บทที่ 652 วิญญาณครึ่งเทพระเบิด
ถ้อยคำน่าตะลึงของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้ทุกคนที่อยู่รอบด้านต่างก็คิดจินตนาการไปไกล หากเขาพูดจาไร้สาระก็ยังพอทำเนาเพราะคงไม่มีใครให้ความสนใจ ทว่าเนื้อความในคำพูดของเขากลับอยู่นอกเหนือการคาดเดาของทุกคนแต่ถึงกระนั้นก็ยังสมเหตุสมผล บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายสูดลมเฮือกๆ ขนาดเขายังเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ เลย
แถมผู้ฝึกวิญญาณหลายคนยังหันขวับมามองบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายด้วย
เพราะความหมายที่แฝงเร้นอยู่ในคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนสอดคล้องกับการวิเคราะห์ที่ทุกคนมีต่อบุรพาจารย์คนฟ้า การวางแผนอันแยบยลลึกล้ำเช่นนี้หากเป็นเรื่องจริง ทุกคนก็ไม่รู้สึกแปลกใจเท่าใดนัก
เพราะอย่างไรซะ…นี่ก็คือศึกที่มีหัวของบุรพาจารย์ทั้งสามตระกูลเป็นเดิมพัน!
ขณะที่ทุกคนใจแกว่ง ม่านตาของบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายหดตัว คลี่ยิ้มบนใบหน้า ทว่ารอยยิ้มนี้เพิ่งจะปรากฏ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่หิ้วตัวราชาผียักษ์เข้ามาใกล้หมายจะมอบให้กับบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายด้วยท่าทางนอบน้อม พอเขามาถึงในระยะสิบจั้ง ทันใดนั้น…
บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายพลันหน้าเปลี่ยนสี เพราะอย่างไรซะเขาก็คือคนฟ้า
ร่างย่อมผสานรวมเป็นหนึ่งกับฟ้า การรับสัมผัสด้วยพลังจิตจึงเฉียบไว อีกทั้งยังรู้สึกไวต่อเหตุการณ์แปลกประหลาดและวิกฤตอันตรายมากเป็นพิเศษ
ยามนี้หัวใจเขาเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง วิกฤตความเป็นความตายระลอกหนึ่งที่บอกไม่ถูกพลันลอยขึ้นมากลางใจของเขา เขาจึงทำท่าหมายจะถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่างกับป๋ายเสี่ยวฉุนโดยสัญชาตญาณ วิกฤตความเป็นความตายที่เกิดขึ้นนี้ ในส่วนลึกของจิตใจเขาทำให้เขารู้สึกว่าวิกฤตนี้มาจาก…ป๋ายเสี่ยวฉุน
แม้ว่าทุกอย่างนี้จะทำให้เขาเหลือเชื่อ แต่ความรู้สึกถึงวิกฤตในใจของบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายก็ยังทำให้เขาแผดเสียงคำรามดังลั่น
“หยุดนะ!” ระหว่างที่ร้องคำราม ร่างของเขาก็กำลังจะก้าวถอยหลัง ทว่าเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเงยหน้าขึ้น สีหน้ามีความบ้าคลั่งและดุร้ายวาบผ่าน
“ตายซะเถอะ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะเบ็งเสียงคำรามเช่นกัน มือซ้ายของเขายกตบลงไปบนถุงเก็บของ สถูปวิญญาณผลึกใสพลันปรากฎอยู่กลางมือ ก่อนที่เขาจะขว้างมันเข้าใส่บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายอย่างสุดกำลัง!
เสียงสวบดังลั่น สถูปวิญญาณนี้พุ่งทะยานไปหาบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายด้วยความเร็วถึงขีดสุด!
สถูปนี้มองดูเหมือนไม่มีอะไรสะดุดตา ทว่าวินาทีที่ปรากฏตัวและพุ่งเข้ามาใกล้กลับทำให้บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายรู้สึกเหมือนหนังหัวจะระเบิดออก วิกฤตความเป็นความตายที่รุนแรงกว่าก่อนหน้านี้หลายต่อหลายเท่าตัวทำให้ในสมองของเขาเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องที่เปล่งออกมาจากเลือดเนื้อทุกก้อนในเรือนกาย
“วัตถุนี้สามารถคุกคามชีวิตของข้าได้!! มิอาจต้านทาน ต้องหลบเลี่ยงโดยเร็ว!!” บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายตัวสั่นเทิ้ม เขาตั้งตัวได้ทันที รู้ว่าเวลากระชั้นชิด ร่างจึงเริ่มพร่าเลือน เลือกที่จะหายตัวหลบภัยครั้งนี้!!
แต่ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป นับตั้งแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาใกล้จนกระทั่งโยนสถูปวิญญาณออกมา การกระทำทั้งหมดของเขาล้วนทำให้คนตั้งรับไม่ทัน อีกอย่างที่สำคัญที่สุดก็คือ…
ระยะห่างระหว่างบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายกับป๋ายเสี่ยวฉุนนั้น ใกล้กันเกินไป!
ระยะห่างสิบจั้งเดิมทีก็ใกล้มากอยู่แล้ว แถมสถูปวิญญาณยังถูกป๋ายเสี่ยวฉุนโยนออกมาเต็มแรง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้มันขยับเข้ามาใกล้รวดเร็วยิ่งกว่าเดิม…วินาทีที่สถูปวิญญาณนั้นเข้ามาใกล้จึงห่างกับบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายแค่ไม่กี่จั้งเท่านั้น!!
แทบจะขณะเดียวกันกับที่ร่างของบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายเริ่มพร่าเลือน
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เงยหน้าแผดเสียงคำรามเดือดดาลสะท้านฟ้า
“ตูมๆๆ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระตุ้นตราผนึกในสถูปวิญญาณทันทีอย่างไม่ลังเล ส่วนร่างของเขาก็ถอยกรูดออกห่างอย่างรวดเร็ว ระเบิดความเร็วของตัวเองถึงจุดสูงสุด!
แถมยังร่ายใช้ผนึกมิวางวายถอยร่นเร็วจี๋ และไม่ลืมที่จะยกร่างราชาผียักษ์มาบังไว้ด้านหน้าตัวเอง กระนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไม่วางใจจึงฉวยโอกาสตอนที่สายตาทุกคนไปรวมกันอยู่บนสถูปวิญญาณแอบเอาหม้อลายกระดองเต่าออกมาบังระหว่างตนกับราชาผียักษ์ด้วย!
ทั้งหมดนี้พูดแล้วเหมือนยาว แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเกิดขึ้นชั่วสายฟ้าแลบ เร็วจนน่าเหลือเชื่อ พริบตาเดียวผนึกในสถูปวิญญาณก็ระเบิดกระจายแล้วพังทลาย เป็นเหตุให้เศษซากวิญญาณครึ่งเทพที่อยู่ด้านในถูกปลุกให้ตื่น ชั่วขณะที่เขาตื่นขึ้นมา ปราณแห่งการดับทำลายระลอกหนึ่งก็พวยพุ่งขึ้นเทียมฟ้า!
ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมและเมฆซัดกลิ้งตลบอบอวลคล้ายมีพลานุภาพสยบไร้คำบรรยายระลอกหนึ่งเยื้องกรายลงมาจากฟากฟ้า บดขยี้ทุกสรรพสิ่งให้แหลกลาญ!
“วิญญาณครึ่งเทพ!!!” บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ตะลึงลานอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ในใจเกิดเสียงดังกึกก้อง วิกฤตความตายระเบิดปะทุอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขากรีดร้องเสียงแหลม ล้มเลิกการหายตัวแล้วถอยกรูดว่องไว ทว่ามันสายไปแล้ว!
ปราณของครึ่งเทพนี้น่าครั่นคร้ามเกินไป นาทีที่ปรากฏขึ้นก็ราวกับพายุบ้าคลั่งที่พัดตะลุยกวาดทำลายฟ้าดิน ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบด้านร้องอุทานเสียงหลงตื่นตกใจ พากันหน้าเปลี่ยนสี
“ปราณของครึ่งเทพ!!”
“นั่นคืออะไร!!”
“สวรรค์…”
เสียงเอ็ดอึงยังไม่ทันยุติ เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าที่ราวกับจะแหวกสวรรค์ผ่าปฐพีก็ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ นภากาศราวกับจะแหลกละเอียด พื้นดินคล้ายจะถล่มทลาย เสียงนั้นดังมากจนเกริกก้องไปทั่วทั้งนครผียักษ์ คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้ยินรู้สึกเหมือนแก้วหูจะดับ แถมท่ามกลางเสียงอึกทึกนี้แผ่นดินยังเริ่มมีรอยแตกร้าวแล้วด้วย!
พลังโจมตีแห่งความพินาศวอดวายคล้ายมียักษ์ตัวใหญ่ค้ำฟ้าเหวี่ยงหมัดจากนภากาศลงมายังนครผียักษ์ เขย่าคลอนเมืองทั้งเมือง ท้องฟ้าสีสันซีดเซียว ก้อนเมฆถูกลมแรงม้วนตลบซัดปั่นป่วน ความว่างเปล่าเกิดเป็นรอยปริแตกแผ่ไปทั่วผืนฟ้าในระยะพันลี้!
หมัดนี้กระแทกลงบนพื้นดินทำให้แผ่นดินกว้างใหญ่ยุบยวบเป็นหลุมยักษ์ ตามมาด้วยคลื่นโจมตีที่ซัดออกไปสี่ทิศอย่างดุเดือด เสียงครืนครั่นดังก้องเป็นทอดๆ บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายเจอเข้ากับการโจมตีนี้อย่างจัง เขาหวีดร้องโหยหวนด้วยความทรมานช่วงสั้นๆ ก่อนที่ร่างกายของเขาจะถูกพลังโจมตีแห่งการดับทำลายนี้กลบทับไปจนมิด!
สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่อยู่รอบด้าน หรือแม้แต่นักพรตที่อยู่ใกล้เคียงล้วนพยายามสุดกำลังเพื่อต้านทานพลังโจมตีนี้ แต่กลับยังคงถูกแรงโจมตีทำลายล้างปกคลุมไปโดยตรง
ตูมๆๆ ครืนๆๆ!!
เสียงนี้ก้องสะท้อนไปทั่วฟ้าดิน เขย่าคลอนความว่างเปล่า คนจำนวนนับไม่ถ้วนไม่ทันได้เปล่งเสียงร้องร่างก็แหลกสลายไปทั้งกายและจิตวิญญาณ
คนมากมายของตระกูลป๋าย พวกผู้อาวุโสในตระกูลก็ล้วนเป็นเช่นเดียวกัน เพราะเดิมทีก็มิอาจต้านทานได้อยู่แล้ว เมื่อเจอกับการโจมตีนี้ ร่างกายของพวกเขาแต่ละคนจึงสลายกลายเป็นเถ้าธุลี…
ต่อให้เป็นประมุขตระกูลป๋ายที่เพราะคราวก่อนถูกป๋ายเสี่ยวฉุนจับตัว บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายเลยมอบอาวุธวิเศษพิทักษ์ชีวิตให้แก่เขา ยามนี้เขาเอาอาวุธวิเศษชิ้นนั้นออกมาใช้ แต่ถึงกระนั้นร่างครึ่งหนึ่งของเขาก็ยังหายวับเหลือเพียงความว่างเปล่า แขนทั้งสองข้างระเบิดแหลกเหลว หน้าอกชุ่มโชกไปด้วยเลือด เส้นผมก็ไม่มีแล้ว ตบะพังทลาย ร่างถูกเหวี่ยงออกไปอย่างรุนแรง แม้จะเป็นเช่นนี้แต่ก็ถือว่ารักษาชีวิตเอาไว้ได้
“ไม่…นี่ไม่ใช่เรื่องจริง!! ป๋ายฮ่าว ป๋ายฮ่าว!!!” ประมุขตระกูลป๋ายตัวสั่นเทิ้มร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน ดวงตาทั้งคู่ยังคงมีความบ้าคลั่ง ทว่าที่มากกว่านั้นกลับเป็นความสิ้นหวัง เสียงที่รวดร้าวของเขาดังไปทั่วสี่ทิศทำเอาคนที่ได้ยินสยองขวัญ
ตลอดทั้งขอบเขตของแม่น้ำพิทักษ์เมือง เมื่อมองไปพื้นดินเกิดเป็นหลุมลึกยุบยวบขนาดมหึมา…ปราณแห่งการดับทำลายแผ่อวล ต่อให้ห่างไปไกลมากก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจน ทำให้คนหนาวสะท้านจนขนหัวลุก
เมื่อแรงโจมตีทำลายล้างนั้นมาเยือนพร้อมเสียงกัมปนาท ราชาผียักษ์เปล่งเสียงร้องเจ็บปวด ร่างถูกกระแทกให้ถอยกรูดออกไปในเสี้ยววินาที กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ติดต่อกัน ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ด้านหลังหม้อลายกระดองเต่าแม้จะได้รับแรงโจมตีที่ถูกราชาผียักษ์ช่วยลดทอนกำลังมาให้ก่อนแล้วแต่กระนั้นก็ยังกระอักเลือดหลายคำ ตลอดทั้งร่างเหมือนปริร้าวไปหมด อวัยวะภายในก็เหมือนจะเคลื่อนที่เปลี่ยนตำแหน่ง แต่โดยภาพรวมแล้วกลับยังไม่ถึงขั้นสิ้นชีวิต
ภาพนี้แม้แต่ราชาผียักษ์เองก็ยังตะลึงงัน
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะกลับตาลปัตรเช่นนี้ และคนที่เป็นต้นเหตุของสถานการณ์ที่แปรผันกลับเป็น…ป๋ายฮ่าว!!
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองหลุมลึกบนพื้นดินด้วยใจที่ประหวั่นไม่คลายทั้งยังมากด้วยความหวาดกลัว
“การระเบิดตัวเองของวิญญาณครึ่งเทพมีอานุภาพน่ากลัวเกินไปแล้ว…ต่อให้เป็นเช่นนี้ข้าก็เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนปรับลมหายใจให้มั่นคง รู้สึกดีใจที่ตัวเองเตรียมการมาไว้นานแล้ว อีกทั้งตำแหน่งที่โยนสถูปวิญญาณออกไปก็ถือพอเหมาะพอเจาะ บวกกับที่ถอยหนีได้รวดเร็ว ดังนั้นถึงแม้จะถูกผลกระทบไปด้วยแต่กลับไม่ได้ร้ายแรงนัก อีกทั้งเมื่อมีทั้งราชาผียักษ์และหม้อลายกระดองเต่าช่วยเป็นชั้นกำบังให้สองชั้น เขาถึงได้รักษาชีวิตไว้ได้
นี่จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงไม่กล้าปล่อยให้บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายเป็นฝ่ายขยับเข้ามาใกล้แล้วค่อยหยิบเอาสถูปวิญญาณออกมาระเบิดตัว แต่เลือกที่จะบุกออกไปเอง เพราะว่า…หากใช้วิธีนี้ตอนที่ประมือกัน เมื่อไม่มีการคำนวณที่ละเอียดย่อมมิอาจเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเป็นกังวลมากกว่าตัวเองจะถูกระเบิดตายไปด้วย…
ส่วนบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายที่อยู่ใกล้กับสถูปวิญญาณระเบิดมากที่สุด เมื่อแรงโจมตีน่ากลัวจางหายก็เผยตัวอยู่กลางอากาศ เส้นผมของเขาร่วงหายไปเยอะมาก ที่เหลืออยู่ก็พันกันยุ่งเหยิง ร่างอาบโชกไปด้วยเลือดสด อาภรณ์ขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดี ระดับความกระเซอะกระเซิงของเขาตอนนี้แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนชั่วชีวิต
แต่ที่ทำให้เขาหน้าซีดขาวก็คือสภาพของตนในยามนี้ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองไม่มีตบะให้ลงมือสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนอีกแล้ว หากฝืนลงมือ เกรงว่าอาการบาดเจ็บคงเป็นเหตุให้นำไปสู่ความตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
เขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง กระอักเลือดออกมาอีกคำอย่างมิอาจข่มกลั้นได้ สายตาของเขาที่หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวผสานรวมกับไอสังหารเข้มข้น ทว่ากลับถอยร่นอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเล ใช้พลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ตอนนี้ระเบิดความเร็วที่แข็งแกร่งที่สุดในชีวิตให้ถอยห่างไปไกล
“ไม่ตาย!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจ เมื่อเห็นว่าบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายยังมีชีวิตอยู่เขาก็ตะลึงพรึงเพริด ทว่าพอมองเห็นเรือนกายที่โซเซถอยห่างออกไปของอีกฝ่าย
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตะลึงอีกรอบ แต่เขาก็ไม่กล้าไล่ตามไป คิดสะระตะอยู่ในหัวพักใหญ่ก็กลอกตาหนึ่งครั้งก่อนจะตะโกนดังลั่น
“ข้าป๋ายฮ่าว ใครไม่ล่วงเกินข้า ข้าก็ไม่ล่วงเกินผู้นั้น พวกเจ้าจงฟังให้ดี วิชาอภินิหารที่มีอานุภาพเช่นนี้ข้ายังสามารถเอาออกมาใช้ได้อีกนับร้อยครั้ง พวกเจ้าใครกล้าหาเรื่องข้า หากข้าลงมือเมื่อใด แม้แต่ข้าก็ยังกลัวตัวเอง อย่าคิดมาแหยมกับข้าเชียว!” ขณะที่คำรามดัง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบคว้าราชาผียักษ์ที่หน้าซีดขาวและยังคงกระอักเลือดไม่หยุดเผ่นหนีออกไปไกลด้วยความเร็วสุดชีวิต