บทที่ 657 ข้ายังใช้ได้อีก 99 ครั้ง
“รนหาที่ตาย!” บุรพาจารย์ตระกูลเฉินสีหน้าดุดัน ขณะที่พูดร่างก็ปรากฏอยู่ตรงจุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนนำส่ง โบกมือหนึ่งครั้งเสียงกัมปนาทก็ดังสะท้านฟ้า รอบด้านพังถล่มทลาย เขาเดินมาหนึ่งก้าวแล้วหายวับพุ่งเข้าสังหารป๋ายเสี่ยวฉุน
ไม่เพียงแต่เขาที่กำลังไล่ล่าป๋ายเสี่ยวฉุน ตอนนี้บุรพาจารย์ตระกูลไช่ก็ตรงมาที่นี่เหมือนกัน ก่อนจะร่วมมือกับบุรพาจารย์ตระกูลเฉิน ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งนำส่งได้อย่างยากลำบาก
ขณะเดียวกันในค่ายกลนำส่งนี้ก็มีค่ายกลลับแทรกซ้อนอีกชั้นหนึ่ง
แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีวิธีให้บุกเข้าไปในค่ายกลลับที่จำเป็นต้องใช้วิธีการพิเศษถึงจะเข้าไปได้ แต่กระนั้นผนึกมิวางวายก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลา
ทว่าการไล่ฆ่าของบุรพาจารย์ตระกูลเฉินกลับรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ด้วยความแตกต่างนี้ ตอนที่เจอกับค่ายกลลับที่สอง ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะใช้ผนึกมิวางวายเหยียบเข้าไปด้านใน ยังไม่ทันได้เปิดใช้ค่ายกล ร่างของบุรพาจารย์ตระกูลเฉินจึงโผล่พรวดอยู่บนท้องฟ้าเรียบร้อยแล้ว
สถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่เปลี่ยวร้างทางฝั่งตะวันตกของเมือง รอบด้านมีสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่อยู่ไม่น้อย และยังมีหอเรือนอีกบางแห่ง หอเรือนเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนดำรงอยู่มานานมากแล้ว หรืออาจถึงขั้นพูดได้ว่ามีจำนวนไม่น้อยที่สร้างขึ้นพร้อมๆ กับปีที่นครผียักษ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมา
ปกติแล้วผู้ฝึกวิญญาณที่อาศัยอยู่ที่นี่มีไม่มากนักจึงเงียบสงัดอย่างมาก ตอนนี้นครผียักษ์โกลาหลอลหม่าน ผู้คนอยู่อย่างหวาดผวา สถานที่แห่งนี้จึงยิ่งไม่เห็นเงาร่างผู้ใด มีเพียงบนท้องฟ้าที่เมื่อความว่างเปล่าบิดเบือนบุรพาจารย์ตระกูลเฉินก็เดินออกมาก้าวหนึ่ง
“ป๋ายฮ่าว ครั้งนี้เจ้าไม่มีโอกาสแล้ว!” ไอสังหารของบุรพาจารย์ตระกูลเฉินพวยพุ่งเทียมฟ้า ระหว่างที่พูดมือขวาก็ยกขึ้นฟาดลงมายังป๋ายเสี่ยวฉุนและราชาผียักษ์เต็มแรง
เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง ฝ่ามือนั้นกลายมาเป็นตราประทับขนาดใหญ่ยักษ์ที่เหมือนจะปิดคลุมไปทั้งแผ่นฟ้า เยื้องกรายลงมาครืนครั่น พื้นดินสั่นสะเทือนเกิดเป็นหลุมยุบ สิ่งปลูกสร้างโดยรอบก็มิอาจแบกรับพลานุภาพสยบเช่นนี้ได้จึงพังถล่มลงไปตามๆ กัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดขาว นัยน์ตาเผยแววเด็ดเดี่ยว วิกฤตคับขันเขาจึงเปล่งเสียงคำรามแหบโหย เขารู้ดีว่ายามนี้ตนมิอาจหลบเลี่ยงได้ หากต่อต้านแล้วถูกอีกฝ่ายดับทำลายค่ายกล หากตนคิดจะตามหาค่ายกลต่อไป ขั้นตอนระหว่างนั้นย่อมยากลำบากถึงขีดสุด
คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงพลันยกราชาผียักษ์ขึ้นสกัดฝ่ามือจากบุรพาจารย์ตระกูลเฉิน ขณะเดียวกันมือซ้ายของเขาก็ตบลงไปยังค่ายกลบนพื้นอย่างแรง
เขาคิดจะอาศัยร่างราชาผียักษ์ต้านทานแล้วฝืนเปิดใช้ค่ายกล…นี่ต่างหากถึงจะเป็นทางรอด
ราชาผียักษ์อึดอัดคับข้องทั้งยิ่งมากด้วยความหน่ายใจ แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้คือวิกฤตตัดสินเป็นตาย จึงแผ่ตบะทั้งหมดที่เหลืออยู่ไม่มากออกมาป้องกันตัวเอง…และทั้งเพื่อรับกับฝ่ามือที่ตบลงมานี้…
ทุกอย่างนี้พูดแล้วเหมือนยาว แต่ในความเป็นจริงเกิดขึ้นเวลาชั่วสายฟ้าแลบ เสียงอึกทึกดังสะเทือนฟ้าดินทันใด ฝ่ามือของบุรพาจารย์ตระกูลเฉินตบลงมาบนร่างของราชาผียักษ์จังๆ ราชาผียักษ์ร้องอึกอักอยู่ในลำคอ เลือดสดพุ่งทะลักทลาย น่าอกยุบยวบลงไป ท่ามกลางเลือดสดที่พ่นออกมามีเศษเนื้อของอวัยวะภายในปะปนอยู่ด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บสาหัสมากแล้ว
วินาทีที่เขาถูกโจมตีบาดเจ็บสาหัส ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระอักเลือดออกมาไม่ต่างกัน ทว่าฝ่ามือของเขากลับกดลงบนค่ายกลนำส่ง ทันใดนั้นแสงสว่างพลันพร่างพราว บุรพาจารย์ตระกูลเฉินขมวดคิ้วเป็นปม ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามกร้าว
“นำส่ง!!”
ค่ายกลพลันดังสะเทือน เพียงแต่ว่า…กลับไม่มีคลื่นนำส่งแผ่ออกมา พื้นดินรอบด้านก็สั่นไหว ก่อนที่ในบรรดาซากปรักหักพังซึ่งพังถล่มจะมีเศษไม้แผ่นแล้วแผ่นเล่าบินลอยมา!!
แผ่นไม้เหล่านั้นมีทุกรูปแบบ กระทั่งแผ่นโลหะก็ยังบินออกจากในซากปรักหักพัง พุ่งจากสี่ด้านแปดทิศตรงเข้ามารวมกันที่ป๋ายเสี่ยวฉุนในชั่วพริบตา
ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน ราชาผียักษี่ทกระอักเลือดไม่หยุดก็ตะลึงไปเหมือนกัน แม้แต่บุรพาจารย์ตระกูลเฉินก็ยังรู้สึกท่าไม่ดี
ยังไม่ทันรอให้คนทั้งสามตั้งตัวทัน เสียงเปรี๊ยะๆๆ พลันดังกังวาน แผ่นไม้และแผ่นโลหะที่บินมาจากสี่ทิศคล้ายเศษชิ้นส่วนที่ประกอบเข้าด้วยกัน พริบตาเดียวก็…กลายมาเป็นสัตว์กลไกตัวหนึ่งที่…มีขนาดหลายสิบจั้ง!
สัตว์กลไกตัวนี้ครึ่งท่อนบนของมันมีสามหัว หกแขน ท่อนล่างเป็นเหมือนสัตว์ร้ายทั่วไปที่สี่เท้าสัมผัสกับพื้นดิน ร่องรอยกระดำกระด่างแผ่ไปทั่วร่าง ทั้งยังมีปราณแห่งความเก่าแก่ที่เข้มข้นอย่างถึงที่สุดราวกับว่าอยู่มานานเกินไป เพิ่งจะปรากฎตัวก็พลันเงยหน้าแผดเสียงคำรามกึกก้องแปดทิศ
ท่ามกลางเสียงคำรามนี้กลับมีคลื่นระลอกหนึ่งที่เทียบเคียงกับคนฟ้าระเบิดตูมจากร่างของมัน ทำเอาเหล่าผู้แข็งแกร่งในนครผียักษ์หน้าเปลี่ยนสีกันหมด
บุรพาจารย์ตระกูลเฉินเบิกตากว้าง สูดลมเฮือกใหญ่อย่างเหลือเชื่อ
“สัตว์กลไกคนฟ้า!! นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!!”
อย่าว่าแต่บุรพาจารย์ตระกูลเฉินเลยที่ตะลึงพรึงเพริด แม้แต่ราชาผียักษ์เองก็ยังตาค้าง สำลักลมหายใจ ก่อนหน้านี้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนนำส่งไปมาระหว่างค่ายกลมากมายก็ทำให้ราชาผียักษ์ตะลึงได้มากพออยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าที่นี่ยังมีสัตว์กลไกที่เทียบเคียงกับคนฟ้าอยู่ด้วย แม้เขาเองจะมองออกว่าสัตว์กลไกตัวนี้ผุพังมากแล้ว เกรงว่ายืนหยัดได้ไม่นานก็คงพังทลาย
ทว่าอย่างไรซะนี่ก็คือ…สัตว์กลไกคนฟ้า!!
ต้องรู้ด้วยว่าเวทลับนี้ได้หายสาบสูญไปจากแดนทุรกันดารนานแล้ว ทว่าตอนนี้กลับมาปรากฏอยู่ในนครผียักษ์ แถมยัง…ถูกป๋ายฮ่าวเปิดใช้!
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าป๋ายฮ่าวผู้นี้มีความสามารถเลิศล้ำแค่ไหน นับตั้งแต่ที่มาอยู่นครผียักษ์ เวลาไม่ถึงครึ่งปีอีกฝ่ายกลับทำได้ถึงจุดนี้โดยอยู่ใต้หนังตาของตัวเขาเอง
สำหรับราชาผียักษ์แล้วนี่เป็นเรื่องเกินคาดคิด เต็มไปด้วยความเป็นไปไม่ได้ เพราะอย่างไรซะนครผียักษ์ก็คือเมืองของเขา ขนาดเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจัดวางค่ายกลไว้อย่างไร พอคิดถึงเรื่องที่ตนถูกอีกฝ่ายจับตัวแถมยังถูกร่ายผนึก บัดนี้ต่อให้ราชาผียักษ์จะไม่อยากยอมรับแค่ไหนก็จำต้องยอมรับว่า…ป๋ายฮ่าวผู้นี้…ทุกคนล้วนมองเขาผิดไปเสียสิ้น แต่ไม่นานดวงตาเขาก็เปล่งแสงวาบด้วยคาดเดาได้ว่าค่ายกลนี้ไม่น่าจะเป็นฝีมือของป๋ายฮ่าว แต่ถูกเขานำมาใช้เสียมากกว่า
ทว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม คนที่สามารถนำทุกอย่างที่ใช้ได้ออกมาใช้จนหมดก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือผู้เลิศล้ำไร้เทียมทาน คือพยัคฆ์ที่แสร้งปลอมตัวเป็นแมว!
ในใจราชาผียักษ์เต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาของเขาก็ทอประกายประหลาด ส่วนลึกในใจมีความรู้สึกสับสนและชื่นชมลอยขึ้นมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไปครู่ กะพริบตาปริบๆ เขามองสัตว์กลไกที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามตัวนี้ก็พลันนึกขึ้นได้ว่าสวีซื่อโหย่วเคยบอกไว้จริงๆ ว่าบรรพบุรุษของเขาทิ้งสัตว์กลไกตัวหนึ่งซ่อนไว้ในค่ายกลเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด
ยามนี้ด้วยความตื่นเต้นล้นหัวใจจึงพลันคำรามดังลั่น
“สังหารคนผู้นี้ซะ!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ในค่ายกลนำส่ง ตอนที่เสียงของเขาดังออกมา ดวงตาของสัตว์กลไกตัวนั้นก็เปล่งแสงแดงฉาน ตลอดทั้งร่างส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ ก่อนที่มันจะกระโดดผลุงขึ้นกลางอากาศตรงเข้าสังหารบุรพาจารย์ตระกูลเฉินอย่างเหี้ยมหาญ!
เสียงกัมปนาทพลันกึกก้องทั่วฟ้าดิน ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วรีบตบลงบนพื้นอีกครั้ง พริบตาเดียวคลื่นค่ายกลนำส่งก็แผ่ไปรอบด้าน เขารีบคว้าร่างราชาผียักษ์นำส่งไปพร้อมกันอย่างว่องไว
บุรพาจารย์ตระกูลเฉินกู่ร้องคำรามด้วยความเดือดดาล ใจอยากตามไป ทว่ากลับถูกสัตว์กลไกตัวนี้ขัดขวางเอาไว้จึงมิอาจทำได้ดังใจต้องการ ยามนี้โทสะของเขาพวยพุ่งทะลุชั้นฟ้า ลงมือเต็มกำลัง สัตว์กลไกตัวนี้ดำรงอยู่มานานเกินไป เดิมทีก็อยู่ในช่วงที่ใกล้จะแตกสลายอยู่แล้ว พอมาเผชิญหน้ากับบุรพาจารย์ตระกูลเฉิน แรกเริ่มฝีมือทั้งสองฝ่ายยังทัดเทียมกัน แต่ไม่นานมันก็ตกเป็นรอง
ทว่าเวลานี้เองในดวงตาทั้งคู่ของสัตว์กลไกกลับมีแสงสีแดงเปล่งวาบขึ้นมาอีกครั้ง บุรพาจารย์ตระกูลเฉินหน้าเปลี่ยนสีทันควัน นึกถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับสัตว์กลไก ในเรื่องเล่าบอกไว้ว่าสัตว์กลไกทุกตัวล้วนมีพลังระเบิดตัวเองที่น่าหวาดกลัว
“แย่แล้ว!” บุรพาจารย์ตระกูลเฉินตะลึงลาน รีบถอยกรูดออกห่าง ทว่าชั่วขณะที่เขาถอยหนี กองไฟกองหนึ่งที่คล้ายซ่อนแฝงอยู่ในร่างของสัตว์กลไกก็พลันระเบิดตูมออกมา พริบตาเดียวก็กลบทับสัตว์กลไกตัวนั้นเอาไว้จนมิด ทั้งยังแผ่ตูมตามไปรอบด้านราวกับเสียงคำรามจากเวหา เปลวเพลิงก่อตัวเป็นพายุหมุนคว้างพัดพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า
ความว่างเปล่าบิดเบือน พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทั้งยังมีคลื่นความร้อนระลอกหนึ่งที่ซัดตะลุยไปทั่วนครผียักษ์ ขณะที่คนจำนวนนับไม่ถ้วนหน้าเปลี่ยนสีร้องอุทานเสียงหลง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มาโผล่อยู่กลางพื้นที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งห่างออกไปไกลก็เห็นภาพเหตุการณ์นี้เช่นกัน ใจของเขาสั่นรัว คลื่นความร้อนที่ก่อตัวเป็นลมบ้าคลั่งนั้นพัดโชยมาถึงที่นี่พาให้เส้นผมของเขาปลิวสยาย ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถึงกับชะงักค้าง
“สัตว์กลไกระเบิดตัวเอง!” ราชาผียักษ์ยังคงกระอักกระไอเลือดไหลไม่หยุด สีหน้าของเขาซีดเซียว ทว่าดวงตากลับเป็นประกายระยับ มองไปยังทิศทางที่ลมเปลวเพลิงพัดหมุน
และเวลานี้เองเสียงคำรามคลั่งแค้นราวจะขาดใจก็ดังออกมาจากในพายุเปลวเพลิงที่กำลังจางหายไป นั่นก็คือเสียงของบุรพาจารย์ตระกูลเฉิน เส้นผมของเขาพัวพันกันยุ่งเหยิง ร่างสั่นเทิ้ม อาภรณ์ขาดวิ่น กระอักเลือดออกจากปาก แม้จะยังไม่ตายแต่กลับบาดเจ็บสาหัส ความเคียดแค้นในใจที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนทะยานเทียมฟ้า
ทว่าเขากลับทำแบบเดียวกับบุรพาจารย์ตระกูลป๋าย นั่นคือพอร้องคำรามเสร็จก็กลายร่างเป็นรุ้งยาวพุ่งดิ่งกลับเมืองตระกูลเฉิน เขาจำเป็นต้องรีบรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองโดยเร็ว เขาไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น
ภาพนี้อยู่ในสายตาของคนไม่น้อยในนครผียักษ์ พวกเขาพากันอ้าปากสูดลมเฮือกๆ แต่ละคนต่างก็ใจสั่นรัวหวาดกลัวป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างสมบูรณ์แบบ
“สวรรค์ บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายไล่ฆ่าป๋ายฮ่าวถูกโจมตีบาดเจ็บสาหัส! บุรพาจารย์ตระกูลเฉินผู้นี้ไล่ฆ่าป๋ายฮ่าว ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน…”
“ป๋ายฮ่าวผู้นี้ใช้วิธีการใดกันแน่ถึงได้น่าครั่นคร้ามขนาดนี้!!”
“นักฆ่าคนฟ้าแท้ๆ!! เจ้าป๋ายฮ่าวผู้นี้เป็นคนเหี้ยมหาญจริงๆ!”
ในนคร สามตระกูลใหญ่ก็ดี พระยาสวรรค์หกท่านก็ช่าง หรือแม้แต่คนอื่นๆ ต่างอกสั่นขวัญผวา
พระยาสวรรค์ทั้งหกนั้นไม่มีฝีมือเช่นคนฟ้า ไม่สามารถไล่โจมตีป๋ายเสี่ยวฉุนได้ทุกเวลาที่ต้องการ ทว่าตอนนี้พวกเขากลับรู้สึกดีใจที่ตัวเองไม่มีความสามารถนั้น เพราะวิธีการของป๋ายเสี่ยวฉุนสยบพวกเขาได้ชะงัดนัก
ขณะเดียวกัน น้ำเสียงโอหังแฝงไว้ด้วยความลำพองใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดังก้องไปทั่ว
“เห็นหรือยัง อย่าได้มาแหยมกับข้า ข้าลงมือเมื่อใด แม้แต่ข้าก็ยังกลัวตัวเอง!! วิชาอภินิหารเช่นนี้ข้ายังเอามาใช้ได้อีก 99 ครั้ง!”