Skip to content

A Will Eternal 658

บทที่ 658 จำเป็นต้องลงทุนสักหน่อย

ใครก็ตามที่อยู่ในนครผียักษ์แล้วได้ยินประโยคนี้ต่างก็เริ่มลังเล ตอนที่บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายบาดเจ็บสาหัส ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เคยเอ่ยคำพูดทำนองนี้เหมือนกัน แม้ว่าจะทำให้คนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่อย่างมากลึกๆ ในใจก็แค่เพิ่มความระวังตัวอีกนิดเท่านั้น อันที่จริงไม่มีใครเชื่อเท่าใดนัก

เพียงแต่…เมื่อบุรพาจารย์ตระกูลเฉินก็เจอกับเหตุการณ์เช่นเดียวกัน นี่จึงทำให้ทุกคนพากันตกตะลึง

โดยเฉพาะบุรพาจารย์ตระกูลไช่ที่กำลังไล่ล่าตามมาก็ถึงกับชะงักฝีเท้า สูดลมหายใจเชื่องช้า เริ่มเกิดความลังเล เขาตื่นตะลึงไปกับฝีมือของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งนัก

พอคิดว่าคนฟ้าของตระกูลป๋ายและตระกูลเฉินต่างก็บาดเจ็บสาหัสด้วยน้ำมือของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็ยิ่งกริ่งเกรง แต่ไม่นานดวงตาของเขาก็มีแสงเย็นเยียบวาบผ่าน

“เสี่ยงอันตรายก็จริง แต่นี่ก็เป็นโอกาสให้ตระกูลไช่ของข้าผงาดขึ้นมาได้มิใช่หรือ…ตอนนี้ตระกูลป๋ายและตระกูลเฉินต่างก็ลงมือไม่ได้ ขอแค่ข้าสามารถสังหารราชาผียักษ์ ถ้าเช่นนั้น…คนอื่นมีหรือจะกล้าไม่ยอมแพ้!”

“ถึงเวลานั้นเมื่อสยบแปดทิศ รวบรวมนครผียักษ์ให้เป็นหนึ่งเดียว รายงานไปยังนครจักรพรรดิ ข้าก็จะได้เป็นราชาผียักษ์คนใหม่ ถึงยามนั้น…อาศัยตัวตนและทรัพยากรของราชาสวรรค์ เลื่อนขั้นเป็นครึ่งเทพก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!”

บุรพาจารย์ตระกูลไช่คิดมาถึงตรงนี้ลมหายใจก็เปลี่ยนมาเป็นหอบหนัก หัวเราะชั่วร้ายหนึ่งทีก็สะบัดร่างตรงดิ่งไปยังทิศทางที่เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังลอยมา อีกทั้งยังส่งข้อความเสียงบอกกับทุกคนของตระกูลไช่ให้ร่วมมือกันตามหาป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเต็มกำลัง

เสียงกัมปนาทดังก้องในนครผียักษ์อีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนลอดผ่ายค่ายกลแต่ละหลังครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงแต่ว่าความเร็วและวิธีการของบุรพาจารย์ตระกูลไช่เหมือนจะรวดเร็วร้ายกาจยิ่งกว่าบุรพาจารย์ตระกูลเฉินอยู่บ้าง ป๋ายเสี่ยวฉุนนำส่งยังไม่ถึงสิบครั้งเขาก็ไล่ตามมาทัน ไม่รอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเปิดใช้ค่ายกลอีกครั้งก็ชี้นิ้วผ่านอากาศทำลายค่ายกลนำส่งให้แหลกสลาย

เสียงแห่งการพังทลายดังก้องไปทั่ว ป๋ายเสี่ยวฉุนกระอักเลือดหน้าซีดขาว ร่างทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ด้านหลังของเขามีเสียงหัวเราะหยันของบุรพาจารย์ตระกูลไช่ดังลอยมา ทั้งอีกฝ่ายยังก้าวตามมาไล่ล่า ข้างกายเขามีคนในตระกูลไช่อีกไม่น้อยที่ทยอยมารวมตัวกัน

และในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีประมุขตระกูลไช่รวมไปถึงผู้อาวุโสหลายคนในตระกูลที่กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวตามมาไล่ฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุน

“จบกันๆ คราวนี้ไม่มีหวังแล้วจริงๆ …” ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ ในใจสั่นไหว เขาจำได้ว่าค่ายกลที่เหลือซึ่งอยู่ใกล้จุดนี้ที่สุดก็ยังห่างไปไกลหนึ่งพันกว่าจั้ง ทว่าพวกคนที่ไล่ตามมาด้านหลังกลับไม่ให้โอกาสเขาได้เปิดใช้ค่ายกลเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะบุรพาจารย์ตระกูลไช่คนนั้นที่เป็นถึงคนฟ้า หากไม่เพราะกริ่งเกรงกับวิธีการที่ตนใช้ทำร้ายบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายและตระกูลเฉินจนบาดเจ็บสาหัสจึงไม่กล้าเข้ามาใกล้มากนัก หาไม่แล้วอีกฝ่ายคงหายตัวมาลงมือกับตนเป็นแน่

“ช่วยไม่ได้แล้ว…ราชาผียักษ์เอ๋ยราชาผียักษ์ เรื่องนี้จะโทษข้าไม่ได้นะ เป้าหมายของบุรพาจารย์ตระกูลไช่คือเจ้า ข้าไม่เชื่อใจบุรพาจารย์ตระกูลไช่ เรื่องแลกเปลี่ยนจึงเลิกคิดไปได้เลย แต่หากโยนราชาผียักษ์นี่ออกไป ตัวข้าก็ยังมีความมั่นใจว่าจะหนีไปได้” แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่ยินยอม แต่ชีวิตน้อยๆ ต่างหากถึงจะสำคัญที่สุด ยามนี้ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ อยู่ในใจ กำลังจะลงมือ

ทว่าเวลานี้เอง ข้างหูพลันได้ยินเสียงของเจ้าเต่าน้อยดังลอยมา

“ไอ้หนูป๋ายอย่าเพิ่งใจร้อน เจ้าราชาผียักษ์ผู้นี้ผิดปกติ…ไอ้หมอนี่มันไม่ใช่คนดีอะไรหรอก ก่อนหน้านี้นายท่านเต่าอย่างข้าก็รู้สึกได้ว่าเหมือนเขาจะปิดบังอะไรบางอย่าง พอสังเกตการณ์อย่างละเอียด หึหึ ในที่สุดนายท่านเต่าอย่างข้าก็มองออก”

“ไอ้หนูป๋าย เจ้าราชาผียักษ์นี่โกหก ตบะของเขาจะฟื้นคืนมา ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน เขาโกหกทุกคน แต่จากตาทิพย์ของข้านายท่านเต่าสามารถวิเคราะห์ได้ว่าอย่างมากสุดอีกแค่ห้าวันตบะของเขาก็ฟื้นคืนแล้ว หรือหากไวกว่านั้น สามวันก็พอแล้ว หึ ไอ้หมอนี่มันซ่อนได้ลึกยิ่งนัก แสร้งทำซะเหมือนจริง!”

“หากเจ้าโยนเขาออกไป เขาต้องมีวิธีการถ่วงเวลาจากตาเฒ่าคนฟ้านั่นได้อีกสามวันห้าวัน พอถึงเวลานั้น…ก็สนุกแน่”

ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่น แอบเหลือบมองราชาผียักษ์แวบหนึ่ง แล้วก็เห็นทันทีว่ายามนี้ราชาผียักษ์หน้าซีดขาว ใบหน้าขมขื่นเหม่อลอย เขาพลันเกิดความลังเลใจ แต่เจ้าเต่าน้อยก็เหมือนจะมั่นใจอย่างมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดจึงยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล นี่ต่างหากถึงจะสอดคล้องกับนิสัยเจ้าเล่ห์มากแผนการของราชาผียักษ์…จึงหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ

“แสร้งทำได้เหมือนจริงๆ …แต่ว่าหากอีกแค่สามวันห้าวัน…ถ้าข้าสละเขาทิ้งไปตอนนี้ก็ดูไม่คุ้มกันเท่าไหร่” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไม่ตก หนึ่งเดือนนั้นนานเกินไป ทว่าสามวันห้าวันตนสู้ตายดูสักตั้งก็ไม่แน่ว่าอาจจะพอยืนหยัดได้ อีกอย่างหากตนชนะเดิมพัน หลังจากนี้ก็รวยเละแล้ว

“เมื่อมองตามนี้ก็จำเป็นต้องกระชับความสัมพันธ์กันเสียหน่อย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลอกตา หัวเราะแห้งๆ อยู่ในใจ ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นดุดัน ทั้งยังมีปณิธานแห่งความเลือดเหล็กระเบิดออกมาจากในร่าง

“ราชาผียักษ์!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนดังลั่น

ราชาผียักษ์เงียบงัน ปากยังคงกระอักเลือด เงยหน้ามองป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ข้างกาย ปลงอนิจจังอยู่ในใจ

“เขาคิดจะทำลายคำสัญญาแล้วส่งตัวข้าให้กับสามตระกูลใหญ่อย่างนั้นหรือ…”

ราชาผียักษ์ถอนหายใจอยู่กับตัวเอง แต่ความคิดของเขาเพิ่งบังเกิด เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง

“ราชาผียักษ์ เจ้าคือหวังเหย่ผู้สูงส่ง ทั้งยังเป็นครึ่งเทพ ข้าป๋ายฮ่าวก็เป็นแค่คนตัวเล็กๆ ไร้ชื่อเสียง ตบะรวมโอสถ…ระหว่างเจ้าและข้าต่างกันราวฟ้ากับเหว เจ้าและข้ามิอาจเทียบเคียงกันได้ หากไม่เป็นเพราะเรื่องครั้งนี้ เกรงว่าชีวิตของพวกเราก็คงเป็นเส้นทางสองสายที่มิอาจมาบรรจบกันได้” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีความขมขื่นทั้งยังมากด้วยความหนักอึ้งดังสะท้อนไปสี่ทิศ ทำเอาราชาผียักษ์อึ้งงัน

แม้แต่พวกคนของตระกูลไช่ที่ไล่ล่าตามมาก็ยังหันมาเพ่งมอง

“ตอนแรกเจ้ามองข้าเป็นหมากตัวหนึ่ง ดึงข้าเข้ามาในการละเล่นของเจ้า เรื่องนี้พูดไม่ได้ว่าใช่พระคุณหรือไม่ แต่ข้ารู้ดี นี่ก็คือ…เหตุ!”

“ส่วนข้าเอาเจ้าออกมาจากจากเต่าหิน อาจเป็นเพราะความโกรธเคือง อาจเป็นเพราะความโลภมาก ทว่าเรื่องนี้…ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผิดหรือไม่ แต่ข้ารู้ว่า นี่ก็คือ…ผล!”

“เหตุผล เหตุผล พูดไม่ถูก อธิบายไม่ชัด…เรื่องก่อนหน้านี้พวกเราถือว่าหายกันตกลงไหม…และวันนี้ เรื่องอื่นข้าป๋ายฮ่าวนั้นทำไม่ได้ แต่ข้าจำสัญญาระหว่างกันได้ จำได้ถึงคำสัญญาที่มอบไว้ให้เจ้า!”

ในน้ำเสียงแหบพร่าของป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายแฝงไว้ด้วยการย้อนทวนความทรงจำ ขณะเดียวกันยามนี้ร่างของราชาผียักษ์ก็สั่นสะท้าน คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่เหนือการคาดการณ์ของเขา เดิมทีเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะมอบตัวเขาให้กับสามตระกูล

แต่กลับคิดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะพูดประโยคนี้ออกมา อีกอย่างความจริงใจในคำพูดนี้ ต่อให้เขาเป็นพวกเจ้าเล่ห์เพทุบายมากแค่ไหนก็ยังอดประทับใจไม่ได้ เขายอมรับว่าสิ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดคือความจริง เดิมทีพวกเขาสองคนไม่มีทางมาบรรจบกัน…แล้วก็ยอมรับด้วยว่าการกระทำของตนในทีแรกนั้นเป็นการดึงให้อีกฝ่ายต้องมาอยู่ในน้ำวนลูกนี้

“ข้าเคยบอกว่าจะปกป้องเจ้าหนึ่งเดือน…ข้าเคยบอกว่าจะไม่มีทางทอดทิ้งเจ้า…ตอนนี้ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ความตายจะไปสำคัญอะไร ราชาผียักษ์ข้าขอเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ พี่ใหญ่…หากพวกเราผ่านเคราะห์ครั้งนี้ไปไม่ได้ ในปรโลก น้องชายก็จะยังปกป้องท่านหนึ่งเดือนดังที่เคยให้สัญญา!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ก่อนจะแผดหน้าหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะนั้นแฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว มีความบ้าคลั่ง มีความดึงดัน สีหน้าเช่นนี้ ถ้อยคำเช่นนี้ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่ในสายตาของราชาผียักษ์ ทำให้ใจของราชาผียักษ์เกิดคลื่นลูกใหญ่ถาโถม!

เขาไม่เคยซาบซึ้งใจมานานมากเหลือเกินแล้ว ทว่าครั้งนี้สติปัญญาของเขาได้บอกกับตัวเขาเองว่าเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ นี่ไม่สอดคล้องกับการวิเคราะห์ที่เขามีต่อป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าความรู้สึกบอกกับเขาว่าท่ามกลางความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจนี้ เมื่อผ่านการทรยศ เจอเรื่องเหนือความคาดหมายติดต่อกันครั้งแล้วครั้งเล่า เขาที่เหน็ดเหนื่อยจนไร้เรี่ยวแรงกลับอดยอมรับความจริงใจของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้!

“ป๋ายฮ่าว…” ใจราชาผียักษ์สั่นไหว เป็นครั้งแรกที่เปิดเผยความรู้สึกแท้จริง ความจริงแล้วนี่ก็เป็นผลที่เกิดขึ้นจากสาเหตุหลากหลายประการ หากเปลี่ยนเป็นเวลาอย่างอื่น ไม่ว่าคนข้างกายจะทำอะไร ด้วยนิสัยจองหองของราชาผียักษ์ย่อมไม่มีทางเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจแน่นอน

ข้อนี้สามารถดูได้จากตอนที่อู๋ฉางกงไม่ได้ทรยศ แต่กลับยังคงถูกราชาผียักษ์ปิดบังทอดทิ้ง

“ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าก็ตายไปด้วยกันซะเถอะ!” ทว่าขณะที่ราชาผียักษ์กำลังตื้นตันใจ ในดวงตาของบุรพาจารย์ตระกูลไช่กลับมีแสงเย็นเยียบวาบผ่าน คำรามกร้าว ก่อนจะยกมือขวาขึ้นชี้ไปกลางอากาศ

ทันใดนั้นกลางอากาศที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ก็มีเสียงตูมดังขึ้น ครั้งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ใช้ร่างของราชาผียักษ์ออกมารับ แต่กางร่มราตรีนิรันดร์ ภายใต้เสียงกัมปนาท เขากระอักเลือด บาดเจ็บหนักยิ่งกว่าเดิม แต่กลับอาศัยแรงโจมตีนี้ถอยหลังออกไป

“ป๋ายฮ่าว!!” ภาพนี้ทำให้ราชาผียักษ์ที่เดิมทีก็ซาบซึ้งใจอยู่แล้วใจสั่นขึ้นมาอีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้เอาเขาไปรับการโจมตี…

“พี่ใหญ่ ก่อนหน้านี้ที่ให้ท่านรับการโจมตีแทนข้า หาใช่เป็นเพราะข้ากลัวตายไม่ แต่เพราะข้าต้องการรักษากำลังเอาไว้เพื่อพาท่านหนีไปต่างหาก…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงขมขื่น ทว่าในใจกลับพึมพำว่าในเมื่อตนแสดงแล้ว เพื่อความสมจริงก็จำต้องทำเช่นนี้…

“แต่พี่ใหญ่ก็อย่าได้สิ้นหวัง ข้ายังมีวิธีการรับมือสุดท้ายอยู่อีก!”

ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแสงคมกล้า หันขวับกลับไปมองพวกคนของตระกูลไช่ที่ขยับเข้ามาใกล้ตนห่างไม่ถึงร้อยจั้งแล้ว

“เจ้าราชาผียักษ์ผู้นี้เจ้าเล่ห์มากอุบาย เพื่อได้ความไว้วางใจจากเขาจำเป็นต้องลงทุนสักหน่อย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอดอยู่ในใจ เขาเป็นคนไม่สนใจทรัพย์สินนอกกาย ยามนี้จึงยกมือขวาขึ้นด้วยสีหน้าดุร้าย ก่อนจะหยิบเอากระบี่บินเล่มหนึ่งออกมา บนกระบี่เล่มนี้มีแสงสีทองเปล่งวาบ นั่นคืออาวุธวิเศษที่ผ่านการหลอมพลังจิตมาแล้วสิบเอ็ดครั้ง

ก่อนจะขว้างเข้าใส่ทุกคนของตระกูลไช่อย่างแรง ยังไม่สิ้นสุด ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงหยิบเอาอาวุธวิเศษอีกหลายชิ้นออกมาจากในถุงเก็บของติดต่อกัน

ของส่วนใหญ่ในนี้เขาล้วนได้มาหลังจากมาอยู่ในแดนทุรกันดาร มากสุดคือหลอมพลังจิตสิบเอ็ดครั้ง น้อยสุดก็หลอมห้าหกครั้ง ของเหล่านี้มีอยู่หลายสิบชิ้นซึ่งต่างก็ถูกเขาขว้างออกมารวดเดียว

“ตูมๆๆ!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!