Skip to content

A Will Eternal 580

บทที่ 580 วิญญาณครึ่งเทพ

หลังจากศึกษา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จำต้องล้มเลิกความคิดที่จะใส่ยาเม็ดลงไปในยาวิญญาณ แม้ว่าจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ทว่านี่คือยาสองประเภทที่เป็นคนละระบบกันอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถรวมสองเป็นหนึ่งให้ลึกซึ้งไปยิ่งกว่านี้ได้

“เอาเถอะ ใส่ควันพิษเข้าไปได้บางส่วนก็ถือว่าดีแล้ว ไม่แน่ว่าภายภาคหน้าอาจมีวันใดให้เอามาใช้ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนปลอบใจตัวเองจบก็หลอมยาวิญญาณต่อไป

เพราะอย่างไรซะเขาก็รับปากเผ่าภูเขาดำไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตนเป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา บอกว่าหนึ่งก็คือหนึ่ง ดังนั้นช่วงเวลาต่อมาเขาจึงจมจ่อมอยู่กับการหลอมยาวิญญาณ

ดวงวิญญาณทั้งหมดเผ่าภูเขาดำเป็นคนหามาให้ อีกทั้งเผ่าภูเขาดำนี้ก็น่าสงสารมากพออยู่แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนใจอ่อนจึงไม่ได้ฮุบเอามาเป็นของตัวมากเกินไปนัก

หลายวันต่อมา ยาวิญญาณระดับล่างห้าร้อยส่วนก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมสำเร็จอย่างราบรื่น มองยาวิญญาณที่อยู่ตรงหน้าด้วยความพึงพอใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความรู้สึกเหมือนว่าตัวเองร้ายกาจมากแล้ว

“ต่อให้ระยะเวลาสั้นๆ นี้ยังไม่สามารถกลับไปยังกำแพงเมืองได้ก็ไม่เป็นไรหรอก ข้ามีความสามารถในการหลอมยาวิญญาณพวกนี้ เมื่ออยู่ในแดนทุรกันดารก็ยังถือว่าทำตัววางอำนาจบาตรใหญ่ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง ขณะที่ปลงอนิจจังเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ไม่ว่าเดินไปทางไหนก็ล้วนปรับตัวได้ไม่ลำบาก

“บางทีนี่คงจะเป็นข้อได้เปรียบที่สุดของข้ากระมัง” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วหลับตาลง ขณะที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่กับตัวเองก็อดนึกไปถึงวันที่ถูกเขาวงกตนำส่งออกมาไม่ได้ วันนั้นทุกคนล้วนถูกนำส่งออกไปหมด

พวกเสินซ่วนจื่อ ซ่งเชวีย จ้าวหลงคงไม่เป็นไรกระมัง พวกเขาเองก็ถูกส่งออกมาแบบนี้ใช่หรือไม่?

“ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเกิดความรู้สึกคาดหวังอย่างมากว่าจะได้พบกับพวกเขาในแดนทุรกันดารแห่งนี้ พอคิดอย่างนี้เขาก็รู้สึกทันทีว่าตนไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวในแดนทุรกันดารอีกแล้ว

หลังจากคิดตกแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไอเบาๆ หนึ่งครั้ง ลูบคลำหน้ากากบนใบหน้าของตัวเอง ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขายังได้รับผลเก็บเกี่ยวอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือค้นพบว่าประสิทธิผลในการอำพรางปราณของหน้ากากชิ้นนี้ไม่เพียงแต่มีประโยชน์กับตัวเขาเองเท่านั้น แม้แต่ในด้านการหลอมไฟก็ยังอำพรางคลื่นที่แผ่ออกมาจากไฟหลายสีได้อย่างมิดชิดอีกด้วย ต่อให้เขาหลอมไฟอยู่ตรงนี้ คนนอกก็ยังสัมผัสไม่ถึง

“เป็นของดีจริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งรู้สึกว่าหน้ากากชิ้นนี้ไม่เลว ยามนี้จึงทำใจให้สงบ ไม่คิดเรื่องหน้ากากอีกต่อไป แต่หยิบเอาสถูปสั่งสมวิญญาณออกมาดู

“หลังจากส่งมอบยาวิญญาณระดับล่างห้าร้อยส่วนให้กับเผ่าภูเขาดำก็ถือว่าการแลกเปลี่ยนสิ้นสุดลงแล้ว แม้ว่าที่นี่จะไม่เลว แต่กลับไม่ควรอยู่นานนัก”

นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยแววครุ่นคิด เขากำลังไตร่ตรองถึงวิธีการที่จะพาตัวเองกลับไปยังกำแพงเมือง อีกด้านหนึ่งก็ต้องช่วงชิงเอาตำรับในการหลอมไฟตั้งแต่สิบห้าสีขึ้นไปมาด้วย

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือเขารู้สึกว่าตนจำเป็นต้องตามหาวิญญาณคนฟ้าได้แล้ว มิฉะนั้นตนจะไม่สามารถฝ่าทะลุยาอายุวัฒนะเหยียบเข้าสู่ก่อกำเนิดได้เลย

“ต้องโทษสตรีธุลีแดงสมควรตายนั่น!” พอนึกถึงตัวการหายนะที่ทำให้ตนต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตอนนี้หลอมยาวิญญาณเสร็จแล้วเขาจึงวางใจลงได้

เตรียมที่จะสังเกตการณ์สถูปสั่งสมวิญญาณอย่างละเอียด ทางที่ดีที่สุดคือต้องหาหลักการดั้งเดิมในการสร้างสถูปสั่งสมวิญญาณนี้ขึ้นมาให้ได้

เขาจึงพลันแผ่กระแสจิตออกไปตรวจสอบดูภายในสถูปสั่งสมวิญญาณอย่างละเอียด ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังมองไม่ออกถึงเส้นสนกลในใด ในสถูปวิญญาณนี้มีควันสีเทาอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้พลังจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สามารถลอดทะลุออกไปได้มากนัก ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงภาพพร่าเลือนผลุบๆ โผล่ๆ แม้จะเป็นเช่นนี้แต่ก็พอมองสภาพคร่าวๆ ได้อย่างชัดเจน และยิ่งสัมผัสได้อย่างเด่นชัดถึงความรู้สึกของการผ่านกาลเวลามาอย่างเนิ่นนานที่แฝงเร้นอยู่อย่างเข้มข้นในสถูปสั่งสมวิญญาณนี้

“ควันพวกนี้มีมากเกินไปแล้ว…ไม่ให้ข้าดูใช่ไหม…สถูปวิญญาณเล็กๆ อย่างเจ้า คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเจ้ายังไง! หึหึ ในเมื่อสถูปนี้เป็นของข้าแล้ว ทางที่ดีที่สุดก็ควรใช้วิธีการหลอมพลังจิตมาชำระล้างให้สะอาดหนึ่งรอบก่อน ไม่ว่าด้านในจะมีตราประทับของคนอื่นอยู่หรือไม่ก็ต้องกำจัดทิ้งไปด้วยกันเลย!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาบ เรื่องของหน้ากากทำให้เขามีใจระแวงภัยต่อวัตถุที่คนอื่นมอบฃให้อย่างสูง ตอนนี้ถึงแม้จะมองเบาะแสอะไรไม่ออก แต่เขาก็ยังแยกร่างจำแลงออกมา

ด้านหนึ่งก็เพื่อให้ร่างจำแลงออกไปตามหาวิญญาณพยาบาทที่จำเป็น อีกด้านหนึ่งก็เพื่อสั่งความโจวอีซิงและหลี่เฟิง ขณะเดียวกันก็ให้ชนเผ่าภูเขาดำนี้นำวิญญาณพยาบาทจำนวนมากมาส่งอย่างต่อเนื่อง

หลายวันต่อมา ภายใต้การจัดการสามเส้นทางของป๋ายเสี่ยวฉุน ในที่สุดเขาก็รวบรวมวัตถุดิบสำหรับหลอมไฟสิบเอ็ดสีได้อีกหนึ่งชุด ยามสนธยาของวันนี้เขาจึงหลอมไฟสิบเอ็ดสีอยู่ในถ้ำตัวเองอีกครั้ง

เมื่อไฟสิบเอ็ดสีปรากฏ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หยิบเอาหม้อลายกระดองเต่าออกมาโดยไม่ลังเล ก่อนจะโยนสถูปสั่งสมวิญญาณเข้าไปแล้วเริ่มหลอมพลังจิตสิบเอ็ดครั้งทันที!

แสงสีทองพร่างพราว สีของสถูปสั่งสมวิญญาณเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้เป็นสีเทาอีกต่อไป แต่เป็นเหมือนผลึกใสที่โปร่งแสงแวววาว บนนั้นมีเส้นสีทองหนึ่งเส้นที่แผ่พลังยิ่งใหญ่ไพศาล แตกต่างไปจากเดิมอย่างสมบูรณ์แบบ ตอนนี้ต่อให้เป็นพวกอาจารย์หลอมวิญญาณมากฝีมือมาเห็นสถูปหลังนี้ก็ยังต้องใจสั่น

ถือสถูปวิญญาณผลึกใสไว้ในมือ ป๋ายเสี่ยวฉุนนาบตราประทับของตัวเองลงไปด้วยความเบิกบานใจ หลังจากสัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงลับๆ ระหว่างตนกับสถูปที่มิอาจตัดขาดได้แล้ว เขาถึงวางใจอย่างแท้จริง

“ตอนนี้สถูปสั่งสมวิญญาณถือว่าเป็นของข้าอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว”

ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ แผ่พลังจิตเข้าไปในสถูปวิญญาณเพื่อตรวจสอบดูอย่างละเอียดอีกครั้ง คราวนี้เขาค้นพบด้วยความตะลึงระคนตกใจว่าควันในสถูปนั้นหายวับไปหมดแล้ว ทุกขอบเขตโล่งโปร่งทำให้พลังจิตของเขาที่แผ่ออกไปมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ทว่าเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันร้องเอ๊ะขึ้นมาเบาๆ สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม พอดวงตาเปล่งแสงวาบหนึ่งครั้ง พลังจิตทั้งหมดก็แผ่ขยายไหลบ่าเข้าไปในสถูปวิญญาณ

ในจุดลึกของสถูปวิญญาณที่ก่อนหน้านี้ถูกควันสีเทาปกคลุมทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเส้นสนกลในอะไรไม่ออก ยามนี้เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมองไป เขากลับเห็นว่าตรงนั้นพลัน…มีตราผนึกอยู่เส้นหนึ่ง!!

ตราผนึกนี้เบาบางอย่างมาก หากไม่มองอย่างละเอียดจะไม่เห็นเลย

“ตราผนึก…” ความคิดแรกของป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือคนของชนเผ่าภูเขาดำรนหาที่ตาย นี่เท่ากับต้องการผลักตนลงหลุมชัดๆ แต่ไม่นานเขาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ความรู้สึกที่ตราผนึกนี้มอบให้เขาคือความเก่าแก่เช่นเดียวกับสถูปวิญญาณ

หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปล่งวาบ อยากจะทดลองเปิดตราผนึกนี้ออกดูว่าด้านในนั้นมีอะไรอยู่กันแน่ ทว่าหลังจากทดลองกลับพบว่าดูเหมือนผนึกนี้จะสร้างขึ้นมาจากกลิ่นอายความตาย หากคิดจะเปิดออกก็จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณฟ้าดินจำนวนมากมาโจมตีถึงจะได้ ซึ่งตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ไม่สามารถเปิดมันออกได้เลย!

“น่าสนใจ ไม่นึกว่าในสถูปสั่งสมวิญญาณที่มองดูเหมือนปกติมากนี้กลับมีตราผนึกที่โบราณอย่างนี้อยู่ด้วย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บพลังจิตกลับคืนมา หลังจากลูบคลำปลายคางครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ดวงตาก็พลันลุกเรือง

“คิดจะเปิดออกจำเป็นต้องใช้พลังฟ้าดินโจมตี…แม้ว่าตบะของข้าจะไม่พอ แต่ก็…ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่มีวิธีอื่น!”

“กะอีแค่สถูปวิญญาณเล็กๆ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นถึงฝีมือนายท่านป๋ายของเจ้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบถุงเก็บของหนึ่งครั้งก็มีแสงเปล่งวาบ ทันใดนั้นถังไม้ใบใหญ่ใบหนึ่งก็ถูกหยิบออกมาจากในถุงเก็บของ!

ถังไม้ใบใหญ่นี้สูงพอหนึ่งตัวคน กว้างห้าฉื่อกว่า เพิ่งจะหยิบออกมาก็มีพลังวิญญาณเข้มข้นพุ่งมาปะทะใบหน้า ซึ่งในถังนั้นบรรจุ…น้ำของแม่น้ำทงเทียนไว้เต็มถัง!!

นี่ก็คือวัตถุที่ตอนอยู่สำนักสยบธาร เพราะหน้ากากปั่นป่วนก่อกวนทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนต้องเอาน้ำนี้มาแช่หน้ากาก ภายหลังแม้แต่เขาเองก็ยังลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ตอนนี้เป็นเพราะในสถูปวิญญาณจำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณฟ้าดินมาโจมตี เขาถึงนึกขึ้นมาได้ว่าในถุงเก็บของของตัวเองยังมีวัตถุล้ำค่าเช่นนี้อยู่ด้วย

“น้ำของแม่น้ำทงเทียนคือวัตถุหายากในแดนทุรกันดารแห่งนี้ ข้ามีตั้งถังเบ้อเริ่ม ไม่ถึงกับเป็นมหาเศรษฐี แต่ก็รวยจนพอจะเป็นเจ้าคนนายคนได้เลยล่ะนะ”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก มองถังไม้ใบใหญ่ด้วยความลำพองใจอย่างมาก ก่อนจะเหลือบมามองสถูปวิญญาณผลึกใสด้วยมาดเย่อหยิ่ง

“ถังใบใหญ่ขนาดนี้ พลังวิญญาณที่แฝงเร้นอยู่ด้านในก็น่าจะโจมตีผนึกนี้ได้กระมัง” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนโชนแสง มือขวายกขึ้นทำมุทราชี้ไปยังสถูปวิญญาณนั่นหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นสถูปวิญญาณนี้ก็แผ่แรงดึงดูดออกมาแล้วดูดน้ำของแม่น้ำทงเทียนเกือบครึ่งให้พุ่งโจมตีครืนครั่นไปยังจุดลึกที่มีตราผนึก

ตลอดทั้งสถูปวิญญาณสั่นไหว พลังจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนผสานรวมลงไปในนั้นและตรวจสอบอย่างละเอียด แล้วก็เห็นว่าเมื่ออยู่ภายใต้พลังโจมตีของน้ำแม่น้ำทงเทียน ผนึกนั้นก็เริ่มเกิดลางที่จะปริแตก ทว่าขณะเดียวกันก็คล้ายจะมีเจตจำนงแห่งการผสานตัวเองรวมอยู่ด้วย

ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงทำมุทราชี้ไปทันที เพิ่มปริมาณน้ำของแม่น้ำทงเทียนให้ถูกดึงออกไปอีกเกินครึ่ง นั่นจึงทำให้ตราผนึกในสถูปวิญญาณคล้ายจะสูญเสียความสามารถในการประสานตัวเองไปเลยเริ่มปริแตกเป็นวงกว้าง และใกล้จะพังทลายลงทุกที

ทว่าเวลานี้เอง…ทันใดนั้นในรอยร้าวของตราผนึกที่กำลังจะแตกสลายกลับมีปราณน่าหวาดกลัวเป็นเส้นๆ ที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี จิตวิญญาณสั่นคลอนจนสมองเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว…มุดลอดออกมา!

ปราณนี้เพียงแค่เขาใช้พลังจิตไปรับสัมผัสเล็กน้อยก็ต้องสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แม้แต่ลมหายใจก็ยังเปลี่ยนมาเป็นถี่รัว สะดุ้งโหยงขึ้นมาทั้งตัว

“นี่คือ…นี่คือ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกรีดร้องเสียงแหลมพร้อมทำมุทราทันที หมายหยุดยั้งการโจมตีของน้ำแม่น้ำทงเทียน ใช้กำลังทั้งหมดที่มีดึงเอาน้ำของแม่น้ำทงเทียนที่อยู่ในสถูปวิญญาณกลับคืนมา

ยังดีที่การกระทำของเขารวดเร็ว เมื่อน้ำของแม่น้ำทงเทียนในสถูปวิญญาณถูกดึงออกมา ผนึกนั่นถึงได้ไม่พังทลายต่อ

แต่กลับสูญเสียพลังในการฟื้นตัวไปแล้วจึงคงสภาพผุพังเอาไว้ ซึ่งดูเหมือนว่าขอแค่เพิ่มพละกำลังอีกนิดก็สามารถทำลายมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ป๋ายเสี่ยวฉุนปรับลมหายใจ หน้าเปลี่ยนสีอย่างต่อเนื่อง เขาสูดลมหายใจเฮือกๆ ไม่หยุด จ้องเป๋งไปที่สถูปวิญญาณซึ่งอยู่เบื้องหน้าด้วยนัยน์ตาที่ฉายแววหวาดกลัว…

“ความรู้สึกที่ปราณนั้นมอบให้ข้าเหนือชั้นเกินกว่าคนฟ้าทุกคนที่ข้าประสบพบเจอมา…คล้ายคลึงกับพลังอำนาจที่ใบไม้ซึ่งถูกหลอมพลังจิตยี่สิบเอ็ดครั้งแผ่ออกมาตอนอยู่ในพื้นที่การประลองเขาวงกตอย่างมาก นี่…นี่เหนือเกินกว่าคนฟ้า หรือว่านั่นคือ…ครึ่งเทพ สวรรค์ ในนี้ปิดผนึกสิ่งใดเอาไว้กันแน่!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!