนพูดน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้พลังแห่งการสยบใจคนจะได้ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

“อีกอย่างที่เจ้าเฉินเจวี๋ยผู้นี้พูดก็มีเหตุผลมาก ยิ่งข้างกายข้ามีผู้ฝึกวิญญาณเยอะเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น…” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกอยู่ในภวังค์แห่งการครุ่นคิด ห้อตะบึงไปข้างหน้าพร้อมเฉินเจวี๋ย

ในเขาวงกตแห่งนี้ไม่ว่าสถานที่ใดก็ล้วนเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ทำให้คนแยกแยะไม่ออก แล้วก็ยากที่จะทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้ ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งมองยิ่งเวียนหัว ขณะที่กำลังกลัดกลุ้มก็พลันเกิดบังเกิดความคิดดีๆ จึงถือโอกาสแบ่งสมาธิส่วนหนึ่งไว้บนกำแพงฝั่งขวาแล้วเดินตามกำแพงฝั่งขวาไปตลอดทาง พอเจอกับทางแยกก็เลือกเลี้ยวขวาอีก

ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วสามวัน สามวันมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนและเฉินเจวี๋ยเจอกับคนของแดนทุรกันดารและนักพรตของกำแพงเมืองอีกไม่น้อย และป๋ายเสี่ยวฉุนก็พบว่าคนเหล่านี้มีบางส่วนที่ใช้วิธีเดียวกับตนนั่นคือเลือกเดินตามทิศทางใดทิศทางหนึ่ง

หลังจากที่ทุกคนปะหน้ากันก็จะรีบหลีกห่างทันที เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้มีการปะทะเกิดขึ้น ต่อให้เจอกับผู้ฝึกวิญญาณจำนวนมากของแดนทุรกันดาร หลังจากที่มองเห็นท่าทีที่เฉินเจวี๋ยมีต่อป๋ายเสี่ยวฉุน โดยเฉพาะหลังจากที่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบเอาร่มราตรีนิรันดร์ออกมาแล้วบนร่มนั้นมีเส้นสีเงินถึงแปดเส้น ทุกคนต่างก็ใจสั่น พอจะเดาได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนน่าจะเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณ ทุกคนจึงยิ่งไม่อยากมีเรื่องด้วย

และก็เป็นเช่นนี้ ตลอดเวลาทั้งสามวันมีเรื่องให้ตกใจแต่ไม่มีอันตรายใดๆ จนกระทั่งวันที่สี่มาถึง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังเดินไปข้างหน้าพลันชะงักฝีเท้า มองไปเบื้องหน้าด้วยดวงตาที่ฉายแสงคมกริบ

“เบื้องหน้าผิดปกติ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เฉินเจวี๋อึ้งงัน รีบหันไปมองทันที ทว่าเส้นทางของเขาวงกตที่อยู่ด้านหน้ากลับไม่มีอะไรที่น่าแปลกใจตรงไหน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มองไม่เห็นอะไรเหมือนกัน แต่หลังจากผ่านศึกเทือกเขาลั่วเฉินในปีนั้น เขาก็พบแล้วว่าตนมีความรู้สึกที่เฉียบไวต่อความอันตรายมากเป็นพิเศษ แถมยังไม่เคยพลาดแม้แต่ครั้งเดียว

เวลานี้ในความรู้สึกของเขา พื้นที่เบื้องหน้าซึ่งมองดูเหมือนเป็นปกติกลับซุกซ่อนไอสังหารเอาไว้ ไม่ได้หยุดชะงักอยู่นานเท่าใดนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบถอยกรูดออกห่างทันใด ส่วนเฉินเจวี๋ยที่ถึงแม้จะไม่เข้าใจแต่กลับไม่กล้าไม่ทำตาม จึงถอยหลังตามไปติดๆ

ทว่าวินาทีที่คนทั้งสองถอยหลังออกไปนั้น เสียงหัวเราะเย็นเยียบพลันดังออกมาจากพื้นที่ที่มองดูเหมือนปกติแห่งนั้น และพริบตาเดียวก็มีลูกคลื่นเหมือนผิวน้ำที่กระเพื่อมไหวปรากฏออกมา ก่อนที่เงาร่างมากมายจะพุ่งออกมาจากกลางลูกคลื่นที่กระเพื่อมอย่างรวดเร็ว

ซึ่งเงาร่างเหล่านั้นมีมากนับสิบกว่าคน!

แต่ละคนต่างก็มีตบะไม่ธรรมดา หลังจากปรากฏตัวก็ตรงเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนทันที

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งไอสังหาร ขณะที่หมุนกายก็พลันยกมือขวาขึ้น ร่มราตรีนิรันดร์ปรากฏตัวทันที ลายเส้นสีเงินส่องแสงจ้าบาดตา ทั้งยังมีใบหน้ายิ้มแย้มพิลึกพิลั่นลอยผลุบๆ โผล่ๆ ขณะที่กำลังจะเปิดศึกกัน ทันใดนั้นในลูกคลื่นก็มีเสียงหนึ่งดังออกมา

“อย่าเสียมารยาท!”

เมื่อเสียงนั้นดังจบ พวกผู้ฝึกวิญญาณที่ทำท่าจะกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันชะงักฝีเท้า

เวลาเดียวกันนั้น ในลูกคลื่นก็มีคนผู้หนึ่งเดินออกมา นี่คือชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีสีหน้ามืดทะมึน บนร่างสวมชุดคลุมยาวหรูหรา กลางหว่างคิ้วมีรอยแผลเป็นรูปดาวกะพริบพราว และเขาก็คือโจวอีซิง!

คลื่นพลังจิตวิญญาณที่แกร่งกร้าวระลอกหนึ่งตลบอบอวลไปทั่วกายของเขา พลังจิตวิญญาณนี้ไม่เหมือนกับพลังจิตวิญญาณของผู้ฝึกวิญญาณ ลึกล้ำยิ่งกว่า ขณะเดียวกันก็แฝงเร้นไว้ด้วยความรู้สึกกดดันบางอย่าง แค่มองปราดเดียวก็แยกแยะได้

โดยเฉพาะในมือของเขายังมีกลุ่มไฟสลัวรางอยู่กลุ่มหนึ่ง

ไฟนี้มีหลากสี เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นว่ามีถึงเก้าสี ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่มองปราดเดียวก็ใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง เขามองออกทันทีว่าไฟนี้…ก็คือ…

ไฟเก้าสี!!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!