บทที่ 555 ขีดสุด
ยี่สิบเอ็ดครั้ง!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวก้องกังวานอยู่ในห้องลับแห่งนี้ ตลอดทั้งห้องลับสั่นคลอน รอบด้านถึงกับเกิดรอยปริแตก มีเพียงแท่นหินสามแท่นที่ยังอยู่ดี
ป๋ายเสี่ยวฉุนคว้าจับกิ่งไม้กิ่งหนึ่งเอาไว้ด้วยสีหน้าซีดขาว มองลายเส้นสีทองสิบเส้น บนต้นไม้ใหญ่ที่เริ่มทับซ้อนกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนกลั้นหายใจ จ้องมองตาไม่กะพริบ มองอย่างตั้งใจว่าต้นไม้ใหญ่ที่หลังจากผ่านการหลอมพลังจิตยี่สิบเอ็ดครั้งนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงแบบใดเกิดขึ้น โอกาสแบบนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเชื่อว่าหากตนอยู่ข้างนอกก็คงยากจะได้เห็น มีเพียงอยู่ที่นี่เท่านั้นจึงจะประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งของการหลอมพลังจิตได้อย่างชัดเจน เสียงตูมตามดังไม่ขาดระยะ อีกทั้งบัดนี้สิ่งที่สั่นสะเทือนไม่ได้มีเพียงต้นไม้ใหญ่เท่านั้น แม้แต่ป้ายศิลาใหญ่มหึมาด้านนอกก็ยังสั่นไหวน้อยๆ ตามไปด้วย
หลังจากที่ขั้นตอนนี้ดำเนินไปได้สิบกว่าชั่วลมหายใจ (เคยมีผู้อ่านถามว่าชั่วลมหายใจคือเวลานานแค่ไหน การหายใจเข้าและหายใจออกหนึ่งครั้ง ก็คือหนึ่งชั่วลมหายใจค่ะ)
ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเบิกตากว้าง เขามองเห็นว่าลายเส้นสีทองสิบเส้นบนต้นไม้ที่พอทับซ้อนเข้าด้วยกันก็กลายมาเป็น…สีม่วง!
ถึงท้ายที่สุดก็กลายมาเป็นลายเส้นสีม่วงหนึ่งเส้น!
วินาทีที่ลายเส้นสีม่วงนี้ปรากฏขึ้น ต้นไม้ใหญ่ไม่ได้เติบโตต่อไป แต่เมื่ออยู่ภายใต้แสงสีม่วงเจิดจ้า มันกลับค่อยๆ แผ่ขยายพลังชีวิตออกมา และบนลำต้นหนาใหญ่ของมันก็ค่อยๆ มีใบหน้าหนึ่งปรากฏขึ้น ใบหน้านี้เหมือนผ่านกาลเวลามาอย่างโชกโชน ทว่าพอลืมตาขึ้น ประกายแสงในดวงตากลับเหมือนเด็กทารกที่เพิ่งลืมตาดูโลก สายตาที่แฝงไว้ด้วยความมึนงง แฝงไว้ด้วยความใคร่รู้กวาดมองไปรอบด้าน ปราณคนฟ้าบนร่างของมันหายไปแล้ว แทนที่มาด้วยพลานุภาพสยบระลอกหนึ่งที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าคนฟ้า เพียงแตว่าพลานุภาพสยบนี้ถูกระงับเอาไว้ ไม่ได้แผ่ออกมา ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหากมันแผ่ออกมาเมื่อใด เกรงว่าฟ้าดินคงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนหนังหัวจะระเบิด ในสมองมีเสียงดังอื้ออึงไม่หยุด เมื่อรับสัมผัสถึงตราประทับของตัวเองอย่างระมัดระวังแล้ว พบว่ามันยังอยู่ เขาถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมา ตราประทับของเขาเหมือนเกิดขึ้นมาพร้อมกับต้นไม้ใหญ่นี้เมื่อนานมาแล้ว ต่อให้ผ่านการหลอมพลังจิตยี่สิ่บเอ็ดครั้งก็ยังคงอยู่ดังเดิม
“หลอมสิบครั้ง ใบไม้กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ หลอมยี่สิบครั้ง ต้นไม้ใหญ่…กลายมามีวิญญาณ นี่คืออะไร? วิญญาณต้นไม้? วิญญาณไม้?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลายหนึ่งอึก หน้าผากผุดพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อ มองต้นไม้ใหญ่อยู่พักหนึ่ง หลังจากพบว่าใบหน้าบนต้นไม้ยังคงเหม่อลอย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กัดฟันกรอด
“ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม แต่มันมีตราประทับของข้าแล้ว แค่ยี่สิ่บเอ็ดครั้งก็ฝืนชะตาฟ้าได้ขนาดนี้ แล้วถ้าสามสิบครั้งล่ะ จะเป็นอย่างไร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็เกิดความคาดหวังต่อการหลอมพลังจิตสามสิบครั้งอย่างมิอาจบรรยายได้
ดังนั้นสายตาจึงกวาดไปมองแท่นหิน ก่อนจะพกพาเอาความดึงดัน ความบ้าคลั่งดังเวลาที่หลอมยามาใช้หลอมพลังจิตอีกครั้ง
ยี่สิบสองครั้ง!
หลังจากครั้งที่ยี่สิ่บเป็นต้นไป การหลอมพลังจิตทุกครั้งล้วนสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เสียงดังกึกก้องไปแปดทิศ ห้องลับพังถล่มลงมานานแล้ว
การสั่นสะเทือนของต้นไม้ใหญ่ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ดวงตาบนใบหน้าเริ่มเผยให้เห็นถึงความล้ำลึก ทั้งยังฉายความมีสติปัญญา ราวกับว่ามีกาลเวลาอันไร้ที่สิ้นสุดไหลรินมาสู่ร่างของมันอย่างต่อเนื่อง
ฟ้าดินสะเทือนเลือนลั่น แม้แต่ป้ายศิลาด้านนอกก็ไม่ได้สั่นไหวเบาๆ อีกต่อไป แตสั่นคลอนอย่างรุนแรง ราวกับว่าต่อให้เป็นมันเองก็ยังมิอาจทนรับการหลอมพลังจิตจากป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ข้างในได้!
ส่วนลูกแสงของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ข้างนอกบัดนี้แสงก็สว่างโชติช่วงไปหมื่นจั้ง แซงหน้าหงเฉินหนวี่ กลายมาเป็นลูกแสงหนึ่งเดียวที่พร่างพราวมากที่สุดในบรรดาลูกแสงนับพัน!
ภาพนี้ทำให้โจวอีซิงสิ้นหวัง โดยเฉพาะหลังจากที่เขาคำนวณเวลาดูแล้ว ความสิ้นหวังนั้นก็ยิ่งลึกซึ้งถึงแก่น
“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้คือปีศาจจำแลงมาชัดๆ…ชีวิตนี้ของข้าขออย่าได้เจอะได้เจอเขาอีกเลย”
การโจมตีที่โจวอีซิงได้รับรุนแรงจนทำให้เขาเกือบหมดอาลัยตายอยาก
ท่ามกลางการสั่นสะเทือนของป้ายศิลา ภายใต้การหลอมพลังจิตอย่างบ้าคลั่งของป๋ายเสี่ยวฉุน ในบรรดาลูกแสงพันกว่าลูกรอบด้านก็ได้มีคนถูกบีบให้ต้องสิ้นสุดกลางประลองไปกลางคัน ราวกับว่าพลังของป้ายศิลานี้เหลือไม่มากพอให้ทุกคนทำการประลองได้อีกแล้ว มันจำเป็นต้องตัดคนบางส่วนที่เป็นรองออกไปเพื่อใช้พละกำลังมากกว่าเดิมมาค้ำประคองการหลอมพลังจิตของป๋ายเสี่ยวฉุน
“เกิดอะไรขึ้น!”
“ทำไมอยู่ๆ ข้าถึงหลุดออกมา การประลองของข้ายังไม่สิ้นสุดเลยนะ!”
“สวรรค์ ป้ายศิลานี้…ทำไมถึงได้สั่นอย่างนั้น นั่นคืออะไร นั่นคือใคร…แสงของเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว!!”
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!”
พวกคนที่ตื่นขึ้นมาแสดงสีหน้าฉงนก่อนเป็นอันดับแรก ทว่าภายหลังพอเห็นสถานการณ์รอบด้านอย่างชัดเจนแล้วทุกคนก็ร้องอุทานเสียงหลง เสียงฮือฮาแตกตื่นดังเอ็ดอึงขึ้นมาทันที
การสั่นสะเทือนของป้ายศิลายังคงดำรงอยู่ดังเดิม ต่อให้การประลองของคนจำนวนไม่น้อยจะหยุดชะงักลงกลางคัน ทว่าการสั่นของป้ายศิลากลับยังคงรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นบ้าไปแล้ว การหลอมพลังจิตของเขาดำเนินไปอีกครั้งโดยแทบไม่ได้หยุดพัก
ยี่สิบสามครั้ง!
วินาทีที่ลายเส้นสีม่วงสามเส้นนั้นปรากฏขึ้น ป้ายศิลาหินก็ส่งเสียงดังกัมปนาท จำต้องตัดการประลองของคนอีกหลายร้อยคนออกไปอีกครั้ง และดูเหมือนว่าจะยังไม่พอ จึงต้อง…ตัดการประลองทุกคนทิ้งไปหมด ยกเว้นเพียงหงเฉินหนวี่และป๋ายเสี่ยวฉุนสองคนเท่านั้น!
ไม่ว่าคนอื่นๆ จะประลองไปได้ถึงระดับไหนก็ล้วนถูกป้ายศิลานี้ตัดทิ้งไปกลางคัน เมื่อเป็นเช่นนี้ คนพันกว่าคนจึงตกใจตื่นขึ้นมาพร้อมกัน ก่อให้เกิดเสียงโหวกเหวกดังเซ็งแซ่ไปทั่วความว่างเปล่าที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้
เมื่อการประลองของพวกเขาต้องหยุดชะงักกลางคัน ลูกแสงที่พวกเขาอยู่ก็พลันมืดดับ ตลอดทั้งความว่างเปล่าเวลานี้เหลือเพียงลูกแสงสองลูกที่สว่างไสว หนึ่งคือของป๋ายเสี่ยวฉุน อีกหนึ่งคือของหงเฉินหนวี่!
ลูกแสงของป๋ายเสี่ยวฉุนส่องสว่างบาดตา ของหงเฉินหนวี่อ่อนจางกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังคงพร่างพราวไร้ที่สิ้นสุด เมื่อมองไกลๆ ก็ราวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ทำให้จิตวิญญาณของทุกคนสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง
“นั่นมันป๋ายเสี่ยวฉุน!”
“สวรรค์ เจ้ามารป๋ายผู้นี้กำลังประลองอะไรอยู่กันแน่ ขนาดคนฟ้าก็ยังสู้เขาไม่ได้!!”
ขณะที่คนด้านนอกกำลังร้องอุทานฮือฮา ป๋ายเสี่ยวฉุนผมเผ้ายุ่งเหยิงทว่ากลับฮึกเหิมผิดปกติ เขาคำรามกร้าวอยู่ในสถานที่หลอมพลังจิตของตัวเอง
“ยี่สิบสี่ครั้ง!”
ตูม!
ลายเส้นสีม่วงบนต้นไม้ใหญ่ปรากฏขึ้นเป็นเส้นที่สี่ สติปัญญาในดวงตาของมันบัดนี้ราวกับถูกจุดไฟให้ลุกโชน และก็เหมือนว่าตอนนี้มันกำลังก้มหน้าลงมองป๋ายเสี่ยวฉุน
เวลาเดียวกันนั้น ป้ายศิลาด้านนอกก็ถึงกับเกิดรอยปริแตก เสียงเปรี๊ยะดังลั่นหนึ่งครั้ง การปรากฏของรอยแตกนี้กลับทำให้จิตวิญญาณของทุกคนสั่นไหวอย่างรุนแรง
ยังไม่สิ้นสุด ป๋ายเสี่ยวฉุนคลุ้มคลั่งไปแล้ว เขาแผดเสียงคำรามอีกครั้ง
“ยี่สิ่บห้าครั้ง!” หลังจากที่เขาเอาไฟซึ่งมองเห็นสีได้ไม่ชัดเจนนั้นกดลงไปบนหม้อกระดองเต่า หม้อกระดองเต่าก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง แล้วทันใดนั้นก็ระเบิดแสงสีม่วงไร้ที่สิ้นสุดออกมา ทำให้บนต้นไม้ใหญ่ปรากฏลายเส้นสีม่วงเส้นที่ห้า
วินาทีที่เส้นสีม่วงที่ห้านี้ปรากฏ ใบหน้านั้นพลันเงยขึ้น ก่อนจะปล่อยเสียงถอนหายใจที่คล้ายดังมาจากกาลเวลาอันห่างไกล เมื่อเสียงถอนหายใจนี้ดังสะท้อนไปทั่วฟ้าดิน บนร่างของมันก็คล้ายจะมีพลังชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่เหมือนว่ากำลังเกิดวิวัฒนาการ กำลังเติบโต และร่างกายของมันก็คล้ายจะเปลี่้ยนแปลงไปในทิศทางที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคาดคิดไม่ถึง!
แต่เหมือนว่ายังขาดอะไรบางอย่าง ซึ่งสิ่งที่ขาดนั้น…บางทีอาจเป็นการหลอมพลังจิตต่ออีกสี่ห้าครั้ง!
“โลกอย่างนั้นหรือ…หรือว่าเมื่อหลอมพลังจิตครบสามสิบครั้ง ต้นไม้ใหญ่นี้จะกลายมาเป็น…โลกใบหนึ่ง!” ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเสียงดังตูม
บัดนี้เขาพลันกระจ่างแจ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างของเขาสั่นเทิ้มอย่างหยุดไม่อยู่
ขณะที่กำลังจะไปหยิบเอาไฟมากลับพบว่าไฟบนแท่นหินไม่สามารถรวมตัวกันขึ้นมาเป็นไฟยี่สิบหกสีได้ เสียงตูมดังหนึ่งครั้งก่อนที่มันจะระเบิดตัวเอง กลายมาเป็นเถ้าธุลี…ที่พังทลายไปพร้อมกันยังมีแท่นบูชาหินอีกสองแห่ง รวมไปถึง…ต้นไม้ใหญ่นั้นด้วย!
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองทุกอย่างนี้ด้วยความรู้สึกเหมือนในสมองมีฟ้าผ่าลงมาไม่หยุด เขารู้ดีว่าสำหรับตนแล้ว การหลอมพลังจิตครั้งนี้สามารถพูดได้ว่าสำคัญอย่างหาที่เปรียบไมได้ แม้ว่านี่จะไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่กลับเป็นโชควาสนาครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!
นี่เท่ากับได้…ชดเชยระบบความรู้ด้านการหลอมพลังจิตของตน ความเข้าใจที่ตนมีต่อการหลอมพลังจิตในเวลานี้เกรงว่าหากเอามาวางไว้ในแผ่นดินใหญ่ทงเทียน คนที่มีความรู้เช่นตนก็คงมีน้อยยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลน และมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะ…ไม่มีคนที่สองอีกแล้ว!
และที่ทำให้เขาสะท้านสะเทือนไปยิ่งกว่านั้นก็คือเขาตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า ก่อนหน้านี้ตนละเลยการหลอมพลังจิตมากเกินไป การหลอมพลังจิต…มีพลังมหัศจรรย์ที่ดับทำลายทุกสิ่งให้พินาศวอดวาย เทียบเคียงได้กับพลังแห่งโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฟ้าดินแห่งนี้!
หัวใจเขาเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ลมหายใจของเขาหอบหนัก ส่วนลึกในใจของเขาบัดนี้เกิดความยึดมั่นถือมั่น เกิดความกระหายใคร่ต่อการหลอมพลังจิตเฉกเช่นที่เคยเกิดต่อการหลอมยาในปีนั้น เพราะเขาตระหนักได้แล้วว่า การหลอมพลังจิต…ก็ทำให้เป็นอมตะได้เหมือนกัน!!
“สามารถแปลงมาเป็นโลกได้ขนาดนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็นอมตะเลย!!” หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นกระหน่ำรัวเร็ว รู้สึกว่าทางเส้นนี้คล้ายจะทอดตรงยิ่งกว่าเส้นทางแห่งการหลอมยาเสียอีก เพราะว่าเขามีหม้อลายกระดองเต่า!
“หม้อลายกระดองเต่าใบนี้ของข้า…มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่!”
ความทรงพลังของการหลอมพลังจิตทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสะท้านสะเทือนไปทั้งจิตวิญญาณ ขณะเดียวกันเขาก็ก้มหน้าลงมองหม้อกระดองเต่า สำหรับหม้อใบนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจินตนาการถึงความเป็นมาของมันไม่ออกเลย
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตะลึงไม่หยุดยั้งอยู่ด้านใน ป้ายศิลาหินก็พลันส่งเสียงกัมปนาทที่ราวกับดังมาจากนอกโลกให้เข้ามาสะท้อนอยู่ในพื้นที่หลอมพลังจิตแห่งนี้
“เจ้าคืออันดับหนึ่ง!” เสียงนี้ก้องกังวาน เห็นได้ชัดว่ากล่าวกับป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อพูดจบแล้วพละกำลังมหาศาลระลอกหนึ่งก็กลายมาเป็นการดับทำลาย ทำให้ตลอดทั้งพื้นที่หลอมพลังจิตมืดมน เสียงตูมดังหนึ่งครั้งพื้นที่แห่ง นี้ก็คล้ายถูกปิดตายอย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยังตั้งตัวไม่ทัน รอบกายเขาก็ปรากฏเป็นน้ำวนลูกใหญ่ยักษ์ที่ดูดเอาร่างเขาเข้าไปด้านใน