Skip to content

A Will Eternal 552

บทที่ 552 สถานที่ประลอง

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สนหรอกว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์จะต้องการให้ตนทำเช่นไร เขารู้สึกแค่ว่าหากเขาเชื่อฟังนางโดยยอมยืนรออยู่ตรงนั้นอย่างว่าง่ายจริงๆ ตัวเขานั่นแหละที่ปัญญาอ่อน

“คิดว่าข้าโง่หรือไง ข้าไม่รออยู่ตรงนั้นอย่างที่เจ้าบอกหรอก” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระวนกระวาย หัวใจเต้นกระหน่ำไม่หยุด พลันรู้สึกอีกว่าเด็กหญิงนั่นประหลาดพิกล ทำไมอีกฝ่ายถึงได้มั่นใจนักว่าตนต้องฟังนาง…

“หรือว่าจะเป็นกลลวงของนาง ไม่สนแล้ว อย่างไรซะข้าก็ไม่อยู่ที่นี่หรอก” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดหนักด้วยอาการหวาดผวาอยู่พักหนึ่งเพราะไม่แน่ใจในความคิดของเด็กหญิง ยามนี้กำลังห้อตะบึงออกไป ใช้วิธีการโง่เง่าแบบเดิมเพื่อตามหาทางออก

หลายวันผ่านไป ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เห็นใครแม้แต่เงา หรือแม้แต่เรื่องแปลกประหลาดพวกนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นอีก แต่เมื่อเร่งความเร็วสูงสุดโดยที่ไม่มีสิ่งใดมารบกวน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค่อยๆ ค้นพบว่าเส้นทางในแผ่นหยกของเขาเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แถมเส้นทางเหล่านี้ก็ชัดเจนและแม่นยำอย่างมาก มันคือภาพที่ป๋ายเสี่ยวฉุนวาดขึ้นโดยอิงจากการวัดจังหวะฝีเท้าของตัวเอง มาจนถึงท้ายที่สุด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หยุดก้าวเดิน ถือแผ่นหยกอยู่ในมือด้วยอาการครุ่นคิด

เขามองไปรอบด้าน แล้วก็หันมามองแผ่นหยกอีกครั้ง ต่อให้แยกแยะไม่ออกว่าตัวเองเคยผ่านที่แห่งนี้มาก่อนหรือไม่ ทว่าเมื่อมองจากแผ่นหยกนั้นสถานที่แห่งนี้…เขาเคยผ่านไปก่อนแล้ว

“เป็นวงเวียนปิดตายจริงๆ ด้วย…ในเขาวงกตน่าจะเกิดจากการเอาวงเวียนปิดตายหลายๆ วงมารวมกัน เพราะว่าเขาวงกตนี้ใหญ่เกินไป ดังนั้นขอบเขตของวงเวียนนี้จึงไม่ใช่เล็กๆ…”

“และข้าก็นึกว่าข้าเดินไปตามกำแพงฝั่งขวา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ช่องทางอื่นๆ ก็คือฝั่งซ้ายของข้า…ซ้ายกับขวาคือกำแพงฝั่งเดียวกัน”

“ถ้าเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สองอย่าง หากในเขาวงกตแห่งนี้มีวงเวียนอยู่ร้อยวง ถ้าเช่นนั้นเก้าสิบเก้าวงคือวงเวียนปิดตายที่ทำให้ต้องเดินวนกลับมาที่เดิม แต่ว่ามันต้องมีทางออกอยู่อย่างแน่นอน!”

“ความเป็นไปได้ข้อที่สองก็คือทางออกไม่ได้อยู่ในวงเวียนใดวงเวียนหนึ่ง…แต่อยู่อีกที่หนึ่ง” ป๋ายเสี่ยวฉุนนวดคลึงหว่างคิ้ว ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง เขาอยู่ในเขาวงกตแห่งนี้มานานมากแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ จะหาทางออกเจอหรือยัง แม้ว่าเขาวงกตแห่งนี้จะกว้างใหญ่และซับซ้อน แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าในบรรดานักพรตมากมายมีคนฉลาดอยู่ไม่น้อย ตนคิดไม่ออกไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะคิดไม่ได้

ขณะที่กำลังครุ่นคิด ป๋ายเสี่ยวฉุนมองแผ่นหยกที่ถืออยู่ในมือ หลังจากที่หาช่องทางฝั่งซ้ายแห่งหนึ่งเจอเขาก็ทำเครื่องหมายต่อ หากพบว่ากำลังจะย้อนกลับมายังเส้นทางที่เคยทำเครื่องหมายเอาไว้ เขาก็จะหันกลับแล้วเลือกเส้นทางใหม่เพื่อเดินไปทางฝั่งซ้ายต่อทันที

“ข้าต้องหาจุดเชื่อมต่อของวงเวียนตายนี้กับวงเวียนอีกวงหนึ่ง…มันต้องมีอยู่อย่างแน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแล้วเริ่มค้นหาต่อไป

“วิธีนี้ของข้าจะหาทางออกเจอได้หรือไม่นั้นก็ยังไม่แน่ แต่ขอแค่ไม่มีใครมารบกวนข้า ถ้าอย่างนั้นก็แน่ใจได้ว่าข้าต้องไม่หลงทาง แล้วก็ต้องทำได้แน่ๆ!”

หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าตาเหนื่อยล้า เขาไม่เพียงแต่หาวงเวียนอันต่อมาไม่เจอ แถมเดินวนมารอบหนึ่งแล้วเขาก็ดันพบนั่นก็คือวงเวียนตายเหมือนกัน แตไม่ล้มเลิกความคิด ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงตามหาต่อไป

เมื่อเวลาผันผ่านก็คล้ายว่าโชคร้ายได้เริ่มผ่านไปอย่างช้าๆ และโชคดีก็มาเยือนอย่างต่อเนื่อง

หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ในแผ่นหยกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถืออยู่เต็มไปด้วยเส้นทางจำนวนนับไม่ถ้วนแน่นขนัด ความตั้งใจทั้งหมดของเขาล้วนจมจ่อมอยู่กับเส้นทางพวกนี้ และในที่สุดวันนี้ฝีเท้าของเขาก็พลันหยุดชะงัก เพราะมองเห็นว่าปลายทางเบื้องหน้ามีลานกว้างอยู่แห่งหนึ่ง!

ลานกว้างนี้ไม่มีเทียนสีขาว แถมยังใหญ่กว่าลานกว้างที่มีหมั่นโถวเลือดวางไว้หลายเท่าตัว ซึ่งตรงกลางมีแท่นบูชาลักษณะเป็นขั้นบันไดอยู่แห่งหนึ่ง และบนแท่นบูชานั้นก็มีประตูแสงขนาดใหญ่ยักษ์อยู่หนึ่งบาน

วินาทีที่มองเห็นประตูบานนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เกิดความฮึกเหิม ลมหายใจของเขาเปลี่ยนมาเป็นรัวเร็ว ร่างสั่นเทิ้ม ปิติยินดีอย่างถึงที่สุด

“ในที่สุด…ในที่สุดก็หาเจอแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจลึกๆ ติดต่อกันหลายครั้ง ข่มกลั้นอารมณ์ตื่นเต้นของตัวเองเอาไว้ ไม่ได้พุ่งออกไปทันที แต่สังเกตการณ์รอบด้านอย่างละเอียด จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าที่นี่ปลอดภัยจริงๆ เขาถึงได้เดินออกไปช้าๆ ทีละก้าว เมื่อเขาเดินมาถึงปลายทางของทางเส้นนี้ เดินเข้าไปในลานกว้าง ป๋ายเสี่ยวฉุนมองประตูแสงบนแท่นบูชาก็อดหัวเราะร่าขึ้นมาไม่ได้

“เขาวงกตเฮงซวยอะไร ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ดีดนิ้วก็สิ้นราบพนาสูรไปทันที แค่ใช้สมองนิดหน่อยก็สามารถหาทางออกเจอได้อย่างง่ายดาย” ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจ ขยับร่างบินไปยังแท่นบูชา ก่อนจะก้าวเข้าไปในประตูแสงแห่งนั้น

วินาทีที่สัมผัสเข้ากับประตูแสง ร่างของเขาก็หายวับไปอย่างเงียบเชียบ

เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนพร่าลาย เมื่อทุกอย่างชัดเจนขึ้นอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หันขวับไปมองรอบด้านอย่างระมัดระวัง การมองครั้งนี้ทำให้เขาตัวสั่นเยือก ลมหายใจที่กำลังสูดเข้าชะงักค้างอย่างห้ามไม่ได้

ที่นี่ไม่ใช่โลกที่มีฟ้าดิน แต่เป็นเหมือนภาพมายาที่รอบด้านมีเพียงความว่างเปล่าไร้ขอบเขต มีแสงดาวเกาะกลุ่มกันมากมายนับไม่ถ้วน กลุ่มแสงที่เกิดจากแสงดาวหลายดวงนั้นแน่นขนัดแผ่กระจายไปแปดทิศ มีมากพอนับพันดวง และแสงดาวแต่ละดวงก็มีเงาร่างหนึ่งอยู่ด้านใน มีทั้งนักพรต มีทั้งผู้ฝึกวิญญาณ แม้แต่ชนพื้นเมืองก็ยังมี คนเหล่านี้ล้วนนั่งขัดสมาธิอยู่ในลูกแสง ปิดตาลง สีหน้าแปรเปลี่ยนต่อเนื่อง หากไม่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก็ปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง ท่าทางมากมายนับร้อยรูปแบบล้วนปรากฏออกมาหมด

เงาร่างที่อยู่ในนี้มีหลายคนที่พอมองไปป๋ายเสี่ยวฉุนก็พบว่าคุ้นตา หลังจากมองวิเคราะห์อย่างละเอียดป๋ายเสี่ยวฉุนก็จำได้ว่าคนเหล่านี้ก็คือพวกคนของฝ่ายกำแพงเมืองและฝ่ายแดนทุรกันดารที่เข้ามาในเขาวงกตแห่งนี้

“ก่อนหน้าข้ากลับมีคนเข้ามาในนี้พันกว่าคนเชียวหรือนี่” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไล่ไปทีละลูกเขาก็เจอเฉินเห้อเทียน แม้แต่จ้าวเทียนเจียวและเฉินเยว่ซานก็อยู่ในนั้นด้วย

และในบรรดาคนของทางฝั่งแดนทุรกันดาร

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองปราดเดียวก็เห็นเรือนกายที่สวมชุดกระโปรงยาวสีแดง…หงเฉินหนวี่!

หงเฉินหนวี่ผู้นี้สะดุดตาเกินไป ระดับความพร่างพราวของลูกแสงที่นางอยู่แทบจะเรียกได้ว่าเจิดจ้าที่สุดในบรรดาทุกคน

ความใหญ่ข่องแสงดาวนาง ต่อให้เอาลูกแสงอื่นมารวมกันเป็นร้อยๆ ดวงก็ยังแทบจะเทียบกับนางไม่ได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองประเมินไปทั่วก็ค้นพบว่ารอบด้านของตัวเองก็มีแสงดาวอยู่เช่นกัน แค่มองปราดเดียวเขาก็เข้าใจว่าตำแหน่งที่ตัวเองอยู่ก็คือแสงดาวลูกหนึ่ง และมันกำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ามากหมู่ดาวเช่นเดียวกับลูกแสงหนึ่งพันกว่าลูกนั้น

และจุดศูนย์กลางของลูกแสงหนึ่งพันกว่าลูกนี้…มีป้ายศิลาขนาดใหญ่ยักษ์…ที่ต่อให้จะอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ก็ยังคงสะท้านสะเทือนฟ้าดิน…เขย่าคลอนจิตวิญญาณผู้คน!

ป้ายศิลานี้ใหญ่มากเกินไปจนป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สามารถคะเนได้ว่ามันมีขนาดเท่าใด มองดูแล้วเหมือนไร้ที่สิ้นสุด ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า…ด้านบนนั้นมีตัวอักษรที่คล้ายจะเขียนกติกาของการประลองเอาไว้ ลูกแสงทั้งหมดล้วนล้อมวนอยู่รอบป้ายศิลานั่น เมื่อมองอย่างละเอียดยังสามารถค้นพบได้ว่าไม่ว่าจะลูกแสงใดๆ ก็ล้วนมีเส้นใยบางๆ เส้น หนึ่งที่เชื่อมต่อกับป้ายศิลานี้เอาไว้!

จิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะท้าน นี่คือป้ายศิลาที่สองที่เขาได้เห็น นอกเขาวงกตยังมีอีกป้ายหนึ่งที่เขียนบอกไว้ว่าผู้ที่เดินออกจากเขาวงกต

ผ่านการประลองเป็นคนแรก จะได้รับวิญญาณคนฟ้า

แต่ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าตัวเองเดินออกมาจากเขาวงกตแล้ว และเห็นได้ชัดว่าที่นี่…ก็คือสถานที่แห่งการประลอง

ท่ามกลางการประลองนี้ หากได้อันดับหนึ่ง เขาก็จะได้รับวิญญาณคนฟ้า

“แม้ว่าวิญญาณคนฟ้าจะดี แต่ชีวิตน้อยๆ สำคัญยิ่งกว่า ที่นี่มองดูเหมือนว่าจะปลอดภัย ถ้าอย่างนั้นข้าก็รออยู่ที่่นี่จนกว่าจะมีคนเอาวิญญาณคนฟ้าไปได้ แค่นี้ข้าก็ได้ออกไปแล้วกระมัง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รีบยื่นมือออกไปแตะแสงดาวที่อยู่ข้างกาย อยากรู้ว่าตนจะออกไปได้หรือไม่ แล้ว เขาก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่าลูกแสงนั้นเหมือนเป็นเยื่อบุที่กางกั้น ไม่ว่าเขาจะออกแรงแค่ไหนก็มิอาจออกไปข้างนอกได้

ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงระคนดีใจขึ้นมาทันที

“เหมือนที่ข้าวิเคราะห์เอาไว้เลย แบบนี้ก็ดีเลยน่ะสิ ฮ่าๆ ข้าออกไปไม่ได้ คนอื่นก็ออกไม่ได้ แน่นอนว่าย่อมเข้ามาไม่ได้อยู่แล้ว แบบนี้ดีจังเลย ทุกคนต่างก็อยู่ที่่นี่กันอย่างปลอดภัยหายห่วง” ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจ รู้สึกว่าสถานที่การประลองนี้ยุติธรรมไม่น้อย แถมยังจัดการได้รอบคอบมากด้วย

ขณะที่กำลังปิติยินดี ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นว่าห่างไปไกลมีแสงดาววาบขึ้นอีกครั้ง หลังจากก่อตัวเป็นลูกแสงแล้วก็ปรากฏเงาร่างของคนที่อยู่ด้านใน แรกเริ่มร่างนี้เลือนรางเล็กน้อย แต่ก็เปลี่ยนมาเป็นชัดเจนอย่างรวดเร็ว

“โจวอีซิง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงันไปครู่ เพราะนักพรตที่ปรากฏตัวในลูกแสงนั้นก็คือโจวอีซิง เวลานี้สีหน้าของเขายังแฝงไว้ด้วยความตื่นเต้นคล้ายดีใจอย่างมากที่ตัวเองหาทางออกเจอ ท่าทีไม่ต่างจากป๋ายเสี่ยวฉุนตอนที่เพิ่งมาถึงที่นี่ เขาเองก็มองประเมินไปรอบด้านอย่างรวดเร็วเหมือนกัน ตกตะลึงไปกับป้ายศิลานั้นเป็นอันดับแรก แล้วก็สะท้านไปกับจำนวนของคนที่อยู่รอบด้าน

สุดท้าย…หันมาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน

คนทั้งสองห่างกันไกลมาก หลังจากที่ประสานสายตากัน โจวอีซิงก็เบิกตากว้างเท่าไข่ห่าน

ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ ก็ไม่รู้ว่าคำพูดของตัวเองอีกฝ่ายจะได้ยินหรือไม่ แต่คิดแล้วก็รู้สึกว่าโจวอีซิงผู้นี้ช่างดวงแข็งยิ่งนัก ไม่เพียงแต่ไม่ตาย แถมยังหาทางออกเจออีกด้วย ไม่เสียแรงที่เป็นดาวนำโชคของตน ดังนั้นจึงยกมือขึ้นโบกเป็นการทักทาย

หนังหน้าของโจวอีซิงกระตุกอย่างรุนแรง

เขาจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง กัดฟันกรอดๆ เสร็จก็ถอนสายตากลับไป ไม่สนใจเขาอีก โจวอีซิงกังวลว่าหากตัวเองยังมองต่อไป ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดเรื่องซวยอะไรขึ้นมาอีกก็ได้…

เห็นว่าโจวอีซิงไม่สนใจตน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระแอมหนึ่งครั้ง ลูบจมูกเก้อๆ รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย

“คนพวกนี้ช้ากันจริง ก็แค่การประลองไม่ใช่หรือ รีบทำให้มันเสร็จๆ ไปสักทีสิ” ป๋ายเสี่ยวฉุนหาวหวอด สายตากวาดไปยังป้ายศิลาหมายจะดูว่าการประลองนี้คือเรื่องอะไรกันแน่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!