Skip to content

A Will Eternal 611

บทที่ 611 เจ้าลูกทรยศ ตายซะเถอะ

“ได้วิญญาณดินคนฟ้านี้มา…การเดินทางไปตระกูลป๋ายครั้งนี้แม้จะเสี่ยงอันตราย แต่ก็…คุ้มแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะคิดมาถึงตรงนี้ก็พลันเกิดความระแวงภัย รู้สึกว่าตนคิดแบบนี้เป็นอะไรที่เสี่ยงมาก เห็นได้ชัดว่านี่คือความรู้สึกของคนที่ต้องเสี่ยงตายกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการมาครอง เขาจึงตกใจจนตัวสั่น รีบแก้ไขแนวโน้มความผิดพลาดของตัวเองอีกครั้ง

“ไม่ถูกๆ ความคิดของข้าผิดอีกแล้ว ไม่คุ้ม ไม่คุ้มกันเลยแม้แต่นิดเดียว…วิญญาณคนฟ้านี่ถือว่าเป็นแค่การปลอบใจตัวเองเท่านั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบหัวตัวเองป้าบใหญ่คล้ายต้องการจะขับไล่ทัศนคติที่ไม่ถูกต้องให้ออกไปจากสมอง

“แต่ว่าหากลองคิดมุมใหม่ ตัวข้าอยู่ในแดนทุรกันดาร เดิมทีก็เต็มไปด้วยอันตรายอยู่แล้ว กะเกณฑ์อะไรเองไม่ได้อยู่ดีนี่นา” คิดเสร็จป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้หยิบวิญญาณคนฟ้าออกมาด้วยสายตารอคอย ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอามันกดลงไปบนหน้าอกตัวเองอย่างแรง!

วินาทีที่วิญญาณคนฟ้าถูกป๋ายเสี่ยวฉุนกดลงไปบนหน้าอก เขาก็ยังคงใช้เวทลับการเขมือบกลืนวิญญาณคนฟ้าที่ได้รับจากในสุสานใต้ดินมาโคจรอยู่ในร่างของตัวเองอย่างรวดเร็ว

เมื่อเริ่มโคจร วิญญาณดินคนฟ้านั้นก็เปล่งประกายแสงสีเหลืองออกมา

และพริบตาเดียวแสงนี้ก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสาดส่องไปแปดทิศ กลายมาเป็นเส้นแสงจำนวนนับไม่ถ้วนที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ากำลังพุ่งตรงเข้ามาผสานรวมไปทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน

ความรู้สึกที่หายไปนานบังเกิดขึ้นกลางใจของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง สำหรับการผสานรวมคนฟ้าเช่นนี้ คนอื่นไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน แต่ในเมื่อเขามีประสบการณ์มาแล้วสามครั้งก็ย่อมไม่รู้สึกแปลกใหม่

หลังจากที่ปรับลมหายใจของตัวเองและเมื่อแสงทั้งหมดผสานรวมเข้ามาในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลืมตาขึ้นช้าๆ

เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าถึงแม้ตบะของตัวเองจะไม่ได้เพิ่มขึ้น ทว่าพลังในการต่อสู้ของเขา…มาบัดนี้กลับเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย เขาสัมผัสได้เด่นชัดว่าในร่างกายของตัวเองมีน้ำวนที่น่าตะลึงซ่อนอยู่สี่ลูก

ในน้ำวนสี่ลูกนี้ต่างก็มีร่างจำแลงร่างหนึ่งของเขาอยู่

และร่างจำแลงทั้งสี่นี้ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือพลังกล้ามเนื้อก็ล้วนไม่ต่างไปจากตัวจริงของเขา แม้แต่พลังจิตก็ยังเหมือนกัน หากปลดปล่อยออกมา นับรวมเข้ากับตัวจริงไปด้วยก็เท่ากับกลายมาเป็นห้าคน!

ยาอายุวัฒนะวิถีฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบห้าคน ห้าวิชาอมตะมิวางวายที่สัมผัสกับพันธนาการชั้นสาม! ไม่ว่าจะเป็นคนไหนก็ล้วนสามารถต่อสู้กับก่อกำเนิดขั้นตน หรือแม้แต่สังหารอีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!

และหากปรากฏตัวพร้อมกันทั้งหมด…ระดับความน่ากลัวนี้ต่อให้เป็นก่อกำเนิดช่วงกลางแล้วอย่างไร!

ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นขึ้นมาทันใด ทั้งยังมากด้วยความฮึกเหิมอย่างรุนแรง บัดนี้เขาถึงได้รู้สึกว่าในที่สุดตนที่อยู่แดนทุรกันดารก็มีพลังในการปกป้องตัวเองบ้างแล้ว

“ข้ามีร่างจำแลงสี่ร่างใหญ่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบตามมาไล่ฆ่า หากคิดจะบดขยี้ข้าแบบเต็มกำลังก็แทบจะเป็นไปไม่ได้…นอกเสียจากว่าคนฟ้าจะมาเอง แต่หากบุรพาจารย์คนฟ้าของตระกูลป๋ายผู้นั้นมาฆ่าข้าจริงๆ ข้าก็คงได้แต่เอาสถูปวิญญาณครึ่งเทพออกมาใช้!” หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นรัวเร็วเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะตื่นเต้น ทว่าตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

อีกอย่างเขาก็เข้าใจดีว่าตระกูลป๋ายไม่มีทางปล่อยตนไปแน่ หลังจากนี้ไปเกรงว่าคงจะมีคนมาไล่ฆ่าอย่างต่อเนื่อง แต่เขาเชื่อว่าหากถ่วงเวลายืดยาวไปเรื่อยๆ ตระกูลป๋ายก็ต้องแบกรับไม่ไหวแน่นอน

“งั้นก็มาดูกันว่าพวกเราใครจะยืนหยัดได้ถึงท้ายที่สุด หากบีบให้ข้าร้อนใจจนข้าเอาสถูปวิญญาณครึ่งเทพออกมาใช้เข้าจริงๆ ต่อให้ข้าจะสังหารคนฟ้าที่บาดเจ็บสาหัสไม่ได้ แต่ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าคนของอีกสองตระกูลใหญ่และคนจากนครผียักษ์ รวมไปถึงศัตรูของตระกูลป๋ายจะไม่ฉวยโอกาสได้ทีขี่แพะไล่!”

หลังจากที่ใคร่ครวญอย่างละเอียด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กัดฟันกรอดแล้วหมุนขวับบินทะยานออกไปไกล เป้าหมายของเขาไม่ใช่นครผียักษ์ แต่คิดจะเข้าไปยังจุดลึกของแดนทุรกันดาร หมายจะถ่วงเวลาออกไป

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนบินไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว นอกตระกูลป๋าย บนร่างของประมุขตระกูลป๋ายอบอวลไปด้วยปราณดุร้าย อึมครึมน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด รอบกายเขามีวิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังเปล่งเสียงร้องแหบโหย ซึ่งพวกมันรวมตัวกันขึ้นมาเป็นเรือวิญญาณขนาดใหญ่ยักษ์ลำหนึ่งที่กำลังพาเขาโดยสารไปด้วยความเร็วอันน่าตกใจ ทำให้ตลอดทางเกิดเสียงอากาศระเบิดซัดเป็นทอดๆ

ความเร็วนี้เร็วเกินกว่าความสามารถของตัวประมุขตระกูลป๋ายเองแล้ว เวทลับเช่นนี้ต่อให้เป็นเขาเองก็ยังต้องเผาผลาญพลังไปมหาศาล ทว่าในฐานะที่เขาเป็นประมุขตระกูลป๋าย เขามียาวิญญาณจำนวนมากช่วยชดเชยให้จึงไม่จำเป็นต้องกังวลใจกับความสิ้นเปลืองนี้

เพียงแต่ว่าเขายังคงไม่พอใจกับความเร็วเช่นนี้ ดังนั้นจึงใช้ตบะของตัวเองไปปลุกเสกพลังให้กับเรือวิญญาณใต้ร่างอย่างไม่ลังเล ทำให้ความเร็วของเรือวิญญาณระเบิดขึ้นอีกครั้ง

ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว มันกลายร่างเป็นภาพติดตาอยู่ระหว่างฟ้าดิน มุ่งหน้าไล่ตามไปยังทิศทางที่ตราแห่งจิตของบุรพาจารย์ชี้บอกไว้ในสมองของเขา

“เร็วอีกหน่อย!!” ในตราแห่งจิตนั้นประมุขตระกูลป๋ายสัมผัสได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็วยังห่างจากตนอีกไกลมาก หากเขายังคงรักษาความเร็วเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสามวันถึงจะตามไปทัน

สามวันนี้ไม่พูดถึงขอบเขตที่บุรพาจารย์กำหนดมา แม้แต่ตัวของประมุขตระกูลป๋ายเองก็รอไม่ไหวเหมือนกัน ใจที่อยากสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนของเขาเหมือนถูกหลุมดำกลืนกินจนหลงเหลือเพียงความมืดมิดที่มากพอจะอาบย้อมไปทั่วทั้งนภากาศ

เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้ดวงตาของประมุขตระกูลป๋ายก็แดงฉาน พลันยกมือขวาขึ้นตบลงไปบนหน้าผากของตัวเองอย่างแรง การตบครั้งนี้ทำให้กลางหว่างคิ้วของเขามีแสงสีม่วงเส้นหนึ่งบินพรวดออกมาทันที

พอปรากฏตัว แสงสีม่วงนี้ก็ทำให้ความว่างเปล่ารอบกายเขากลายเป็นสีม่วงในช่วงพริบตา นั่นคือผ้าใบเรือผืนเล็กสีม่วงผืนหนึ่ง เมื่อประมุขตระกูลป๋ายทำมุทรา ผ้าใบนี้ก็โบกสะบัดรับลมแล้วขยายใหญ่ ก่อนจะถูกเขาคว้ามาถือไว้ในมือ

“เจ้าลูกทรยศ เจ้าหนีไม่รอดหรอก!” ประมุขตระกูลป๋ายพลันอ้าปากกว้างพ่นปราณแห่งชีวิตจากร่างตนเองใส่ผ้าใบสีม่วงผืนใหญ่ ทันใดนั้นแสงบนผ้าใบผืนใหญ่นี้ก็เปล่งประกายขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันประมุขตระกูลป๋ายก็หยิบเอายาวิญญาณจำนวนมากออกมาผสานรวมเข้าไปในผ้าใบผืนใหญ่

ผ้าใบผืนใหญ่ส่งเสียงดังกัมปนาททันควัน ตามมาด้วยความว่างเปล่ารอบด้านที่ชักนำสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนให้ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ ดวงตาของประมุขตระกูลป๋ายเผยแสงแดงก่ำ ก่อนจะปักผ้าใบนี้ลงไปบนเรือวิญญาณที่อยู่เบื้องล่างอย่างแรง

ตูม!

เรือวิญญาณสั่นสะเทือน สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนแลบปลาบไหลวนอยู่ภายใน ก่อนที่ความเร็วของมันจะเพิ่มมากกว่าเดิมถึงสิบกว่าเท่า!

ประหนึ่งกระสวยที่แล่นฉิวไปอย่างรวดเร็ว หากใช้สายตามองก็เหมือนว่ามันจะเยื้องกรายไปถึงได้ในชั่วพริบตา ความเร็วเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ก่อกำเนิดจะมีได้ นี่คือความเร็วระดับของคนฟ้าแล้ว!

และค่าตอบแทนสำหรับความเร็วเช่นนี้ก็คือยาวิญญาณที่ถูกเผาผลาญไปในจำนวนน่าตกใจทุกๆ ชั่วลมหายใจ ต่อให้เป็นประมุขตระกูลป๋ายที่มียาวิญญาณจำนวนมากก็ยังไม่สามารถค้ำประคองได้นานนัก มากสุดคือหนึ่งชั่วยามเท่านั้น!

“หนึ่งชั่วยามก็มากพอจะไล่ตามเจ้าทัน!!” ความบ้าคลั่งของประมุขตระกูลป๋ายทำให้เขาไม่เสียดายแล้วว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นไร ท่ามกลางเสียงสวบๆ ที่ดังไม่ขาดสาย เรือวิญญาณลำนั้นก็แหวกอากาศไล่ตามไปยังตำแหน่งของป๋ายเสี่ยวฉุน พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ด้วยความเร็วที่แทบจะเรียกได้ว่าสยบฟ้านี้

เมื่อเวลาผ่านไป ลมหายใจของประมุขตระกูลป๋ายก็เริ่มถี่กระชั้น เขาสัมผัสได้ว่าตนขยับเข้าไปใกล้ตำแหน่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…

“อยู่ข้างหน้านี่เอง!!” ประมุขตระกูลป๋ายพลันเงยหน้ามองไปทิศไกล แล้วเขาก็เห็นทันทีว่าห่างไปไกล ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังหันกลับมามองด้วยสีหน้าตกใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจมากจริงๆ ตามความคิดเขา นอกเสียจากบุรพาจารย์คนฟ้ามาเอง หาไม่แล้วย่อมไม่มีใครตามมาทันตนในเวลาหนึ่งชั่วยามแน่นอน

อีกทั้งก่อนหน้านี้ที่เขารู้สึกว่ามีคนไล่ตามมาก็ได้รีบหยิบเอาสถูปสั่งสมวิญญาณครึ่งเทพออกมารอเอาไว้แล้วจ้องเป๋งไปยังทิศที่อีกฝ่ายพุ่งมา

ทว่าไม่นานเมื่อเขาเห็นเรือวิญญาณลำนั้น เห็นประมุขตระกูลป๋ายที่อยู่บนเรือวิญญาณ เขาก็ถึงกับอึ้งงันไปทันที มองไปรอบด้านด้วยความคลางแคลงใจ เขารู้สึกคาดไม่ถึงเล็กน้อย ไม่คิดว่าประมุขตระกูลป๋ายผู้นี้จะกล้าไล่ตามตนมา…

ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็ยิ่งจ้องนิ่งไปยังผ้าใบผืนใหญ่ ผ้าใบผืนนี้ให้ความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนกับเขา และเหมือนว่าเขาจะเห็นดวงตาข้างหนึ่งที่อยู่บนผืนผ้าใบได้รำไร

ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ดวงตาของคนฟ้า แต่เป็นความรู้สึกประมาณเดียวกับเจินหลิงที่เขาได้เห็นตอนอยู่สำนักสยบธาร และเจินหลิงของเจดีย์สูงในกำแพงเมืองมากกว่า…แม้จะไม่ได้แรงกล้าเท่าของสำนักสยบธารและของกำแพงเมือง ทั้งยังอ่อนด้อยกว่าเยอะมาก ทว่าในด้านความรู้สึกกลับคล้ายคลึงกัน

“หรือว่ามีกับดัก?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกผิดปกติ ตอนที่เขากำลังมองไปรอบด้าน เสียงคำรามเดือดดาลของประมุขตระกูลป๋ายก็ดังสนั่นหวั่นไหว

“เจ้าลูกทรยศ ตายซะเถอะ!!”

เสียงตูมตามดังก้องไปยันชั้นฟ้า

ประมุขตระกูลป๋ายอาศัยความเร็วน่าตะลึงควบคุมให้เรือวิญญาณพุ่งเข้าชนป๋ายเสี่ยวฉุนทันที ความเร็วนั้นมีมากเกินไปจนป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี รีบร่ายความเร็วสุดขีดของตัวเองออกมาจนรอบด้านเปลี่ยนมาเป็นเชื่องช้า ทว่าความช้านี้กลับใช้ไม่ได้ผลนักกับเรือวิญญาณ

เขาจึงได้แค่เบี่ยงตัวหลบมาได้อย่างฉิวเฉียดเท่านั้น เสียงหวีดหวิดดังขึ้นข้างหูตอนที่เรือวิญญาณแล่นฉิวผ่านกายไป ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงกับตาค้างแข็งทื่อ รีบถอยกรูดหลบฉากอย่างว่องไว

“ความเร็วเช่นนี้ นี่มันสมบัติล้ำค่านี่นา หรือว่าเขาไล่ตามมาฆ่าข้าคนเดียวจริงๆ?” หลังจากที่ถอยหลบมาแล้ว ต่อให้ในพลังจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนจะสัมผัสได้ว่ารอบด้านไม่มีคนอื่น ทว่าเขาก็ยังเชื่อไม่ลงอยู่ดี

“บุรพาจารย์ตระกูลป๋าย ข้ามองเห็นเจ้าแล้ว ออกมาเถอะ!”

“แล้วก็พวกผู้อาวุโสทั้งหลายด้วย ข้าก็เห็นพวกเจ้าแล้วเหมือนกัน ออกมาซะ!”

ขณะที่ก้าวถอย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แสร้งคำรามขู่ไปรอบๆ อยู่สองสามประโยค ประมุขตระกูลป๋ายกระโดดผลุงบินออกมาจากเรือวิญญาณ เมื่อมือทั้งคู่ทำมุทรา อากาศรอบกายเขาก็กลายมาเป็นวิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วน พอวิญญาณพยาบาทพวกนี้รวมตัวกันก็จำแลงมาเป็นหัวผีร้ายใหญ่ยักษ์น่าเกลียดน่ากลัว มันร้องคำรามอ้าปากกว้างพุ่งเข้ามาหมายเขมือบป๋ายเสี่ยวฉุน

“แค่ข้าผู้อาวุโสคนเดียวก็มากพอจะสังหารเจ้าได้แล้ว ป๋ายฮ่าว เจ้าฆ่าลูกชายที่รักของข้า วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้ลิ้มรสความรู้สึกของคนที่อยู่ไม่สู้ตาย!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!