บทที่ 575 หลอมพลังจิตให้ตัวอ่อนก่อกำเนิด
เงื่อนไขสองข้อนี้ ข้อที่สำคัญคือข้อหลัง
เพราะอย่างไรซะตบะก่อกำเนิดในข้อแรก ต่อให้ที่นี่คือแดนทุรกันดาร ทว่านักพรตก่อกำเนิดก็ไม่ได้หายาก โดยเฉพาะพวกอาจารย์หลอมวิญญาณที่แข็งแกร่งทั้งหลายที่
เนื่องจากตัวเองสามารถหลอมยาวิญญาณออกมาได้ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกวิญญาณคนอื่นๆ แล้วจึงยิ่งมีความเป็นไปได้ที่จะฝ่าทะลุตบะรวมโอสถและเหยียบย่างเข้าสู่เขตก่อกำเนิด
จะยากก็ตรงข้อหลัง สิทธิ์ในการเข้าคัดเลือก!
“ทำอย่างไรถึงจะได้สิทธิ์ในการเข้าคัดเลือกมา?” โจวอีซิงหน้ากระตุกเล็กน้อย หันมามองผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนสองคนนั้นแล้วเอ่ยถามทันที บัดนี้หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำถี่รัว เรื่องผู้สืบทอดของจักรพรรดิหมิงนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สร้างความครึกโครมสะท้านฟ้าสะเทือนดินให้กับตลอดทั้งแดนทุรกันดาร แม้แต่เขาเองที่ถึงแม้จะไม่มีตบะก่อกำเนิด กระนั้นก็ยังคิดอยากจะลองช่วงชิงดูสักตั้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนทำท่าทางครุ่นคิด แล้วก็หันไปมองผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนสองคนนั้นเหมือนกัน คนทั้งสองต่างก็บอกเรื่องจริงที่ตัวเองรู้ออกมาหมดอย่างไม่มีปิดบัง เพราะอย่างไรซะเรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไรอยู่แล้ว
“คิดจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าคัดเลือก ก่อนอื่นต้องเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณ ที่สำคัญที่สุดคือต้องเป็นผู้ที่หลอมพลังจิตให้กับตัวอ่อนก่อกำเนิดของตัวเองได้ห้าครั้งขึ้นไปถึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการคัดเลือก!” เมื่อคำพูดของผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนสองคนดังออกมา โจวอีซิงก็หน้าเปลี่ยนสี ร้องอุทานเสียงหลงทันที
“นี่จะเป็นไปได้ยังไง! หลอมพลังจิตให้กับตัวอ่อนก่อกำเนิดของตัวเอง นั่นคือวิธีการสุดโต่งของอาจารย์หลอมวิญญาณที่เล่าลือกันในตำนาน แม้ว่าทางทฤษฎีจะทำให้ความเร็วในการบำเพ็ญตบะของคนผู้นั้นเพิ่มขึ้นไปจนถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อ ทว่า…วิธีการเช่นนี้มีน้อยคนนักที่คิดจะทดลองทำ แถมนี่ยังเอาตั้งห้าครั้ง…แบบนี้ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกหรือ!!”
ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เปล่งแสงวาบ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีการหลอมพลังจิตให้กับตัวอ่อนก่อกำเนิดของตัวเองด้วย เรื่องแบบนี้ไม่เพียงเกินจะคาดคิด แถมนี่ระดับความยากก็ต้องสูงถึงขีดสุดแน่นอน
ต้องรู้ว่าการหลอมพลังจิตนั้นมีอัตราความล้มเหลวสูง โดยเฉพาะการหลอมจากครั้งที่หนึ่งถึงครั้งที่ห้า ระดับความล้มเหลวก็ยิ่งสูงมากขึ้น เวลาที่หลอมพลังจิตให้กับอาวุธ หากล้มเหลวเมื่อไหร่อาวุธก็จะแตกทลายทันที การหลอมตัวอ่อนก่อกำเนิดของตัวเองแบบนี้…คิดว่าก็คงไม่ต่างกัน
หากล้มเหลว…การก่อกำเนิดก็จะแตกสลาย นั่นเท่ากับดับทำลายทั้งกายและจิตของตัวเอง เรื่องแบบนี้ใครจะไปกล้าทดลอง…ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าปอดเฮือกใหญ่อย่างอดไม่อยู่ รู้สึกว่าสมควรแล้วที่โจวอีซิงจะหน้าเปลี่ยนสีขนาดนี้ เรื่องนี้…คนที่กล้าทดลอง หากไม่เป็นพวกที่มั่นใจในตัวเองอย่างยิ่งยวดแล้ว ก็ต้องเป็นพวกที่บ้าระห่ำเหลือคณา
“เป็นอย่างนี้จริงๆ ทว่าโอกาสที่จะได้เป็นผู้สืบทอดของจักรพรรดิหมิงก็ยังทำให้ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่มีตบะก่อกำเนิดหลายคนอยากจะร่วมช่วงชิง…ในนครจักรพรรดิขุย มีศิลาหมิงอยู่ป้ายหนึ่ง ป้ายนี้ร่วงลงมาจากแม่น้ำอเวจี ว่ากันว่ามันสามารถสัมผัสได้ถึงทุกคนที่อยู่ในขอบเขตของแดนทุรกันดารซึ่งมีเงื่อนไขสอดคล้องกับสองข้อนี้ และจะเผยชื่อของพวกเขารวมไปถึงจำนวนครั้งที่พวกเขาหลอมพลังจิตให้กับตัวอ่อนก่อกำเนิดของตัวเองได้ไว้บนป้ายศิลานั้น”
“อันดับรายชื่อที่อยู่บนป้ายศิลา ทุกคนสามารถมองเห็นได้หมด ว่ากันว่าเมื่อไม่นานมานี้ได้มีรายชื่อของผู้มากฝีมือขั้นก่อกำเนิดปรากฏขึ้นมาแล้วเจ็ดแปดคน…เมื่อผ่านไปหกสิบปี รายชื่อของคนที่อยู่อันดับแรกบนป้ายศิลาก็จะกลายมาเป็นผู้สืบทอดของจักรพรรดิหมิง…” ผู้ฝึกวิญญาณสองคนนั้นยิ้มเจื่อน หลังจากที่พวกเขาเปิดปากเล่าเรื่องนี้จบแล้ว โจวอีซิงก็ระงับความหวั่นไหวในใจที่พวยพุ่งขึ้นมาเมื่อครู่ให้ดับสนิท เขารู้สึกว่าเรื่องนี้บ้าระห่ำเกินไป พอนึกว่าต้องหลอมพลังจิตให้ตัวอ่อนก่อกำเนิดตัวเองถึงห้าครั้ง เขาก็รู้สึกว่านั่นไม่ต่างอะไรกับการเป็นฝ่ายเดินเข้าไปในประตูนรกห้าครั้งเลยแม้แต่น้อย
“หลอมพลังจิตให้ตัวอ่อนก่อกำเนิดห้าครั้ง…เรื่องนี้ก็ไม่ได้ยากมากเท่าไหร่”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ อยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นมา
“ไม่ยากเท่าไหร่?” โจวอีซิงเบิกตากว้าง ตอนที่หันขวับมามองป๋ายเสี่ยวฉุนก็ราวกับลืมตัวตนของตัวเองไปแล้ว
“ต่อให้ห้าครั้งไม่ยากมากเท่าไหร่ แต่สุดท้ายแล้วคนที่อยู่อันดับหนึ่งจะหลอมได้แค่ห้าครั้งได้อย่างไร หากพวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่มีตบะก่อกำเนิดแย่งชิงกันขึ้นมาเมื่อไหร่คงต้องสู้กันให้ตายไปข้างแน่นอน ห้าครั้งเป็นเพียงแค่พื้นฐาน หากคิดจะเป็นที่หนึ่งก็อาจต้องหลอมพลังจิตให้ตัวอ่อนก่อกำเนิดของตัวเองมากกว่านั้นอีก!”
โจวอีซิงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนไม่มีวาสนากับเรื่องนี้แล้ว ความกระปรี้กระเปร่าของเขาจึงหดหายลงไปไม่น้อย พอได้ยินคำพูดเห็นต่างของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงโต้กลับไปทันที
“พอถึงเวลาแย่งชิงกันขึ้นมา ด้วยภูมิหลังและพลังอำนาจของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเหล่านี้ อย่าว่าแต่ห้าครั้งเลย เจ็ดครั้งหรือแปดครั้งก็ยังเป็นไปได้!”
“แม้ในตำนานจะบอกว่าหากสามารถหลอมพลังจิตให้กับตัวอ่อนของตัวเองได้สิบครั้งจะฝ่าทะลุจากก่อกำเนิดช่วงต้นไปเป็นช่วงกลาง หลอมพลังจิตสิบแปดครั้งสามารถเข้าสู่ก่อกำเนิดช่วงท้าย
และหลังจากผ่านไปยี่สิบครั้งก็คือก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคำเล่าลือที่บอกว่าหากหลอมได้ยี่สิบเอ็ดครั้งก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นคนฟ้า…โดยที่ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะล้มเหลว! แต่เรื่องแบบนี้ใครเล่าจะกล้าทำ!” โจวอีซิงห่อเหี่ยว หลังจากถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครั้งก็พลันตระหนักได้ว่าตัวเองใส่อารมณ์ในน้ำเสียงไปหน่อย ใจเลยตกไปอยู่ตาตุ่ม รีบเก็บอาการด้วยความหวาดผวา ก่อนจะพูดใหม่ว่า
“นี่คือหนทางที่นำไปสู่ความตายอย่างไม่ต้องสงสัย มันยากเกินไป เพราะอย่างไรซะอาวุธที่ผ่านการหลอมพลังจิตสิบห้าครั้งก็สามารถทำให้คนอาศัยอาวุธชิ้นนั้นสื่อสารกับฟ้าดิน เหมือนเลื่อนขั้นเป็นคนฟ้า ถึงแม้ว่าอัตราการได้เป็นคนฟ้าจะมีน้อยมาก แต่ก็ถือว่าเป็นเส้นทางหนึ่งที่ค่อนข้างมั่นคง”
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งวาบอย่างที่คนนอกไม่อาจจับสังเกตได้ ยามนี้เขาเข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว อีกทั้งพอได้ยินคำพูดของโจวอีซิง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ประจักษ์แจ้งถึงวิธีที่อาจารย์หลอมวิญญาณในแดนทุรกันดารจะได้กลายมาเป็นคนฟ้า
วิธีการนี้เกี่ยวข้องกับระดับของอาจารย์หลอมวิญญาณ จำเป็นต้องหลอมพลังจิตให้อาวุธอย่างน้อยสิบห้าครั้งเพื่อสื่อสารกับฟ้าดิน ทำให้ตัวเองผสานรวมกับฟ้ากลายมาเป็นคนฟ้า และตบะเกิดการฝ่าทะลุ
สามารถหลอมไฟสิบห้าสีออกมาได้ มีเพียงอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำเท่านั้น…
“ระบบทั้งหมดนี้ของแดนทุรกันดาร หากมองตามนี้แล้วก็เกี่ยวข้องกับอาจารย์หลอมวิญญาณอย่างที่แยกจากกันไม่ได้เลย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง
การหลอมพลังจิตให้กับตัวอ่อนก่อกำเนิดของตัวเอง นี่คือเส้นทางการเพิ่มความเร็วในการฝึกบำเพ็ญตบะแบบสุดโต่งของอาจารย์หลอมวิญญาณ แค่ก้าวเดียวก็เหยียบขึ้นฟ้า หรือก้าวเดียวก็ดิ่งลงนรก ความเป็นและความตายเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที
ทว่า…สำหรับคนอื่นอาจเป็นเช่นนี้ แต่กระนั้นหัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเต้นกระหน่ำขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เขานึกถึงหม้อลายกระดองเต่าของตัวเอง นึกถึงวิธีการหลอมพลังจิตของตัวเอง
“หากมีวันหนึ่งข้ากลายมาเป็นก่อกำเนิด…บางทีอาจใช้วิธีนี้มาทำให้ตบะของข้าก้าวทะยานพรวดพราด แม้แต่เป็นคนฟ้า…ก็ยังใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้หัวใจก็ยิ่งเต้นเร็วมากขึ้น
แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เข้าใจดี สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้ค่อนข้างไกลตัว เพราะอย่างไรซะตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับเขานอกจากรีบกลับไปกำแพงเมืองโดยเร็วที่สุดแล้วก็คือตามหาวิญญาณคนฟ้า
เขามีร่างจำแลงคนฟ้าสามร่างแล้ว หากคิดจะให้ตบะฝ่าทะลุก็ไม่สามารถใช้วิญญาณสัตว์ฟ้าได้อีก ทำได้แค่ตามหาวิญญาณคนฟ้าอีกสองดวง อีกทั้งจำเป็นต้องเป็นวิญญาณคนฟ้าธาตุทองและธาตุดินด้วย
พอนึกถึงวิญญาณคนฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อดไม่ได้ที่จะกลัดกลุ้ม
ผู้ฝึกวิญญาณสองคนนั้นหันมามองหน้ากัน
ก่อนจะประสานมือก้มตัวคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อเงยหน้าขึ้น ดวงตาก็เผยแววอ้อนวอน
“ไต้เท้า ตอนนี้เรื่องนี้ได้สร้างความฮือฮาให้กับทั่วแดนทุรกันดารแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิในนครจักรพรรดิ หรือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจในนครราชา รวมไปถึงพวกตระกูลผู้หลอมวิญญาณต่างก็บ้าคลั่งกันไปหมด…แต่ละคนต่างก็ใช้วิธีการของตัวเองเพื่อหวังจะช่วงชิงตำแหน่งผู้สืบทอดจักรพรรดิหมิงมาให้ได้”
“นครราชาผีแห่งนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่เพียงแต่นครราชาเท่านั้นที่ต้องการยาวิญญาณจำนวนมาก ยังมีตระกูลผู้หลอมวิญญาณใหญ่ๆ
สามตระกูลในนครราชาด้วยที่ต้องการไม่ต่างกัน เพราะหวังจะเพิ่มตบะให้คนในตระกูลตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้จำนวนการรับจึงเพิ่มสูงกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าตัว…”
“คำสั่งที่ส่งต่อกันมาหลายชั้นจนมาถึงเผ่าของพวกเรา ทำให้ยารวมวิญญาณที่ต้องส่งมอบให้ครั้งนี้เพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีตเกินหนึ่งเท่าตัว…ชนเผ่าภูเขาดำของพวกเราแบกรับไม่ไหว ทำได้เพียงคิดหาวิธีการอื่นเท่านั้น” ผู้ฝึกวิญญาณสองคนของเผ่าภูเขาดำยิ่งพูดก็ยิ่งขมขื่น
“ขอปรมาจารย์ป๋ายโปรดช่วยเหลือ หากท่านหลอมยารวมวิญญาณระดับล่างห้าร้อยส่วนให้กับพวกเราได้ พวกเรายินดีที่จะเอาสถูปสั่งสมวิญญาณมาแลก” สุดท้ายหลังจากที่คนทั้งสองเล่าที่มาที่ไปของเรื่องทุกอย่างโดยละเอียดแล้วก็ได้พูดถึงเรื่องที่พวกเขาต้องการขอความช่วยเหลือ กล่าวจบคนทั้งสองก็ก้มตัวลงคารวะต่ำๆ อีกครั้ง และคนหนึ่งในนั้นก็ถึงกับหยิบสถูปเล็กๆ สีเทาหลังหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอก ก่อนจะส่งมอบมาไว้ข้างหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม
สถูปเล็กเป็นสีเทาทั้งหลัง ทั้งยังมีควันสีเทาเป็นระลอกแผ่ออกมาล้อมวนอยู่รอบด้านของสถูป ทำให้สถูปนี้มองดูแล้วเหมือนกำลังผลุบๆ โผล่ๆ เวลาเดียวกันนั้นบนสถูปเล็กก็คล้ายจะให้ความรู้สึกถึงกาลเวลาที่ยาวนานเหมือนเป็นวัตถุโบราณชิ้นหนึ่ง
แม้ว่าจะมีเพียงห้าชั้น แต่กลับผสมกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน
ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปก็ต้องร้องเอ๊ะขึ้นมาเบาๆ ทันที เขาสัมผัสได้ว่าในสถูปเล็กนี้มีพลังห้วงมิติซึ่งคล้ายคลึงกับถุงเก็บของอย่างมาก
“สถูปสั่งสมวิญญาณ…” แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นวัตถุชิ้นนี้มาก่อน แต่ด้วยตบะของเขาแค่กวาดตามองครั้งเดียวก็เข้าใจทันทีว่านี่คือวัตถุของแดนทุรกันดารที่ใช้สำหรับเก็บรวบรวมวิญญาณพยาบาทโดยเฉพาะ!
เพราะอย่างไรซะหากเอาวิญญาณพยาบาทเก็บไว้ในถุงเก็บของก็จะต้องสลายหายไปเหมือนวิญญาณที่ไม่สดใหม่ มีเพียงใช้สถูปสั่งสมวิญญาณที่สร้างขึ้นมาเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะเท่านั้นถึงจะรักษาความสดใหม่ของวิญญาณพยาบาทได้ยาวนานมากขึ้น
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังมองประเมินสถูปสั่งสมวิญญาณอยู่นั้น โจวอีซิงที่อยู่ข้างกันก็เจ็บแปลบในใจ เขารู้ดีว่าถึงแม้สถูปสั่งสมวิญญาณจะไม่ได้หายากมากนัก ทว่าไม่ว่าชิ้นใดก็ล้วนมีราคาไม่ธรรมดา คือวัตถุที่อาจารย์หลอมวิญญาณชื่นชอบ ชิ้นที่เห็นตรงหน้านี้ก็ยิ่งไม่ธรรมดา มีมากถึงห้าชั้น แถมเห็นได้ชัดว่ารูปแบบการสร้างมันไม่ใช่ของยุคสมัยใหม่ แต่มาจากสมัยที่ค่อนข้างเก่าแก่โบราณ
สถูปสั่งสมวิญญาณที่มีห้าชั้นเช่นนี้ สำหรับพวกอาจารย์หลอมวิญญาณที่แข็งแกร่งแล้วอาจไม่มีค่ามากเท่าใดนัก ทว่าสำหรับอาจารย์หลอมวิญญาณคนอื่นๆ ก็ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งแล้ว ประโยชน์ของมันก็เหมือนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไว้คือคล้ายคลึงกับถุงเก็บของ
“ไม่เห็นจะร้ายกาจตรงไหน เมื่อก่อนข้าก็มีอันหนึ่ง…” โจวอีซิงพึมพำอยู่ในใจ แต่กลับอดไม่ได้ที่จะตาร้อน สถูปสั่งสมวิญญาณที่เขาเคยครอบครองมีแค่สามชั้น ซึ่งบุรพาจารย์ในตระกูลของเขามอบให้เมื่อครั้งที่เขาเลื่อนขั้นสู่รวมโอสถ เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในเขาวงกต หลังจากที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสแล้วหนีไปก็ได้ไปเจอกับศัตรูตัวฉกาจอีกคน และมันพังลงตอนที่ต่อสู้…
และขณะที่โจวอีซิงกำลังเจ็บจี๊ดอยู่ในใจนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนมองสถูปสั่งสมวิญญาณด้วยสายตาที่เผยแววครุ่นคิด ไม่นานดวงตาเขาก็พลันแน่วนิ่ง ในสมองราวกับมีสายฟ้าวาบผ่าน
“ข้านึกถึงสาเหตุที่หลอมไฟสิบเอ็ดสีล้มเหลวออกแล้ว!”