Skip to content

A Will Eternal 670

บทที่ 670 กำราบทุกก่อกำเนิดวิถีมนุษย์

ห้าธาตุครบถ้วน ก่อกำเนิดวิถีฟ้า!

ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมพึงพอใจ ดวงตาทั้งคู่ลืมขึ้นช้าๆ เขาสัมผัสได้ทันทีว่าตอนนี้ยาอายุวัฒนะในร่างได้กลายมาเป็นตัวอ่อนแล้ว คนตัวเล็กนั้นกำลังนั่งขัดสมาธิ ตลอดทั้งร่างแผ่ปราณแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังมีปณิธานแห่งวิถีฟ้าดำรงอยู่ภายใน ก่อกำเนิดเช่นนี้ไม่ว่าใครมองเห็นก็ล้วนสำลักลมหายใจด้วยความตกตะลึง ทอดถอนใจเอ่ยปากชื่นชม

ยามนี้บนร่างของตัวอ่อนคล้ายจะมีคลื่นไร้ที่สิ้นสุดบางอย่างแผ่กระจายออกมาผสานรวมเข้าไปในชีพจร กลายมาเป็นตบะกว้างใหญ่ไพศาลที่ไร้รูปลักษณ์ซึ่งเต็มเติมไปทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน

ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสะท้านน้อยๆ เขามองไปรอบด้าน ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในสายตาของเขาล้วนต่างไปจากเดิม เหมือนว่าสีสันของโลกใบนี้จะยิ่งสดใส ขณะเดียวกันเขาก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าเรือนกายของตัวเองโปร่งโล่งทะลุหากันหมด ทั้งนอกทั้งในเหมือนได้ผ่านการชำระล้าง ส่วนความไพศาลของตบะก็ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งตะลึงทั้งยินดี เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองในเวลานี้…

ต่างกับช่วงเวลาก่อนหน้านี้จนไม่อาจเทียบกันได้ อีกทั้งเขายังเกิดความรู้สึกมั่นใจว่าต่อให้เจอกับประมุขตระกูลป๋ายอีกครั้ง ตนแค่พลิกฝ่ามือง่ายๆ ก็บดขยี้อีกฝ่ายให้แหลกลาญได้!

“นี่น่ะหรือคือก่อกำเนิดวิถีฟ้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนห้าวเหิมอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เขารู้สึกเหลือเชื่อไม่น้อย เพราะตอนนี้เขาสัมผัสได้ว่าทั้งๆ ที่ตนเพิ่งจะก่อกำเนิด ทว่ากลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อกำเนิดทั่วไปไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

แม้แต่การหายใจก็เหมือนจะเขย่าคลอนความว่างเปล่าได้รอบทิศ แค่กวาดสายตามองก็คล้ายจะกลายมาเป็นพลานุภาพสยบที่จับต้องได้จริงจนคนเห็นจิตวิญญาณสะท้านไหว

และที่สำคัญที่สุดก็คือหลังจากก่อกำเนิดแล้ว พลังจิตของเขาก็เริ่มกลายมาเป็นอำนาจจิตในขั้นต้น คำว่าอำนาจจิตก็คือในขอบเขตของจิตวิญญาณ ขอบเขตของอำนาจจิตล้วนสามารถเคลื่อนที่ได้ในพริบตา!

“อำนาจจิตของข้ากว้างไกลแค่ไหนกันนะ…”

ท่ามกลางความรอคอย ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันแผ่อำนาจจิตของเขาออกไป เสียงตูมตามดังกึกก้อง อำนาจจิตของเขาแผ่ปกคลุมไปถึงรัศมีสิบลี้!

ในรัศมีสิบลี้ ทุกร่องรอยล้วนฉายชัดอยู่ในใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมขึ้นมาทันใด เขารู้สึกได้ว่าอำนาจจิตของตัวเองยังไม่ได้แผ่ออกไปอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงขยายออกไปอีกครั้ง เสียงอึกทึกกึกก้อง ครั้งนี้แผ่ไปทั่วถึงในระยะร้อยลี้!

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังไม่ถึงขีดสุดอยู่ดี นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตะลึง ใจเขาอยากจะทดลองทำต่อ แต่พอคิดอีกทีก็ล้มเลิกความคิดนี้ เพราะอย่างไรซะที่นี่ก็คือแดนทุรกันดาร มีการอำพรางตนไว้บ้างย่อมเป็นเรื่องดี

“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนดึงอำนาจจิตกลับมา ลมหายใจแฝงไว้ด้วยความปิติยินดี เขาสัมผัสได้ว่าทุกสิ่งในร่างของตนล้วนถูกยกระดับ ล้วนก้าวทะยานอย่างพรวดพราด ทั้งหมดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกบาน ดวงตาทั้งคู่เผยแววดีใจอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะเมื่อเขาสัมผัสได้ว่าพลังชีวิตของตัวเอง…มากไพศาลไปจนถึงระดับที่ทำให้เขาตื่นตกใจ อารมณ์ตื่นเต้นของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยากที่จะระงับได้อีกต่อไป

“พลังชีวิตนี้…สวรรค์ อายุขัยของข้า…ข้า…ต่อให้ตอนนี้ข้าไม่ต้องทำอะไรสักอย่าง ข้าก็น่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายพันปี!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนปลื้มปริ่มจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ความฝันในชีวิตนี้ของเขาคือการได้เป็นอมตะ

แม้ว่าตอนนี้จะยังทำไม่ได้ถึงขั้นนั้น แต่ก็ถือว่าได้ก้าวเดินออกมาเกินครึ่งทางแล้ว พอคิดว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายพันปี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็น้ำตาไหลพรากอย่างห้ามไม่ได้ นั่นคือน้ำตาแห่งความชื่นบานสุขใจ

“คุ้มแล้ว ทั้งหมดนี้ คุ้มกันแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแหงนหน้าหัวเราะร่า กระโดดโลดเต้นร่าเริง ขณะที่กำลังจะออกจากด่านเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองแข็งแกร่งแค่ไหน สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนไปในฉับพลัน

“ยังไม่สิ้นสุด…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ทันทีว่าการเปลี่ยนแปลงในร่างของตัวเองยังไม่สลายไปหมด ยามนี้เมื่อตบะของเขาฝ่าทะลุ ในร่างของเขาก็ยังมียาอีกเม็ดหนึ่งที่…เริ่มจะแตกปะทุ!

นั่นก็คือ…ยาวัชระมิวางวาย!

นี่คือยาวัชระที่ก่อตัวขึ้นจากขั้นที่สามของบทมิวางวาย เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกขั้นที่สามของวิชามิวางวายมาอย่างต่อเนื่องทำให้มีพลังแห่งตราผนึกจำนวนนับไม่ถ้วนอบอวล ตอนนี้ยาวัชระมิวางวายในกายของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กำลังจะแตกออก!

ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักค้าง ดวงตาทอประกายเจิดจ้า

“อาศัยพลังการฝ่าทะลุของตบะครั้งนี้ฝ่าทลายพันธนาการขั้นที่สามไปด้วย!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งขัดสมาธิลงไปทันที ก่อนหน้านี้ผนึกมิวางวายของเขาก็ฝึกมาถึงขั้นสมบูรณ์แบบจนสัมผัสเข้ากับพันธนาการแห่งชีวิตแล้ว ตอนนี้เมื่อตบะฝ่าทะลุ การแตกออกของยาวัชระมิวางวายจึงทำให้พลังชีวิตในร่างระเบิดออกมาหมด

ตูม!

ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเยือกไปทั้งร่าง เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าบนร่างของตัวเองมีภูเขาใหญ่อยู่สามลูก ภูเขาใหญ่ทั้งสามนี้ก็คือพันธนาการที่สามซึ่งถูกทิ้งไว้ให้สร้างขีดจำกัดต่อพลังกล้ามเนื้อของเขา

และตอนนี้เมื่อพลังชีวิตระเบิดออก เมื่อยาวัชระมิวางวายปริแตกอย่างต่อเนื่อง ภูเขาลูกที่สามซึ่งเขากำลังกระแทกโจมตีนี้ก็กำลังจะพังถล่ม พันธนาการกำลังจะถูกฝ่าทลายออกไป!

ตูมๆๆ ครืนๆๆ!

ในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนดังก้องด้วยเสียงกัมปนาท ภายใต้การโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าของพลังชีวิต ในที่สุดวินาทีที่ยาวัชระมิวางวายของป๋ายเสี่ยวฉุนแตกกระจายอย่างสมบูรณ์แบบ พลังชีวิตที่ม้วนตลบออกมาก็กลายมาเป็นพลังบุกราบที่พุ่งทะลักทลายกระแทกชนออกไป ในจิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเสียงเปรี๊ยะๆๆ ดังลั่นราวกับเสียงยอดเขาที่ปริแตกใกล้พังถล่ม ภูเขาลูกที่สามนี้มีรอยแตกร้าวไล่ไปทั่วทั้งลูก ตามมาด้วยพันธนาการที่พลัน…ถูกกระแทกโจมตี!

วินาทีที่พันธนาการขั้นที่สามในร่างถูกตีทลายจนแตก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เบาสบายไปทั้งร่าง พลังกล้ามเนื้อระเบิดออกมากะทันหัน ร่างของเขาสั่นเทิ้มเพราะการระเบิดของพลังนั้น พลังในการต่อสู้ของเขาไต่ทะยานขึ้นสูงอีกครั้ง!

ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคึกคะนอง

เดินพรวดออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พริบตานั้นเสียงแหวกอากาศก็ดังก้อง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนหายวับไป มาปรากฏตัวอีกครั้งก็ห่างจากจุดเดิมมาหลายจั้งแล้ว

“กล้ามเนื้อแหวกอากาศ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอารมณ์เบิกบานอย่างยิ่งยวด เขาแหงนหน้าหัวเราะดังลั่น เมื่อครู่นี้เขาไม่ได้ใช้การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือแสงของก่อกำเนิด ลำพังเพียงแค่เรือนกายที่มีเลือดเนื้อก็ได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน เรื่องแบบนี้หากคนอื่นมาเห็นเข้าย่อมต้องตะลึงลานตาค้าง ต้องรู้ว่าการต่อสู้ระหว่างก่อกำเนิดนั้น การเคลื่อนที่รวดเร็วเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ดังนั้นวิธีที่จะใช้เล่นงานการเคลื่อนที่รวดเร็วเหมือนหายตัวนั้นจึงมีมากมาย ทว่าส่วนใหญ่ล้วนจะใช้วิธีการปิดผนึกความว่างเปล่าอะไรทำนองนั้น

ทว่าวิธีนี้ สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วกลับไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย เพราะแค่เรือนกายของเขาก็เคลื่อนที่ได้ไวราวกับหายตัวได้อยู่แล้ว!

เขาในเวลานี้ไม่ใช่แค่แข็งแกร่งธรรมดาๆ เท่านั้น แต่แข็งแกร่งจนทำให้คนตะลึงพรึงเพริด สามารถกำราบทุกก่อกำเนิดวิถีมนุษย์ได้หมด ไม่ว่าก่อกำเนิดวิถีมนุษย์จะมีวิธีการเช่นไร ต่อให้จะเป็นขีดสุดของก่อกำเนิดวิถีมนุษย์ วิถีมนุษย์ครึ่งก้าวคนฟ้า เขาก็ล้วนบดขยี้ได้อย่างไร้พ่าย!

ต่อให้เจอกับก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบที่ใช้วิญญาณสัตว์ฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ และหากเขาถึงช่วงกลางของก่อกำเนิดเมื่อไหร่ ขอแค่ทุกคนในขอบเขตของก่อกำเนิดวิญญาณสัตว์ฟ้าไม่เกินวิญญาณสัตว์ฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบจนก้าวมาสู่ครึ่งก้าวของคนฟ้า และไม่มีท่าไม้ตายที่เทียบได้กับคนฟ้า ถ้าเช่นนั้นเขาก็ยังคงกำราบได้อย่างไร้คนต่อกร! ส่วนวิญญาณสัตว์ฟ้าครึ่งก้าวคนฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยประมือด้วยมาก่อน แต่เขาก็มั่นใจว่าต่อให้ไม่ถึงขั้นบดขยี้ได้ แต่แค่ให้เอาชนะก็ไม่มีปัญหา

บดขยี้กับเอาชนะคือสองแนวความคิดที่แตกต่างกัน บดขยี้ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ แค่ชี้นิ้วทีเดียวฟ้าก็ถล่มดินก็ทลาย ทว่าเอาชนะคือต้องต่อสู้กันพักหนึ่งถึงจะรู้ผล

ต้องรู้ว่า เขาก็เป็นแค่…ก่อกำเนิดขั้นต้นเท่านั้น…หากเขาถึงขั้นสมบูรณ์แบบเมื่อไหร่ ถ้าเช่นนั้นจะแข็งแกร่งได้ขนาดไหนกัน…

“ข้าช่าง…แข็งแกร่งยิ่งนัก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบอกตัวเองป้าบๆ สัมผัสกับตบะของตัวเอง ความลำพองใจในใจของเขาก็แทบจะระเบิดออกมาเต็มทีแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะชอบอกชอบใจ ทำท่ามองหมิ่นใต้หล้า ทั้งยังสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ แล้วเอ่ยน้ำเสียงโอหัง

“นับแต่นี้เป็นต้นไป คนที่ต่ำกว่าก่อกำเนิด ใครจะกล้าพูดเสียงดังกับข้า!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนรักษาท่วงท่าพิชิตฟ้ากำราบดินเอาไว้อย่างเบิกบานสุดขีด ผ่านไปพักใหญ่เขาถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก นึกถึงขั้นที่สี่ของบทมิวางวาย ดวงตาทั้งคู่ก็ฉายประกายร้อนเร่า

“น่าเสียดายที่ข้าไม่มีวิชาของก่อกำเนิด แต่วิชาฝึกฝนเรือนกายข้ามีแล้ว!”

“วิชาอมตะมิวางวาย ขั้นที่สี่ของบทมิวางวาย กระดูกคงกระพัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ ในสมองมีภาพคำแนะนำของขั้นที่สี่บทมิวางวายลอยขึ้นมา บทมิวางวายมีทั้งหมดห้าขั้น แบ่งออกเป็นหนัง เนื้อ เอ็น กระดูกและเลือด!

ยิ่งฝึกไปถึงช่วงหลังก็ยิ่งแกร่งกร้าว โดยเฉพาะขั้นที่สี่ของบทมิวางวาย กระดูกคงกระพันที่ชุบหลอมกระดูกทั่วเรือนกาย ผสมรวมระหว่างพลังการป้องกันกับการแปรสภาพของพลังที่สะเทือนฟ้าดินครั้งหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนตระหนักมาถึงข้อนี้ก็ตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด

“หนังคงกระพันคือการป้องกัน เนื้อคงกระพันคือพละกำลัง เอ็นคงกระพันคือความเร็ว…และกระดูกคงกระพันก็คือการระเบิดที่ผสานระหว่างการป้องกันกับพละกำลัง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตั้งสมาธิทวนความทรงจำเกี่ยวกับคำแนะนำของกระดูกคงกระพันอยู่ในสมอง เขารู้ดีว่ากระดูกคงพันนี้แบ่งออกเป็นอีกสี่ขั้น ทุกครั้งล้วนเป็นขีดสุด!

“กระดูกหลอม กระดูกกำลัง กระดูกฟ้า กระดูกคงกระพัน!”

กระดูกหลอม แปรสภาพทั้งร่าง ระเบิดการป้องกัน!

กระดูกกำลัง พละกำลังไต่ทะยาน สะท้านฟ้าสะเทือนดิน!

กระดูกฟ้า พละกำลังผสานกับการป้องกัน นภากาศยังยากจะเขย่าคลอน!

สุดท้ายกระดูกคงกระพัน…หากฝึกสำเร็จ วิญญาณอาจดับ แต่กระดูกไม่สลาย!

“วิญญาณอาจดับ แต่กระดูกไม่สลาย…นี่ต่างหากถึงจะสอดคล้องกับวิชาที่ข้าแสวงหา วิชาอมตะมิวางวาย…บทมิวางวายนี้ก็คือการฝึกวิธีที่ทำให้ไม่ตาย!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งฮึกเหิม โดยเฉพาะคิดถึงขั้นสุดท้ายของบทมิวางวายอย่างเลือดคงกระพันเขาก็ยิ่งคลุ้มคลั่ง เพราะการแนะนำเกี่ยวกับเลือดคงกระพันนั้น สรุปรวมเป็นประโยคหนึ่งก็คือ…

“แค่เลือดหนึ่งหยดก็สร้างร่างได้หนึ่งร่าง!”

“ต้องฝึกกระดูกคงกระพันให้สำเร็จจงได้ จากนั้นก็ค่อยฝึกเลือดคงกระพัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ท่ามกลางความห้าวเหิม ในใจของเขาก็มีเวทลับของกระดูกคงกระพันลอยขึ้นมา!

ต้องรู้ว่าทุกขั้นของบทวิวางวายล้วนมีวิชาลับอยู่หนึ่งวิชา ตรวนสลายลำคอ ชนาเขย่าภูเขา ผนึกมิวางวาย วิชาลับทั้งสามนี้เป็นประโยชน์ต่อป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างมาก และตอนนี้วิชาลับของขั้นที่สี่ก็เริ่มเผยออกมาให้เห็นตามหลังการฝึกกระดูกคงกระพันของป๋ายเสี่ยวฉุน

“หมัดเทพไม่ดับสูญ!”

พละกำลังกล้ามเนื้อ ใช้กระดูกเป็นรากฐาน ใช้เนื้อเป็นกำลัง ใช้หนังเป็นการระเบิด หลังจากผสานรวมเข้าด้วยกันกลายมาเป็นหมัดไม่ดับสูญ เมื่อรวมเข้าด้วยกัน หนึ่งหมัดต่อยออกไปด้วยพละกำลังของทั้งร่าง สามารถกระแทกฟ้า ดับทำลายพื้นดิน อานุภาพมากมหาศาลเหนือกว่าที่ตรวนสลายคอและชนาเขย่าภูเขาจะเทียบเคียงได้!

อีกทั้งหากไล่ไปตามขอบเขตของกระดูกคงกระพันนี้ อานุภาพของหมัดเทพไม่ดับสูญก็จะแตกต่างกันไป ในขั้นของกระดูกหลอม สามารถต่อยหมัดเทพไม่ดับสูญซึ่งมีอานุภาพสองเท่าจากพื้นฐานร่างกายของตัวเอง ในขั้นกระดูกกำลังสามารถต่อยพลังออกไปได้สามเท่า กระดูกฟ้าสี่เท่า ส่วนกระดูกคงกระพันก็คือหมัดเทพไม่ดับสูญห้าเท่า!

แต่หากว่ากันในทางทฤษฎี หมัดเทพไม่ดับสูญนี้ไม่มีขีดจำกัด จะต่อยเป็นพลังออกไปได้กี่เท่าก็ต้องดูขีดจำกัดที่ร่างกายรับได้ไหว!

นี่ ก็คือหมัดเทพไม่ดับสูญ

เวทลับขั้นที่สี่ของบทมิวางวาย!

ยิ่งใหญ่ทรงพลัง หนึ่งกำลังพิชิตสิบยอดฝีมือ หนึ่งหมัดสะเทือนเก้าทวีป!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!