Skip to content

A Will Eternal 566

บทที่ 566 หลอมวิญญาณก็คือหลอมพลังจิต

“หลอมวิญญาณก็คือหลอมพลังจิต…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเสียงแผ่ว มองแผ่นกระดูกที่อยู่ในมือ ในใจของเขามิอาจสงบลงได้ โดยเฉพาะคำบรรยายที่อยู่ในแผ่นกระดูกซึ่งบอกไว้ว่าไฟหลากสีทั้งหมดที่อยู่ในแดนทุรกันดารล้วนเกิดขึ้นจากการหลอมของอาจารย์หลอมวิญญาณ นี่ทำให้หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง

จากการวิจัยศึกษาของคนแต่ละรุ่นในแดนทุรกันดารจึงมีการสร้างตำรับการหลอมไฟหนึ่งสีไปจนถึงไฟสิบสี่สีขึ้นมานานแล้ว อีกทั้งตำรับการหลอมนี้ยังไม่ได้มีเพียงชนิดเดียว แต่มีมากหลายชนิด

ในแดนทุรกันดาร ตำรับของการหลอมไฟหนึ่งสีไปจนถึงไฟสี่สีไม่ได้เป็นความลับสุดยอดอะไร แม้ว่าไม่ใช่อาจารย์หลอมวิญญาณทุกคนที่ได้ครอบครอง ทว่าใครก็ตามที่เกิดในตระกูลอาจารย์หลอมวิญญาณก็ล้วนมีบันทึกเก็บไว้

มีเพียงตำรับการหลอมไฟสิบห้าสีเท่านั้นที่ถึงจะเป็นความลับสุดยอดซึ่งแม้แต่ตระกูลระดับกลางบางตระกูลก็ยังไม่มี มีเพียงตระกูลอาจารย์หลอมยาตระกูลใหญ่ๆ บางส่วน หรือไม่ก็ขั้วอิทธิพลใหญ่ๆ เท่านั้นถึงจะมี

ส่วนตำรับไฟสิบหกสีก็ยิ่งเป็นสุดยอดของสุดยอดแห่งความลับ…

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ทั้งหมดนี้ก็ล้วนแสดงให้เห็นว่าในด้านการหลอมพลังจิตนั้น แดนทุรกันดารแซงหน้าแผ่นดินใหญ่ทงเทียนไปก้าวใหญ่ เรียกได้ว่าอยู่กันคนละระดับชั้นเลยทีเดียว

แม้ว่าในแผ่นกระดูกนี้จะบอกไว้แล้วว่าไฟหลายสีไม่ได้หมายความว่าจะต้องหลอมพลังจิตสำเร็จ ยิ่งเป็นการหลอมพลังจิตระดับสูง อัตราความล้มเหลวก็ยิ่งมีมาก ข้อนี้เหมือนกับการหลอมพลังจิตของแผ่นดินใหญ่ทงเทียนที่หลังจากทำล้มเหลว วัตถุจะดับสลายไปเอง แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังรู้สึกว่าที่นี่ต่างหากถึงจะเป็นต้นกำเนิดของการหลอมพลังจิตที่แท้จริง!

พอนึกว่าเมื่ออยู่ที่นี่ตนสามารถหลอมไฟออกมาได้หลายสี อีกทั้งยังใช้สีมาแบ่งระดับชั้นการเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณ ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเปลี่ยนมาถี่กระชั้น

“หากข้าสร้างตำรับการหลอมไฟหลากสีออกมาได้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีว่าข้อได้เปรียบของตัวเองอยู่ตรงไหน เขามีหม้อลายกระดองเต่า สำหรับคนอื่นแล้วการหลอมไฟสิบสี่สีไม่ได้หมายความว่าจะหลอมพลังจิตสิบสี่ครั้งให้กับอาวุธได้สำเร็จ ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน ขอแค่มีไฟก็ต้องสำเร็จแน่นอน!

ทั้งหมดนี้ทำให้จิตใจเขาสั่นไหว ตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

เวลาเดียวกันนั้น ในแผ่นกระดูกนี้นอกจากจะบันทึกระดับชั้นของอาจารย์หลอมวิญญาณไว้แล้ว ยังบรรยายคำว่าดวงวิญญาณเอาไว้ด้วย ซึ่งดวงวิญญาณที่ว่านี้ก็คือยาวิญญาณ นี่คือวัตถุที่ผู้ฝึกวิญญาณแดนทุรกันดารใช้ในการฝึกตน ไม่ต่างจากหินวิเศษ และในแดนทุรกันดารนี้ก็เป็นวัตถุที่เหมือนกับเงินตราอย่างหนึ่ง

การสร้างยาวิญญาณไม่ยาก ขอแค่ตอนที่หลอมไฟหลากสีแล้วหยุดชะงักตอนที่มันกำลังจะกลายมาเป็นไฟ ไม่ให้มันเป็นไฟได้สำเร็จ เท่านี้ก็จะสร้างยาวิญญาณออกมาได้แล้ว!

ยาวิญญาณที่ต่ำกว่าไฟสิบสีลงไปล้วนเป็นระดับล่าง จากจำนวนของไฟที่ต่างกัน ส่วนที่แบ่งก็จะไม่เหมือนกันด้วย ยกตัวอย่างเช่นยาวิญญาณที่เกิดจากไฟหนึ่งสีก็คือยาวิญญาณระดับล่างหนึ่งส่วน ส่วนยาวิญญาณที่เกิดจากไฟสิบสีก็คือยาวิญญาณระดับล่างสิบส่วน

ขอแค่เป็นยาวิญญาณที่เกิดจากไฟสิบเอ็ดสีถึงจะเรียกว่าเป็นยาวิญญาณระดับกลาง มูลค่าไม่ธรรมดา ซึ่งก็หมายความว่ายาวิญญาณระดับกลางจะมีเพียงอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีเหลืองเท่านั้นที่จะหลอมออกมาได้

ส่วนยาวิญญาณระดับสูงมีน้อยอย่างยิ่ง เพราะดวงวิญญาณนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีไฟสิบห้าสีเท่านั้น

ในตำนานเล่ากันว่ายังมียาวิญญาณอีกประเภทหนึ่งถูกเรียกว่าระดับสุดยอด แต่ก็เป็นเพียงคำเล่าลือเท่านั้น เพราะยาวิญญาณระดับสุดยอดนี้จำเป็นต้องใช้ไฟยี่สิบเอ็ดสีถึงจะสร้างออกมาได้!!

ทั้งหมดนี้ก็คือสาเหตุที่ทำให้อาจารย์หลอมวิญญาณผงาดขึ้นมาได้ในแดนทุรกันดาร!

สำหรับคนนอก พวกเขาสามารถหลอมยาวิญญาณที่ใช้สำหรับฝึกบำเพ็ญตบะ สามารถเพิ่มลายเส้นสีเงินให้กับการหลอมวิญญาณจนอาวุธกลายมาเป็นอาวุธวิเศษที่ผ่านการหลอมพลังจิต

สำหรับคนใน อาจารย์หลอมวิญญาณยังได้รับเงื่อนไขและสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นพิเศษ หากไม่ใช่อาจารย์หลอมวิญญาณจะไม่มีทางทำสิ่งหนึ่งได้ นั่นก็คือการหลอมวิญญาณให้เป็นวิญญาณทาส พวกเขาสามารถบงการวิญญาณพยาบาทจำนวนมากให้มาเป็นข้าทาสของตัวเองซึ่งสามารถพกพาไปไหนมาไหนด้วยได้ เวลาที่ลงมือก็มักจะเอาวิญญาณทาสออกมาใช้เป็นจำนวนมาก ไม่เพียงแต่สามารถใช้สังหารศัตรู ยังสามารถนำวิญญาณทาสมาหลอมเป็นยาวิญญาณและไฟหลายสีได้อีกด้วย…

สามารถพูดได้ว่าอาจารย์หลอมวิญญาณ…ก็คือบุคคลหนึ่งที่เชี่ยวชาญรอบด้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนอ่านเนื้อความในแผ่นกระดูกนี้จบ ในสมองของเขาก็เกิดความประทับใจอย่างรุนแรงทันที

“ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่…อาจารย์หลอมวิญญาณทำไม่ได้!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอดคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่ตนได้เห็นหลังจากหลอมพลังจิตในพื้นที่การประลองไม่ได้ แล้วก็นึกถึงความเก่งกาจมากความสามารถของอาจารย์หลอมวิญญาณอีกครั้ง เขารู้สึกจริงๆ ว่า…อาจารย์หลอมวิญญาณไม่เพียงแต่เป็นชนสูงศักดิ์ของแดนทุรกันดารเท่านั้น ยังเป็นเหมือน…ลูกชายแท้ๆ ของฟ้าดินแห่งนี้ด้วย!

“ข้าต้องการเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณ!!” นัยน์ตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่ง เขากำแผ่นกระดูกที่อยู่ในมือแน่น ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้รีบก้มหน้าลงค้นหาในถุงเก็บของของป๋ายฮ่าวต่อไป ทว่าหาอยู่นานมากป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค้นพบด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยว่าในถุงเก็บของของป๋ายฮ่าวไม่ได้มีตำรับหลอมไฟหลากสีอย่างที่อธิบายไว้บนแผ่นกระดูก

“ป๋ายฮ่าวผู้นี้มีตบะอ่อนด้อยเกินไป แถมตำแหน่งของเขาในตระกูลยังต่ำมากด้วยกระมัง? ดังนั้นถึงได้ไม่มีตำรับการหลอมไฟหลากสี…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย เหลือบมองไปทางเนินดินหนึ่งครั้ง ก่อนจะเดินขึ้นหน้าแล้วยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งที ทันใดนั้นบนต้นไม้ใหญ่ข้างเนินศพก็มีตัวอักษรสลักทิ้งเอาไว้

หลุมศพของป๋ายฮ่าว

ทำทุกอย่างนี้เสร็จป๋ายเสี่ยวฉุนก็ประสานมือคารวะหลุมศพหนึ่งครั้งแล้วจึงหมุนกายขยับร่างไปจากที่แห่งนี้ แม้ว่าเรื่องของอาจารย์หลอมวิญญาณจะทำให้เขาใจสั่น แต่เขาเองก็เข้าใจดีว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับตนในตอนนี้ก็คือต้องรู้ให้ได้ว่าจุดที่ตัวเองอยู่ในเวลานี้ห่างจากกำแพงเมืองเท่าไหร่

“คงต้องแปลงโฉมสักหน่อยจึงจะดีที่สุด” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิด ก่อนจะหยิบเอาหน้ากากขึ้นมาแปะลงไปบนใบหน้า ขณะที่กำลังแปลงโฉม ในสมองเขาก็มีลักษณะของป๋ายฮ่าวก่อนตายลอยขึ้นมา ไม่นานใบหน้าของหน้ากากก็กลายมาเป็นใบหน้าของป๋ายฮ่าว

“ใช้ตัวตนของป๋ายฮ่าวไปชั่วคราวก่อนก็แล้วกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนร่ายความเร็วห้อตะบึงจากไปไกล

“แต่ว่าหน้ากากนี้ก็มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง…” ขณะที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วเป็นปม เขารู้ว่าเดิมทีหน้ากากนี้ก็มาจากแดนทุรกันดารอยู่แล้ว

ซึ่งในแดนทุรกันดารแห่งนี้มีขั้วอิทธิพลที่น่าครั่นคร้ามแห่งหนึ่งซึ่งสามารถตามหาตนเจอผ่านหน้ากากชิ้นนี้

“หากเจอข้าด้วยการตามหน้ากากชิ้นนี้มานั่นหมายความว่าบนหน้ากากนี้มีตราประทับหนึ่งที่ข้ามองไม่เห็น ตราประทับนี้เป็นของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาถึงจะทำเช่นนั้นได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่ครวญ แม้ว่าดูเหมือนอิทธิพลนั้นจะไม่มีเจตนาอยากเป็นศัตรูกับตนเท่าใดนัก แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่กล้าเดิมพัน ผ่านไปพักใหญ่ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็เปล่งแสงวาบ คิดถึงตอนอยู่ในสถานที่ประลอง ภาพเหตุการณ์หลังจากที่ตนหลอมพลังจิตให้ใบไม้ใบนั้นครบสิบเอ็ดครั้งแล้วสภาพของใบไม้เปลี่ยนแปลงไป ตราประทับทั้งหมดก็ถูกลบเลือน เกิดเป็นการยอมรับเจ้าของคนใหม่ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงทำท่าครุ่นคิดอีกครั้ง

“นี่คือวิธีการที่ดีเลยล่ะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจได้แล้วจึงเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นกว่าเดิม พุ่งทะยานไปยังริมชายป่าเบื้องหน้าตามแผนที่บนแผ่นกระดูกอย่างเร่งร้อน

และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปได้ไม่นาน พื้นที่ที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ นอกหลุมศพเวลานี้ได้มีควันสีเทาผุดออกมาเป็นระลอก และพริบตาเดียวควันนี้ก็ปกคลุมไปสี่ทิศ

ไม่นานหมอกควันที่แผ่ขยายออกไปก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาเดียวกันนั้นก็มีเสียงเหมือนฝีเท้าที่เหยียบใบไม้กรอบจนแหลกละเอียดดังออกมาจากในกลุ่มหมอกควัน

พอจะมองเห็นได้รำไรว่าในกลุ่มหมอกควันมีเงาร่างหนึ่งกำลังเดินมาข้างหน้าช้าๆ พอมาถึงข้างหลุมศพของป๋ายฮ่าวถึงได้หยุดเดิน

นี่คือชายชราคนหนึ่งที่สวมชุมคลุมยาวสีเทา ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ หากป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ที่นี่เขาก็ต้องจำได้ในปราดเดียวว่า คนผู้นี้…ก็คือคนเฝ้าสุสาน!

ยามนี้ผู้เฒ่ากำลังมองไปยังเนินดินเงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้เงยหน้าขึ้นมองทิศทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป เนิ่นนานถึงได้ถอนสายตากลับคืนมา ก่อนที่เขาจะหมุนกายกลับเข้าไปในกลุ่มหมอกควันแล้วค่อยๆ จากไปไกลอีกครั้ง

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังห้อตะบึงอยู่ในผืนป่าและขยับเข้าไปใกล้ริมเขตของพื้นที่แห่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ บนภูเขาโล้นเตียนนอกชายป่า โจวอีซิงเองก็กำลังเดินออกมาจากถ้ำเช่นกัน

บัดนี้สีหน้าเขาดีขึ้นจากเดิมไม่น้อย ประกายแสงในดวงตาก็สว่างไสวกว่าก่อนหน้านี้เยอะมาก แม้ว่าจะไม่ได้ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติเต็มที่ ทว่าอย่างน้อยก็ดีขึ้นแล้วเจ็ดแปดส่วน เพียงแต่ยามใดที่นึกถึงความเสียหายที่ตนได้รับในเขาวงกต โจวอีซิงก็หงุดหงิดจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ต้องโทษเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนั่นคนเดียวเลย! คนผู้นี้ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย!” โจวอีซิงแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง หลังจากมองไปรอบด้านก็เริ่มจัดวางค่ายกลใหม่อีกครั้ง

เขาเองก็ถูกนำส่งมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อน เนื่องจากตอนอยู่ในเขาวงกตเขาบาดเจ็บไม่น้อย ตอนอยู่ในพื้นที่การประลองก็ไม่ได้ฟื้นตัว และพอมาถึงที่แห่งนี้เขาก็โชคดีได้เจอกับผู้ฝึกวิญญาณสร้างฐานรากหลายคนผ่านทางมา

ดังนั้นจึงใช้พละกำลังที่เหลืออยู่ลงมือสังหารผู้ฝึกวิญญาณสร้างฐานรากเหล่านั้นทิ้ง ก่อนจะใช้เวทลับกลืนกินเลือดเนื้อและตบะของพวกเขา ทำให้อาการบาดเจ็บดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่เขาก็รู้ดีว่าถึงแม้ตนจะเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณ ทว่าพื้นที่แห่งนี้ไม่ใช่ถิ่นของตระกูลตัวเอง แถมยังอยู่ห่างกันไกลลิบลับ มาอยู่ต่างที่ต่างถิ่นเช่นนี้ ต่อให้เป็นเขาเองก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี

ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รีบร้อนจากไป แต่สร้างผนึกไว้ที่นี่อย่างแน่นหนาเพื่อเตรียมไว้รักษาอาการบาดเจ็บ ตลอดสองเดือนที่ผ่านมากลับมีผู้ฝึกวิญญาณบุกเข้ามาในเขตหวงห้ามนี้โดยบังเอิญ สุดท้ายก็กลายมาเป็นสารบำรุงในการรักษาบาดแผลให้กับเขา

“หากข้าเดาไม่ผิด ป่าแห่งนี้น่าจะเป็นป่าลวงวิญญาณ…หากวิเคราะห์จากข้อนี้ ที่นี่อยู่ห่างจากตระกูลของข้าไกลยิ่งนัก…” โจวอีซิงขมวดคิ้ว ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง

“สถานที่แห่งนี้น่าจะอยู่ในเขตอิทธิพลของจวี้กุ่ยหวัง (ขออนุญาตเปลี่ยนชื่อของราชาผียักษ์เป็นจวี้กุ่ยหวังค่ะ เนื่องจากถึงแม้ว่าจวี้กุ่ยหวังนี้น่าจะเป็นสมญานามมากกว่าชื่อจริงๆ แต่ในเรื่องใช้ชื่อนี้ในการดำเนินเรื่องตลอด และตัวละครมีการแทนตัวเองด้วยชื่อนี้ทั้งเรื่องจึงคิดว่าใช้ทับศัพท์เป็นชื่อจะเหมาะกว่าแปลตรงตัวค่ะ)…จวี้กุ่ยหวังคือหนึ่งในสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนทุรกันดาร ตัวเขามีตบะครึ่งเทพ ลูกน้องใต้สังกัดคือคนฟ้าห้าคน…หากข้าคิดจะจากไป จะอย่างไรก็ควรไปที่นครหวังเฉิงสักหน่อย ต้องใช้ค่ายกลนำส่งของที่นั่นถึงจะได้” ขณะที่โจวอีซิงครุ่นคิดเขาก็สร้างตราผนึกไปรอบภูเขาหัวโล้นแห่งนี้อีกครั้ง

“นอกป่าลวงวิญญาณนี้น่าจะมีผู้ฝึกวิญญาณสัญจรไปมาไม่น้อย หากได้กินอีกสักหน่อย ตบะของข้าก็น่าจะฟื้นคืนมาอย่างเต็มที่ ถึงเวลานั้นค่อยไปที่นครจวี้กุ่ย (นครผียักษ์) ” โจวอีซิงตัดสินใจเรียบร้อย ขณะที่กำลังจะกลับเข้าไปทำสมาธิในถ้ำต่อ สีหน้าเขากลับพลันกระตุก เมื่อเงยหน้ามองไปยังทิศทางของผืนป่าก็เห็นเงาร่างหนึ่งที่กำลังบินทะยานอย่างรวดเร็ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!