Skip to content

A Will Eternal 600

บทที่ 600 วิญญาณคนฟ้า

พื้นที่บรรพชนตระกูลป๋ายหากเปิดจากข้างนอก ทุกครั้งที่เปิดจำเป็นต้องใช้เวลาในการเตรียมการนานมาก อีกทั้งยังต้องเผาผลาญทรัพยากรไปไม่น้อยถึงจะได้ โดยเฉพาะช่วงเวลาในการเปิดทิ้งไว้ก็ต้องสิ้นเปลืองไปมากมหาศาล

ดังนั้นทุกครั้งจึงมักจะเปิดเพียงแค่เสี้ยวเดียว หลังจากที่คนในตระกูลเข้าไปแล้วก็จะปิดตัวลงด้วยตัวเอง และหากจะให้มันเปิดขึ้นอีกครั้งก็จำเป็นต้องให้คนที่อยู่ข้างในได้รับวิญญาณคนฟ้าเสียก่อน อาศัยพลังของวิญญาณคนฟ้ามาเป็นตัวล่อโดยการเปิดพื้นที่บรรพชนจากด้านใน ทำให้ทุกคนหวนคืนกลับมาได้

การเปิดออกมาจากข้างในเช่นนี้จะไม่ทำลายคุณภาพของวิญญาณคนฟ้า เพราะคำว่าพื้นที่บรรพชน อันที่จริงแล้วก็คือพื้นที่ลับในตระกูลป๋ายที่เหมาะสำหรับหล่อเลี้ยงวิญญาณมากที่สุด

ยามนี้เมื่อคำพูดของประมุขตระกูลป๋ายดังจบ ป๋ายฉีก็ขยับตัวพุ่งเข้าไปที่ประตูหินเป็นคนแรก ด้านหลังของเขามีคนห้อมล้อมอยู่หลายสิบคน ต่างคนต่างบินออกมา ก่อนที่คนอื่นๆ ในตระกูลป๋ายจะพากันพุ่งตัวเข้าไป

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวิบวับ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก สะกดกลั้นความตื่นเต้นที่พวยพุ่งขึ้นในใจลงไป เขารู้ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็อยู่ที่ครั้งนี้แล้ว

“หากสำเร็จก็ได้วิญญาณคนฟ้ามาครอง สามารถแก้แค้นให้กับป๋ายฮ่าวได้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอดแล้วบินพรวดออกไปยังรอยแยกตรงประตูหิน

เสียงกึกก้องดังสนั่นหวั่นไหว หลังจากที่คนหลายร้อยคนทยอยกันหายเข้าไปในรอยแยกของประตูหินแล้ว ไม่นานรอยแยกบนนั้นก็ประสานตัวกลับเข้าหากันดังเดิม

วินาทีที่มันปิดตัวลง ตลอดทั้งประตูหินก็บิดเบือนอยู่ชั่วครู่ จากนั้นบนประตูหินก็มีภาพต่างๆ สะท้อนขึ้นมา ภาพเหล่านั้นก็คือทุกอย่างที่เกิดขึ้นในพื้นที่บรรพชนตอนนี้!

สามารถมองเห็นได้ว่าในพื้นที่บรรพชนมียอดเขาที่สูงตระหง่านน่าครั่นคร้ามอยู่แห่งหนึ่ง ตรงตำแหน่งยอดเขามีวงแสงขนาดใหญ่ยักษ์อยู่หนึ่งวง ซึ่งพอจะเห็นได้รำไรว่าในนั้นมีแท่นบูชาอยู่แท่นหนึ่ง และบนแท่นบูชานั้นก็มี…วิญญาณคนฟ้าดวงหนึ่งตั้งวางอยู่!

วงแสงนี้ก็คือวงแสงที่แผ่ออกมาจากวิญญาณคนฟ้า

และพื้นที่อื่นๆ ของภูเขาสูงก็มีวงแสงเล็กๆ ใหญ่ๆ อยู่มากมาย ทุกที่ที่มีวงแสงดำรงอยู่ล้วนเป็นวัตถุที่เตรียมไว้มอบให้กับคนตระกูลป๋าย

มีทั้งอาวุธวิเศษ มีทั้งวิญญาณ มีทั้งวิชาคาถา ทรัพยากรหลากหลายชนิดล้วนมีครบถ้วนอยู่บนเขาสูงแห่งนี้ ทว่าหากต้องการได้มาครอบครอง คนผู้นั้นก็ต้องมีศักยภาพ ขณะเดียวกันก็ต้องมีโชควาสนาติดตัวด้วย

และเห็นได้ชัดว่ายิ่งเข้าใกล้ยอดเขา สีสันของวงแสงก็ยิ่งเข้มข้น แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของของรางวัลที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

ภาพเหตุการณ์นี้ดึงดูดทุกคนที่มารอดูอยู่นอกประตูหินได้ทันที อีกทั้งพวกเขายังได้เห็นว่าตอนนี้ตรงตีนเขากำลังมีเงาร่างมากมายทยอยกันปรากฏตัวราวกับถูกนำส่งมา

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าพร่าลาย หูมีเสียงกัมปนาทดังอื้ออึง แต่ไม่นานเมื่อเสียงนี้หายไป เมื่อเบื้องหน้าฟื้นคืนกลับสู่ความปกติ เขาก็หันขวับไปมองรอบด้านทันใดจึงได้เห็นว่าตัวเองอยู่กลางเศษชิ้นส่วนผืนหนึ่งของโลกที่เหมือนถูกตัดแยกออกมา

ที่นี่ก็มีท้องฟ้า มีพื้นดิน ทว่าท้องฟ้ากลับเป็นสีม่วง พื้นดินเป็นสีดำ เพียงแต่ว่าดวงอาทิตย์สีชาดนั้นขับให้ฟ้าดินแห่งนี้มองดูเหมือนมืดทะมึนไร้ที่สิ้นสุด

เขายิ่งมองเห็นยอดเขาน่ากริ่งเกรงแห่งนั้น มองเห็นวงแสงจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านบน ภูเขานี้ใหญ่เกินไป มันตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น แผ่พลานุภาพสยบที่เขย่าคลอนจิตใจของทุกคน

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ถึงแม้ว่าจะเขาสืบหาข้อมูลมาได้ไม่น้อยก่อนที่จะมาที่นี่ รู้ว่าในพื้นที่บรรพชนมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ทว่าตอนนี้พอได้มาเห็นกับตาตัวเองก็ยังอดตะลึงไม่ได้

“ภูเขาลูกนี้ให้ความรู้สึกกับข้า…เหมือนว่ามันไม่เข้ากับฟ้าดินที่อยู่ข้างนอก…ให้ความรู้สึกเหมือนมันเป็นวัตถุจากต่างถิ่นมากกว่า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแสดงสีหน้าสนอกสนใจ เขารู้สึกได้รำไรว่าภูเขาลูกนี้คล้ายคลึงกับกระบี่อุกกาบาตที่เขาได้เห็นในปีนั้นซึ่งในตำนานเล่ากันว่าร่วงลงมาจากนอกโลกอยู่หลายส่วน

ท่ามกลางการสังเกตการณ์นี้ สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดผ่านไปบนวงแสงที่ล้อมวนอยู่บนตัวภูเขา สุดท้ายมาตกอยู่ตรงกลางวงแสงที่น่าตะลึงที่สุดบนแท่นบูชาปลายยอดเขา เนตรทงเทียนกลางหว่างคิ้วของเขาปริเป็นรอยแยกเล็กๆ ที่คนอื่นมิอาจมองเห็น เมื่อเพ่งมองอย่างละเอียดจึงเห็นแท่นบูชานั้น รวมไปถึงที่ลอยอยู่บนแท่นบูชา…วิญญาณคนฟ้า!!

วิญญาณคนฟ้าดวงนี้เหมือนดินทรายกลุ่มหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือวิญญาณคนฟ้าธาตุดิน!

“หากข้าบุกเข้าไปตั้งแต่ตอนนี้…” หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นกระหน่ำ หลังจากมองอย่างละเอียดก็จำต้องยกเลิกความคิดนั้นไป บางทีคนอื่นอาจมองไม่ออก ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้เนตรทงเทียน เขาจึงมองเห็นได้รำไรว่ารอบด้านแท่นบูชานี้มีตราผนึกชั้นหนึ่งดำรงอยู่

ผนึกนี้มีปราณเลือดอยู่กลุ่มหนึ่ง จำเป็นต้องเป็นสายเลือดของคนตระกูลป๋ายเท่านั้นถึงจะฝ่ามันออกไปได้

หากใช้วิธีการอื่น ความยากในการทำลายจะมีไม่น้อย อีกทั้งยังเห็นได้ชัดด้วยว่ายิ่งระดับความเข้มข้นของสายเลือดสูงเท่าไหร่ การทลายผนึกก็ยิ่งเร็วมากขึ้นเท่านั้น

“หากข้าลงมือเวลาก็จะกระชั้นชิดเกินไป ทางที่ดีที่สุดคือให้คนอื่นๆ ทำลายกันไปก่อน รอจนได้วิญญาณคนฟ้ามาครอง ข้าค่อยไปแย่งชิงเอามา!”

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังสังเกตการณ์ รอบด้านก็มีเสียงสูดลมหายใจเฮือกๆ ดังลอยมา คนในตระกูลที่เข้ามายังพื้นที่บรรพชนมีมากหลายร้อยคน ยามนี้มีคนไม่น้อยที่ถูกวงแสงจำนวนนับไม่ถ้วนบนยอดเขาดึงดูดไป นัยน์ตาจึงเผยความรอคอย

ป๋ายเสี่ยวฉุนทำท่าทางครุ่นคิดแล้วก็มองไปรอบด้านอีกครั้ง จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าพื้นที่บรรพชนแห่งนี้ปิดลงแล้ว อีกทั้งยังมองออกด้วยว่าหากจะให้มันเปิดขึ้นอีกครั้ง นอกจากจะใช้วิญญาณคนฟ้ากระตุ้นจากภายในแล้ว มิฉะนั้นหากเปิดจากด้านนอกก็จำเป็นต้องใช้เวลาช่วงหนึ่ง นั่นจึงทำให้เขาตัดสินใจได้ทันที

“ไม่ต่างจากที่ข้าคิดไว้เท่าใดนัก…สวรรค์ช่างช่วยข้าซะจริง!”

หน้าอกของป๋ายเสี่ยวฉุนกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย สายตาก็กวาดไปมองรอบด้าน

“ก่อนหน้านี้ข้าสืบข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่บรรพชนมาบ้าง ตอนนี้คาดว่าคนในตระกูลที่อยู่ข้างนอกก็น่าจะมองเห็นภาพเหตุการณ์ในนี้ผ่านประตูหิน…แบบนี้ก็ดี ในเมื่อการลงมือของข้าจะต้องตกอยู่ในสายตาของคนอื่น ถ้าอย่างนั้นก็ถือโอกาสจบงานนี้ให้ยิ่งใหญ่ตระการตาไปเลย!” หลังจากตัดสินใจได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาจึงผินหน้าไปมอง แล้วก็เห็นป๋ายฉีที่ถูกห้อมล้อมด้วยคนหลายสิบคนซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกล และกำลังมองมายังตนด้วยสายตาที่แฝงไอสังหารทันที

มาถึงที่นี่ แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีเรื่องให้ต้องกังวลไม่น้อย ทว่าขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่เขาสามารถกำเริบเสิบสานอย่างไร้ความหวาดกลัวได้มากที่สุด ในเมื่อป๋ายฉีผู้นี้ถลึงตาใส่ตน ป๋ายเสี่ยวฉุนมีหรือจะกลัวหัวหด เขาจึงถลึงตาดุดันกลับไปเหมือนกัน

แสงเย็นเยียบในดวงตาป๋ายฉีพลันเปล่งวาบคล้ายเริ่มจะทนไม่ไหว ต้องการสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนเสียเดี๋ยวนี้ ทว่าสหายที่อยู่ข้างกายเขารุดหน้ามาพูดอะไรสองสามประโยคอยู่ข้างหูเขา ป๋ายฉีถึงได้ข่มอารมณ์ ก่อนจะหัวเราะเสียงเย็น

“ถูกต้อง การเอาวิญญาณคนฟ้ามาสำคัญที่สุด ถึงเวลาเมื่อวิญญาณคนฟ้ามาอยู่ในมือแล้ว วิธีการที่จะไปจากที่นี่ก็อยู่ในมือข้า ไม่ต้องกลัวว่าเจ้าป๋ายฮ่าวผู้นี้จะหนีไปได้ ในเมื่อตอนนี้มันกล้าเข้ามาก็ย่อมไม่มีทางได้รอดชีวิตกลับไปแน่นอน!” ป๋ายฉีสูดลมหายใจเข้าลึก เขาเข้าใจดีว่าตัวเองถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องได้รับวิญญาณคนฟ้า ดังนั้นก่อนหน้าที่วิญญาณคนฟ้ายังไม่มาอยู่ในมือ เขาจึงไม่อยากให้เกิดเรื่องยุ่งยากแทรกซ้อน ยามนี้จึงหมุนตัวกลับ พาคนหลายสิบคนที่อยู่ข้างกายห้อทะยานตรงไปยังยอดเขา

เวลาเดียวกันนั้นคนอื่นๆ ของตระกูลที่บ้างก็อยู่เพียงลำพัง บ้างก็รวมเป็นกลุ่มสามคนห้าคนต่างก็พากันพุ่งไปยังยอดเขา

เมื่อเห็นว่าป๋ายฉีเป็นฝ่ายถอนสายตากลับไปก่อน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง พูดกับตัวเองว่าตนโตมาขนาดนี้ เรื่องแข่งขันทางสายตา ตนไม่เคยแพ้ใครมาก่อน “คนที่ถลึงตาใส่ข้ามีเยอะนักล่ะ เจ้ามันตั้งอันดับที่เท่าไหร่แล้ว…” ยามนี้ด้วยความลำพองใจจึงเอามือไพล่หลังกำลังจะเดินขึ้นเขาสูงไป ทว่าอยู่ๆ ด้านหลังของเขาก็มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังลอยมา

“ป๋ายฮ่าว…ภูเขาลูกนี้มีพลังแห่งการสยบดำรงอยู่ นอกจากขึ้นไปได้ยากลำบากอย่างถึงที่สุดแล้ว พื้นที่บางส่วนยังมีอันตรายด้วย แม้ว่าสำหรับทุกคนแล้วความอันตรายนี้จะไม่ถือว่ายากลำบากมากนัก ทว่า…หากเป็นสร้างฐานรากช่วงต้นก็ยังถือว่ามีความเสี่ยง”

“ข้าเดินทางเพียงลำพังอยู่ที่นี่ก็ลำบากไม่น้อย เจ้ายินดีไปกับข้าหรือไม่?” คนที่พูดก็คือคุณหนูห้าผู้นั้น ดวงตาคู่งามของนางที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนฉายประกายแสงอ่อนโยน พูดกับเขาด้วยเสียงแผ่วเบา

ป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองคุณหนูห้าผู้นั้น หญิงสาวผู้นี้ไม่เพียงแต่ช่วยเอ่ยปากคลี่คลายปัญหาให้กับเขาตอนที่เขาเพิ่งมาถึงใหม่ๆ เมื่อวานตอนงานพิธีนางก็มองมายังตนด้วยความอ่อนโยนเช่นกัน อีกทั้งตอนนี้ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าต้องการปกป้องตน ทว่าถ้อยคำที่ใช้กลับเหมือนกลัวว่าจะทำลายความภาคภูมิใจในตัวเองจึงพูดอย่างละมุนละม่อมราวกับมองเห็นตนเป็นคนในตระกูลจริงๆ

ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลอยู่ชั่วครู่ เขารู้ถึงความหวังดีของอีกฝ่าย แต่เรื่องที่เขาต้องการทำ ไม่สะดวกนักที่จะพาคนอื่นไปด้วย ขณะที่กำลังสองจิตสองใจ เสียงหัวเราะดังกังวานก็ดังมาจากป๋ายเหลยที่ห่างออกไปไม่ไกล

“น้องห้าช่างดูแลน้องฮ่าวดีจริงๆ เอาเถอะ ข้าก็เข้าร่วมด้วยแล้วกัน ป๋ายฮ่าว พวกเราสามคนมารวมกลุ่มกันดีไหม” ป๋ายเหลยหัวเราะฮ่าๆ ก้าวเท้าเดินเข้ามาหา สายตาเหมือนจริงใจราวกับต้องการอยากผูกมิตรกับป๋ายฮ่าวจริงๆ

“พี่สามจะมาอยู่กับน้องย่อมเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว แต่ว่าเป้าหมายของพี่สามก็คือวิญญาณคนฟ้านั่นไม่ใช่หรือ” คุณหนูห้าพอได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มแย้ม เดิมทีนางก็หน้าตางดงามอยู่แล้ว ตอนนี้พอยกยิ้มก็ราวกับร้อยบุปผาผลิบาน ดูสวยแปลกตาไปอีกแบบ

“อย่าพูดถึงวิญญาณคนฟ้านั่นเลย ของที่กำหนดกันมาเป็นการภายในอยู่แล้ว พวกเราก็เป็นได้แค่ตัวประกอบเท่านั้น” ป๋ายเหลยถอนหายใจ รู้สึกไม่ยินยอมเล็กน้อย แล้วก็กลุ้มใจมากด้วย เมื่อคืนวานเขายังอารมณ์ฮึกเหิม ทว่าพอเช้าตรู่มาถึงกลับได้รับคำเตือนจากผู้อาวุโสในสายของเขา รู้ว่าวิญญาณคนฟ้าถูกกำหนดให้ต้องตกเป็นของป๋ายฉี อีกทั้งหลังจากที่ป๋ายฉีเป็นก่อกำนิดก็จะต้องหลอมพลังจิตให้ตัวอ่อนก่อกำเนิดของตัวเอง เพื่อช่วงชิงสิทธิ์ในการเป็นผู้สืบทอดจักรพรรดิหมิง

แม้ว่าเรื่องนี้จะดี แต่กลับมีวิกฤตความเป็นความตายดำรงอยู่ หลอมพลังจิตห้าครั้ง ใครก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะยังสามารถมีชีวิตรอดได้ต่อไป ป๋ายฉียินดี ทว่าเขาป๋ายเหลยกลับไม่ต้องการเช่นนี้ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะไม่ยินยอม ทว่าก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนยอมรับ

ยังดีที่ในตระกูลมีของอย่างอื่นชดเชยให้กับเขา นั่นถึงพอจะทำให้เขาสงบใจได้บ้าง

เมื่อเห็นว่าคนทั้งสองต่างก็เอ่ยปากขนาดนี้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่สามารถปฏิเสธต่อได้อีก แม้ว่าเขาจะพอเข้าใจคุณหนูห้าผู้นั้นอยู่บ้างว่าบางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกสงสารเห็นใจป๋ายฮ่าว ทว่าทางฝ่ายป๋ายเหลยนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองหนึ่งครั้งก็เข้าใจว่าการที่คนผู้นี้มาตีสนิทตนต้องมีเจตนาอื่นอย่างแน่นอน และคงหนีไม่พ้นที่คิดจะใช้ตนไปสร้างข้อพิพาทกับป๋ายฉี

“เอาเถอะ ป๋ายฉีผู้นั้นกว่าจะได้วิญญาณคนฟ้ามายังต้องใช้เวลา ในเมื่อคุณหนูห้าหวังดี ข้าก็ควรต้องตอบแทนนางเสียหน่อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดเล็กน้อยก็ยิ้มแล้วพยักหน้ารับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!