Skip to content

A Will Eternal 563

บทที่ 563 หายเข้ากลีบเมฆ

หงเฉินหนวี่ที่ปกติงามเป็นเอกเลิศล้ำ ผิวพรรณนุ่มนวลบอบบางราวกับแค่ดีดก็แหลกสลาย เรือนกายมีส่วนเว้าส่วนโค้งยั่วยวนใจคนในเวลานี้กลับมีสภาพกระเซอะกระเซิงอย่างถึงขีดสุด นางสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง นั่นไม่ได้เกิดจากอาการบาดเจ็บ แต่เกิดจากความคลั่งแค้น ก่อนหน้านี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็คาดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุน…จะฆ่าได้ยากเย็นขนาดนี้!

ยามนี้ทั่วร่างของนางมีแต่จุดแดงเต็มไปหมด นั่นคือคำสาปแช่งที่นางต้องแบกรับเอาไว้ คือค่าตอบแทนที่นางต้องจ่ายไปเพื่อใช้สังหารป๋ายเสี่ยวฉุน สำหรับหญิงสาวคนหนึ่งแล้ว ค่าตอบแทนนี้ถือว่ามากมหาศาลอย่างยิ่ง

แม้นางจะมั่นใจว่าตัวเองสามารถลบล้างคำสาปแช่งนี้ไปได้อย่างช้าๆ ในภายหลัง ทว่าความคันคะเยอและเจ็บแสบทั่วร่างตอนนี้ก็ทำให้นางคลุ้มคลั่งไปเรียบร้อย

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” หงเฉินหนวี่กรีดร้องเสียงแหลม บัดนี้ความเกลียดแค้นที่นางมีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนได้ฝังลึกไปถึงกระดูกดำจนมิอาจอยู่ร่วมโลกกันได้อีก ต่อให้บนร่างจะพร่างพราวไปด้วยแสงนำส่ง ร่างกายก็พร่าเลือน กระนั้นเมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ตาย ดวงตาของหงเฉินหนวี่ก็ฉายความบ้าคลั่ง เดินถลันพรวดเข้าหาเขา

นางต้องการสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนให้ได้…ก่อนการนำส่งจะสำเร็จ!

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ตาย นางไม่วางใจ สามารถพูดได้ว่าก่อนหน้าที่จะเข้ามาในสุสานใต้ดินนี้ แม้ว่านางจะรังเกียจป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ความรังเกียจนั้นส่วนใหญ่ล้วนมาจากเรื่องความเสียหายและความอัปยศที่การหลอมยาและเตาหลอมยาระเบิดของป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างให้กับแดนทุรกันดาร

นอกจากนี้ยังมีศึกคราวก่อนที่เจินหลิงบนยอดเจดีย์สูงปลดปล่อยกระแสวิญญาณกว้างใหญ่ไพศาลออกมา ทำให้การศึกสงครามที่นางรับผิดชอบมาตลอดหลายปีเจอแต่ความไม่ราบรื่น นั่นจึงเป็นเหตุให้นางเกิดจิตสังหารและความชิงชังในตัวป๋ายเสี่ยวฉุน

ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ในใจของนางคิดว่าด้วยตบะและฐานะของนาง

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นแค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องถูกกำจัด แม้ว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ในการรบอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้สร้างภัยคุกคามใดๆ ต่อตัวนางเอง

แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปอย่างสิ้นเชิง!

ในสุสานใต้ดินแห่งนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น ต่อให้เป็นก่อกำเนิดก็แทบไม่มีความเป็นไปได้ที่จะรอดจากเงื้อมมือนางมาจนถึงตอนนี้ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบคนหนึ่งเลย

ทว่าทั้งหมดนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับทำได้!

ไม่เพียงแต่ทำได้ เขายังถึงขั้นทำให้หงเฉินหนวี่หดหู่ห่อเหี่ยว และยิ่งนึกได้ว่าในมือป๋ายเสี่ยวฉุนมีวิญญาณคนฟ้าอยู่ถึงสามดวงด้วยแล้ว จิตใจของหงเฉินหนวี่ก็ยิ่งมิอาจสงบสุข

“บนร่างของคนผู้นี้มีความลับยิ่งใหญ่ ตอนนี้เขาใกล้จะเติบโตอย่างเต็มที่แล้ว หากให้เวลาเขาอีกหน่อย เกรงว่าต่อไประดับความน่ากลัวของคนผู้นี้คงมีมากเสียยิ่งกว่าคนฟ้า และภายหลังจะกลายมาเป็นหายนะใหญ่!”

“อีกอย่างระหว่างข้ากับเขาก็อยู่ในสถานะที่ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง แล้วมีหรือที่ข้าจะยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ!” หงเฉินหนวี่กัดฟันขาวสะอาด ขณะที่ร่างเริ่มพร่าเลือนและกำลังจะถูกนำส่งออกไป นางก็พลันถลันเข้าไปใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุน

มือขวาของนางยกขึ้นหมายจะสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นครั้งสุดท้าย ให้เขาตายอยู่ที่นี่ ตายไปต่อหน้าต่อตานาง จิตใจของนางถึงจะได้เป็นสุข ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะระดับความฆ่ายากรวมไปถึงความเป็นไปได้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเติบโตไปยิ่งกว่านี้ได้ทำให้นางบังเกิดความกริ่งเกรงขึ้นมา

เมื่อมองเห็นวิกฤต แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะถูกนำส่ง แม้ร่างกายจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ทว่าดูจากความเร็วนี้เกรงว่าวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกนำส่งไป การดับสังหารของหงเฉินหนวี่ก็คงมาถึงและเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วนว่าจิตวิญญาณของเขาจะดับสลาย ซึ่งต่อให้ถูกนำส่งออกไปก็คงเหลือเพียงแค่ซากศพซากหนึ่งเท่านั้น!

และนาทีนี้เอง ดวงตาไร้ชีวิตชีวาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันฉายแสงลุกเรืองราวกับพลังชีวิตกลุ่มสุดท้ายที่อยู่ในร่างถูกบีบให้ระเบิดออกมาเมื่อต้องเผชิญกับวิกฤตความตายนี้

ร่างกายของเขาขยับไม่ได้ ตบะก็แทบจะแห้งขอด เรือนกายของเขาบาดเจ็บสาหัส แต่เขาไม่อยากตาย เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เขายังมีเรื่องมากมายที่ยังไม่ได้ทำ เขายังไม่ได้เป็นอมตะ!!

“ข้าจะเป็นอมตะ ข้าจะตายไม่ได้!!” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายมีเสียงคำรามเดือดดาลดังกระหึ่มอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาทั้งคู่ของเขาอยู่เบื้องใต้เปลือกตาที่ปิดลง ทว่าเนตรทงเทียนกลางหว่างคิ้วของเขา บัดนี้กลับเบิกโพลง!

ไม่เพียงแต่ร่างจริงของเขาที่เป็นเช่นนี้ เนตรทงเทียนกลางหว่างคิ้วของร่างจำแลงทั้งสามที่อยู่ในกายเขาต่างก็ลืมขึ้น ก่อนที่เนตรทงเทียนทั้งสี่จะทับซ้อนเข้าด้วยกันและพลันหันมาจ้องมอง…หงเฉินหนวี่!

ตูมๆๆ!

พลังแห่งการควบคุมทั้งหมดระเบิดออกมาจากในเนตรทงเทียนของป๋ายเสี่ยวฉุน ต่อให้เนตรทงเทียนของเขาจะปวดร้าวแสบร้อนราวกับกำลังจะแตกสลาย ทว่าเขากลับยังคงใช้สายตาโกรธแค้นจ้องนิ่งมายังหงเฉินหนวี่อย่างไม่ลดละ!

ท่ามกลางเสียงอึกทึก ร่างของหงเฉินหนวี่ที่พุ่งเข้ามาพลันหยุดกึกกลางอากาศ การหยุดชะงักนี้เกิดขึ้นแค่เสี้ยววินาทีก็กลับคืนมาเป็นดังเดิม แต่จะอย่างไรแล้วก็ถือว่าหยุดไปครู่หนึ่ง

ครู่เดียวนี้…เลือดสดไหลซึมออกมาจากเนตรทงเทียนของป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างของเขาพร่าเลือน พลังนำส่งเปิดใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ และภายใต้กำลังนำส่งนั้น ร่างของเขาก็พลัน…หายวับไป!

แทบจะนาทีเดียวกับที่เขาหายตัวไป เวทคาถาที่เกิดจากมือขวาของหงเฉินหนวี่ก็ลอดทะลุไปยังจุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ก่อนหน้านี้อย่างเสียเปล่า…

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” หงเฉินหนวี่ตัวสั่นเทิ้ม หวีดร้องเสียงแหลมสูง นัยน์ตานางที่เผยความเคียดแค้นจ้องเขม็งไปยังจุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหายตัวไป และร่างของนางก็ค่อยๆ สลายไป ก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยเพราะพลังนำส่งนั้น

เมื่อคนทั้งสองทยอยกันถูกนำส่งออกไป ในตำหนักใต้ดินแห่งนี้ แสงนำส่งก็ระเบิดอย่างไม่ขาดระยะ ร่างแต่ละร่างต่างหายวับไปตามๆ กัน เสินซ่วนจื่อ จ้าวหลง ซ่งเชวีย…

ไม่ว่าจะเป็นนักพรตของกำแพงเมืองหรือผู้ฝึกวิญญาณของแดนทุรกันดารต่างก็เป็นเช่นเดียวกัน เมื่อทุกคนทยอยกันหายตัวไปแล้ว เขาวงกตก็พังถล่มลงมาอย่างสมบูรณ์แบบ และเมื่อมองจากโลกภายนอก บัดนี้พื้นดินที่ตั้งของเขาวงกตได้ยุบยวบเข้าไปอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นฟ้าดินที่ลอยออกมา

วินาทีที่การนำส่งเริ่มขึ้น พื้นดินในรัศมีหลายหมื่นลี้ก็มีลำแสงสีขาวระเบิดพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า แทนที่ลำแสงสีดำเก้าลำก่อนหน้านั้น กลายมาเป็นลำแสงหนึ่งเดียวที่พุ่งสูงสู่นภา ก่อนจะกลายเป็นระลอกคลื่นหลายวงที่กระเพื่อมไปสี่ทิศ

ป๋ายหลินก็ดี ผู้ฝึกวิญญาณของแดนทุรกันดารก็ช่าง กองทัพใหญ่ของทั้งสองฝ่ายที่อยู่ห่างออกไปไกลต่างก็มองเห็นภาพนี้อย่างชัดเจน แต่ละคนพากันใจสั่นรัวไม่หยุด มาจนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตำหนักใต้ดินกันแน่

จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งเดือนถึงได้ทยอยมีข่าวแพร่ออกมาให้ทางกำแพงเมืองและแดนทุรกันดารรับรู้ พวกป๋ายหลินถึงได้เข้าใจว่าการนำส่งที่เปิดขึ้นในตำหนักใต้ดินได้ส่งทุกคนที่อยู่ในนั้นไปยังพื้นที่ต่างๆ ในแดนทุรกันดาร!

บางคนก็อยู่ใกล้ บางคนก็ถูกส่งไปไกลมาก และยังมีบางคนที่อาจถูกส่งไปยังจุดลึกของแดนทุรกันดาร นั่นคือสถานที่ที่แม้แต่แผ่นหยกส่งข้อความเสียงก็ยังมิอาจติดต่อได้…

เมื่อนักพรตจำนวนไม่มากของกำแพงเมืองทยอยกันกลับมา และหลังจากนักพรตที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดจากในสถานที่ประลองได้กลับมาถึงกำแพงเมือง เรื่องราวเกี่ยวกับป๋ายเสี่ยวฉุนจึงถูกเล่าลือต่อๆ กันไป ชื่อนี้ได้สร้างความครึกโครมให้กับแดนทุรกันดาร และดังกระหึ่มไปทั่วกำแพงเมืองอีกครั้ง…

อันดับหนึ่งในการประลอง!

เป็นคนแรกที่เหยียบเข้าไปในสุสานใต้ดิน!

อีกทั้งหลังจากที่หงเฉินหนวี่เหยียบเข้าไปในสุสานใต้ดินก็ดูเหมือนว่าคนทั้งสองจะต่อสู้กันอย่างดุเดือด

สุดท้ายเมื่อสุสานใต้ดินพังถล่ม ภายใต้การลงมือสังหารของหงเฉินหนวี่ กลับเหมือนว่าตอนนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงมีชีวิตอยู่!

จนกระทั่ง…ค่ายกลนำส่งเปิดใช้ แต่สุดท้ายแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนจะเป็นหรือตาย…กลับกลายมาเป็นเพียงปริศนาที่มีแต่หงเฉินหนวี่เท่านั้นที่รู้

จนกระทั่งผ่านไปได้สองเดือน หงเฉินหนวี่ของทางฝ่ายของแดนทุรกันดารได้เพิ่มรางวัลนำจับป๋ายเสี่ยวฉุนให้สูงถึงระดับน่าเหลือเชื่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยรางวัลสำหรับค่าหัวของป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือวิญญาณสัตว์ฟ้าห้าธาตุ และวิญญาณคนฟ้าอีกหนึ่งดวง!

เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายของแดนทุรกันดารหรือฝ่ายกำแพงเมืองต่างก็ตะลึงลานกันไปหมด ต้องรู้ว่าบนประกาศต้องฆ่านั้น แม้แต่เฉินเห้อเทียนเองก็ยังไม่มีรางวัลนำจับสูงขนาดนี้ พริบตาเดียวชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงกลายมาเป็นอันดับที่หนึ่ง…บนประกาศต้องฆ่าของฝั่งแดนทุรกันดาร!!

และก็เพราะเรื่องนี้ ทางฝ่ายกำแพงเมืองถึงได้รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุน…น่าจะ ยังไม่ตาย!

“ไม่ตายก็ดีแล้ว ไม่ตายก็ดีแล้ว…เสี่ยวฉุน ครั้งนี้ข้าทำผิดต่อเจ้า…” ในกำแพงเมือง ป๋ายหลินนั่งอยู่ตรงนั้น ในมือเขาถือเหยือกเหล้า ถอนหายใจยาวเหยียด ทอดสายตามองไปไกลด้วยใบหน้าที่เผยความปลงอนิจจังและระทมทุกข์

“แต่ว่า เจ้าไปอยู่ที่ไหนกันแน่…”

………….

จบภาค 4

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!