บทที่ 666 จับตัวกบฏทุกคนเอาไว้
ตบะของราชาผียักษ์ฟื้นคืน สามคนฟ้าตายหนึ่งถูกจับสอง เรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไปโดยที่สามตระกูลไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหกพระยาสวรรค์ที่อยู่นครผียักษ์ยามนี้เลย
นครผียักษ์ในเวลานี้ผู้คนจิตใจหวาดผวา แต่ละขั้วอิทธิพลต่างก็รอคอยด้วยความร้อนรนตึงเครียด หากวันนั้นราชาผียักษ์ตายไปแล้วก็ยังพอว่า
ทว่านี่กลับถูกป๋ายฮ่าวช่วยให้หนีออกไป พอเป็นเช่นนี้จิตใจของพวกคนที่ก่อกบฏจึงเหมือนมีมีดเล่มหนึ่งแขวนเอาไว้รอเชือดเฉือน ได้แต่หวังให้คนฟ้าทั้งสามที่ตามออกไปไล่ล่าสามารถสังหารราชาผียักษ์ได้ในท้ายที่สุด
ส่วนพวกคนที่ไม่ได้ก่อกบฏก็เริ่มร้อนตัวเหมือนกัน เพราะบารมีที่ราชาผียักษ์สั่งสมมานั้นมากมหาศาลเกินไป พวกเขาไม่ได้ช่วยปราบกบฏ หากจะถูกโยนโทษสมรู้ร่วมคิด พวกเขาก็ยากที่จะอธิบายได้
ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ ตลอดทั้งนครผียักษ์จึงเต็มไปด้วยความกดดันหนักอึ้ง ทุกหัวถนนแทบมองไม่เห็นเงาผู้คน ผู้ฝึกวิญญาณทั้งหมดต่างก็เก็บตัวอยู่ในที่พักของใครของมัน รอคอยให้จลาจลครั้งนี้ยุติ
มีเพียงผู้ฝึกวิญญาณที่เป็นกองทัพของหกพระยาสวรรค์เท่านั้นที่กังวลหวาดหวั่น ทว่าขณะที่ลาดตระเวนไปทั่วนครผียักษ์ก็ยังไม่ล้มเลิกการตามหา เพราะอย่างไรซะใครก็ไม่กล้ารับประกันว่าราชาผียักษ์ที่หนีไปจะไม่กลับมาซ่อนตัวอยู่ในเมืองอีกครั้ง แม้ความเป็นไปได้จะมีไม่มาก แต่พวกเขาก็ไม่อยากชะล่าใจ
ส่วนพระยาสวรรค์หกท่านที่ก่อกบฏยามนี้ต่างก็มีสีหน้ามืดทะมึน พวกเขามารวมตัวกันอยู่ในตำหนักใหญ่แห่งหนึ่ง ต่างคนต่างเงียบขรึม สนทนากันน้อยคำ บางครั้งก็มองไปยังท้องฟ้าทิศไกล รอผลลัพธ์จากคนฟ้าทั้งสามท่าน
“ราชาผียักษ์อ่อนแอ แม้ว่าป๋ายฮ่าวผู้นั้นจะเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อน ฝีมือเหี้ยมโหด แต่อย่างไรซะขอบเขตของเขาก็ไม่มากพอ ครั้งนี้…ต้องสำเร็จแน่นอน!”
“ต่อให้ราชาผียักษ์มีเลือดวิญญาณ แต่นั่นก็แค่เลือดวิญญาณ เขาจะมีได้สักกี่หยดกันเชียว!!”
คนทั้งหกพยายามปลอบใจตัวเองอย่างต่อเนื่อง แต่กลับระงับหัวใจที่เต้นเร็วแรงไม่ไหว
ขณะเดียวกันอีกทิศทางหนึ่งนอกนครผียักษ์มีภูเขาคู่สองลูกที่ยามนี้แต่ละลูกต่างก็มีผู้เฒ่ายืนอยู่คนหนึ่ง พวกเขาทั้งสองมองสบตากันนิ่งด้วยแววตาลุกเรือง
คนทั้งสองก็คือโยวหมิงกงและอู๋ฉางกง พวกเขาทั้งสองกังวลใจ แต่ขณะเดียวกันต่างก็รอคอยไปด้วย ในใจเข้าใจดีว่าตอนนี้สิทธิ์ในการตัดสินชะตาชีวิตของตัวเองไม่ได้อยู่ที่พวกเขาอีกแล้ว จะเป็นหรือตายล้วนอยู่ในมือของสามคนฟ้าและราชาผียักษ์ที่ห่างไปไกลแสนลี้นั่นต่างหาก
หากสามคนฟ้าทำสำเร็จ อู๋ฉางกงก็ได้แต่เลือกหนีไปหรือไม่ก็ยอมเข้าพวกกับอีกฝ่าย แต่หากกลับกัน…โยวหมิงกงก็ต้องเป็นฝ่ายที่เผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ ดังนั้นตอนนี้คนทั้งสองจึงเลือกยุติการต่อสู้ มองหน้ากันไปมา สามารถทำให้อีกฝ่ายลดพลังในการต่อสู้ของคนฟ้าไปได้ส่วนหนึ่งก็คือความคิดของพวกเขาทั้งสองคน
ตอนนี้ตลอดทั้งนครผียักษ์มีแต่ความกดดัน ทุกคนต่างก็ร้อนรนกระวนกระวายใจ เวลาผันผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งยามสนธยามาเยือน ท้องฟ้าเป็นสีแดงฉานประหนึ่งไฟไหม้หมู่เมฆ เมื่อตกมาอยู่ในสายตาของผู้ฝึกวิญญาณทุกคนในนครผียักษ์ อารมณ์ของพวกเขาก็ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นหนักอึ้งมากกว่าเดิม
แต่เวลานี้เอง ทันใดนั้น…เมฆแดงกลางนภากาศก็พลันซัดตลบ พริบตาเดียวชั้นเมฆตลอดทั้งฟากฟ้าก็กลิ้งซัดไล่หลังกันอย่างรุนแรง และยิ่งมีเสียงฟ้าผ่าดังสะเทือนเลือนลั่นลงมาจากเก้าชั้นฟ้า ก้องกังวานไปแปดทิศ
ตูมๆๆ
เสียงนี้เพิ่มระดับความดังยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และเวลาแค่ไม่กี่ลมหายใจฟ้าก็สะท้านดินสะเทือน เขย่าคลอนทุกขั้วอิทธิพลในนครผียักษ์ หกพระยาสวรรค์หน้าเผือดสี มองหน้ากันไปมาแต่กลับไร้คำสนทนา ก่อนจะพากันพุ่งทะยานออกจากตำหนักใหญ่แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า
อู๋ฉางกงและโยวหมิงกงที่อยู่ห่างออกไปไกลก็เงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างพร้อมเพรียงกัน ในดวงตาของคนทั้งสองเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและรอคอย
ทว่าวินาทีที่มองไปนั้นเอง สีหน้าของโยวหมิงกงพลันซีดขาว ดวงตาทั้งคู่เผยความเหลือเชื่อและตะลึงลาน ส่วนอู๋ฉางกงกลับสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะร่าอย่างบ้าคลั่ง
และขณะที่คนทั้งสองสีหน้าต่างกัน คนหนึ่งตะลึง คนหนึ่งดีใจ บนท้องฟ้าก็มีเสียงกัมปนาทที่ดังยิ่งกว่าเอาเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าทั้งหมดมารวมเข้าด้วยกันดังเกริกก้องขึ้นมา!
ปัง!
เสียงที่คล้ายแหวกฟ้าผ่าดินทำให้สมองของทุกคนในนครผียักษ์ดังอื้ออึง แก้วหูก็สั่นสะเทือนจนเกือบหนวก รอยปริแตกขนาดใหญ่ยักษ์เส้นหนึ่งแหวกออกดังเปรี๊ยะ ก่อนจะตามมาด้วยสองร่างที่…เดินออกมาจากในรอยแยก!
คนเดินนำหน้าสวมมงกุฎราชา อาภรณ์สีม่วงปักลายมังกร วินาทีที่เขาเดินออกมาทั้งนภากาศพลันสั่นคลอน พื้นดินโยกไหว สายฟ้าจำนวนไม่ถ้วนแลบปลาบออกไป ราวกับว่าแค่เขาคนเดียวก็สามารถกำราบโลกทั้งใบได้
โดยเฉพาะสายตาของเขาที่เหมือนดูดเอาเส้นแสงทั้งหมดระหว่างฟ้าดินมารวมกัน คล้ายว่าตำแหน่งที่เขาอยู่นอกจากรอบกายเขาแล้ว ฟ้าดินล้วนเปลี่ยนมาเป็นมืดมิด
ความรู้สึกกดดันบีบคั้นซึ่งรุนแรงยิ่งกว่าที่เคยมีในนครผียักษ์ก่อนหน้านี้เยื้องกรายมาเยือนพร้อมเสียงดังตูมตาม พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ผู้ฝึกวิญญาณทุกคนในเมืองพากันตัวสั่นเทา ในใจเกิดคลื่นเสียงดังกึกก้อง แล้วก็ไม่รู้ว่าใครที่ร้องอุทานเสียงหลงเป็นคนแรก และไม่นานตลอดทั้งเมืองก็มีแต่เสียงฮือฮาดังไม่ขาดสาย
“รา…ราชาผียักษ์!!”
“ราชาผียักษ์กลับมาแล้ว!”
“น้อมรับราชาผียักษ์!!!”
เสียงดังขึ้นๆ ลงๆ ก้องกังวานอย่างต่อเนื่อง พระยาสวรรค์หกคนที่ก่อกบฏล้วนตัวสั่นอย่างรุนแรง สีเลือดบนใบหน้าจางหายไปเกลี้ยง ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นด้วยนัยน์ตาสิ้นหวัง…
แพ้แล้ว…พวกเขา…แพ้อย่างราบคาบแล้ว!!
ด้วยตบะของพวกเขาหกคน มองปราดเดียวก็รู้ว่าตบะของราชาผียักษ์…ฟื้นคืนกลับมาแล้ว สามารถจินตนาการได้ว่าจุดจบของบุรพาจารย์คนฟ้าของสามตระกูลใหญ่ต้องอเนจอนาถอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แน่นอน!
ลมหายใจหอบหนักดังไปทั่วเมือง และตอนนี้สายตาของคนมากมายก็มองเห็นว่าข้างกายราชาผียักษ์ มีคนผู้หนึ่งที่ใบหน้าโอ้อวดลำพอง ราวกับว่าใต้ฟ้าเหนือพื้นดินแห่งนี้ นอกจากราชาผียักษ์ที่อยู่ข้างกายเขาแล้ว ตนก็คือผู้สูงส่งหนึ่งเดียว และคนผู้นั้นก็คือ…ป๋ายเสี่ยวฉุน!
ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นฮึกเหิมผิดปกติ ตอนนี้เขาพยายามปรับลมหายใจของตัวเองพลางมองลงไปยังเมืองเบื้องล่าง ความรู้สึกที่ว่าความขมขื่นได้ผ่านพ้น ความหวานล้ำมาเยือนเช่นนี้ทำให้เขาคึกคักยิ่งนัก โดยเฉพาะคิดถึงภาพก่อนหน้านี้ที่ตัวเองเผ่นหนีไปทั่วเมืองราวกับหนูน่ารังเกียจที่ถูกผู้คนไล่ตี
ทว่าตอนนี้กลับหวนคืนมาอย่างสง่างามเจิดจ้า หัวใจของเขาก็เต้นกระหน่ำรัวแรง ความลำพองใจยากจะหาคำใดมาบรรยายจนอดหลงระเริงตนไม่ได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงพลันเงยหน้าขึ้นแล้วก้าวพรวดมายืนอยู่เบื้องหน้าราชาผียักษ์โดยตรง ก่อนจะคำรามใส่คนทั้งเมือง
“ทุกคนจงฟังให้ดี สามตระกูลใหญ่ล่วงเกินเบื้องสูงจึงถูกหวังเหย่ตัดหัวไปแล้ว ตอนนี้หวังเหย่หวนคืนกลับมา พวกเจ้ายังไม่รีบทำความเคารพกันอีกรึ จะรอไปถึงเมื่อไหร่!!”
เสียงที่ใกล้เคียงกับการตะเบ็งของป๋ายเสี่ยวฉุนดังไปทั่วสี่ทิศเขย่าคลอนจิตใจทุกคนทันที ทันใดนั้นก็มีเงาร่างมากมายบินออกมาจากในเมืองอย่างรวดเร็ว พอมาหยุดอยู่กลางอากาศก็รีบคุกเข่าคารวะราชาผียักษ์
“น้อมรับราชาผียักษ์!!”
“น้อมรับราชาผียักษ์!!!”
คนมากมายบินออกมาอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวในนครก็มีผู้ฝึกวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันแน่นขนัดจนแทบมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ทุกคนที่ออกมาต่างก็ถวายการคำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงดังราวอสนีบาตสะเทือนไปยันเก้าชั้นฟ้า
ส่วนพระยาสวรรค์หกคนนั้นกลับมีสีหน้าราวขี้เถ้ามอด แต่ละคนสิ้นหวัง รู้ดีว่าพวกเขามิอาจหนีได้ ทั้งยังไม่กล้าต่อต้านอีกต่อไป ทุกคนต่างก็ก้มหน้าก้มตาคุกเข่าคำนับเช่นกัน
และยังมีพระยาสวรรค์อีกสี่คนที่นิ่งดูดายตอนเกิดกบฏ ตอนนี้พวกเขาเองก็คารวะอย่างพินอบพิเทาทั้งร่างที่สั่นไม่หยุด แต่ละคนกระวนกระวายใจ
ห่างออกไปไกลมีรุ้งยาวสองเส้นพุ่งดิ่งมาอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ
นั่นก็คืออู๋ฉางกงและโยวหมิงกง อู๋ฉางกงนั้นปิติยินดีอย่างยิ่งยวด เขาประสานมือโค้งตัวต่ำคารวะราชาผียักษ์
“คารวะหวังเหย่!”
โยวหมิงกงสีหน้าขลาดกลัว ในใจขมปร่า เขาไม่ได้บุ่มบ่ามหนีไปเพราะรู้ดีว่าตัวเองหนีไม่รอด หากหนีเมื่อไหร่ก็ต้องตายเมื่อนั้น…แต่หากไม่หนีบางทีอาจพอมีโอกาสได้รอดชีวิต ยามนี้จึงก้มหน้าคุกเข่าคำนับด้วยใบหน้าซีดขาว
เสียงแห่งความเคารพนอบน้อมจากคนจำนวนนับไม่ถ้วนกึกก้องไปทั้งนครผียักษ์ เขย่าสวรรค์โยกคลอนปฐพี
ราชาผียักษ์สีหน้าไร้อารมณ์ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่เอ่ยคำใด จ้องมองทุกคนด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรเลย ลำพังเพียงแค่การกลับมาของผู้เป็นราชาอย่างเขาก็สามารถบดขยี้การจลาจลโกลาหลทั้งหมดได้แล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นภาพเหตุการณ์เหล่านี้ในใจก็ยิ่งห้าวเหิม ยังดีที่เขาไม่ลืมความน่าเกรงขามของราชาผียักษ์ พอแอบเหลือบมองแวบหนึ่งถึงได้เกิดความมั่นใจ ดังนั้นจึงเอามือไพล่หลัง มองไปยังทุกคนที่อยู่เบื้องล่างอย่างจองหองแล้วเอ่ยเสียงดุดัน
“จับตัวกบฏทุกคนเอาไว้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าประโยคนี้ของตนกล่าวได้อย่างเฉียบคมยิ่งนัก ในใจเคลิบเคลิ้มนิดๆ พอประโยคนี้ดังออกมาพระยาสวรรค์สี่คนที่ไม่ได้เข้าร่วมการก่อกบฏก็ขยับตัวตรงเข้าหาพระยาสวรรค์หกคนที่ก่อกบฏแล้วลงมือปิดผนึกพวกเขาทันที พริบตาเดียวก็ปราบได้อยู่หมัด
หกคนนั้นไม่กล้าต่อต้านอยู่แล้วจึงถูกกดให้คุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างไม่สามารถกระดุกกระดิกได้ในชั่วพริบตา ขณะเดียวกันอู๋ฉางกงก็ยกนิ้วมือข้างขวาขึ้นชี้หนึ่งที ร่างของโยวหมิงกงพลันสั่นเยือก ตบะถูกผนึก ทำได้เพียงก้มหน้าลงอย่างขมขื่นและหดหู่
ส่วนพวกลูกน้องของพระยาสวรรค์ทั้งหกคนก็หนีไม่พ้นเช่นกัน ไม่นานก็ถูกพระยาสวรรค์สี่คนกำราบได้อย่างราบคาบ
ราชาผียักษ์ยังคงมองทุกอย่างด้วยสายตาเย็นเยียบ ไม่เอ่ยคำใด ทว่าในใจกลับชื่นชมการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่น้อย ครั้นจึงเดินออกมาหนึ่งก้าวแล้วก็มาปรากฏตัวตรงจุดที่เคยเป็นที่ตั้งของรูปปั้นผียักษ์ทันที มือขวาของเขายกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นรอบด้านพลันบิดเบือน เวลาเหมือนหมุนย้อนกลับ ก้อนหินแต่ละก้อนลอยขึ้นจากพื้นดิน พริบตาเดียวรูปปั้นที่พังทลายก็ประกอบเข้าด้วยกันใหม่อีกครั้ง!
และยังมีตำหนักราชาที่เมื่อซากก้อนหินบินเข้ามาประกบกันอย่างรวดเร็วจึงปรากฏขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แม้แต่รอยแตกร้าวก็ยังมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ากำลังประสานตัวเข้าด้วยกันเร็วจี๋ เวลาแค่ไม่กี่ลมหายใจ…รูปปั้นราชาผียักษ์ก็กลับมาตั้งตระหง่านอีกครั้ง ตำหนักราชาโอ่อ่าโอฬารดังเดิมราวกับปาฏิหาริย์!
“ข้าผู้เป็นราชา กลับมาแล้ว!” นี่เป็นครั้งแรกที่ราชาผียักษ์เปิดปากนับตั้งแต่กลับมา เสียงของเขาที่ดังก้องไปทั่วฟ้าดินยังคงมากด้วยบารมีดังเคย…
“ราชาผียักษ์!”
“ราชาผียักษ์!!”
“ราชาผียักษ์!!!”
เสียงของทุกคนที่อยู่ในเมืองประสานรวมกันปั่นป่วนลมและเมฆอีกครั้ง
และในนั้นยังมีเสียงที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่งอันเป็นเอกลักษณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนดังแว่วขึ้นมาคล้ายเป็นตัวนำฝูงชน…