บทที่ 671 ตัวเองต้มร่างตัวเอง
“หมัดเทพไม่ดับสูญ…” อารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนห้าวเหิม ดวงตาทั้งคู่ทอแสงเจิดจ้า ในสมองเต็มไปด้วยภาพที่ตนมองหมิ่นใต้หล้า เมื่อต่อยหมัดเทพไม่ดับสูญนี้ออกไป แปดทิศทางต่างสะเทือนเลือนลั่น
พักใหญ่ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงสูดลมหายใจเข้าลึกสงบอารมณ์ตัวเอง เขาเข้าใจดีว่าหมัดเทพไม่ดับสูญนี้พูดได้ว่าเป็นท่าไม้ตายอย่างหนึ่ง หมัดเดียวก็รวมพละกำลังของทั้งร่าง เมื่อเพิ่มพลังลงไปอย่างต่อเนื่องก็สามารถทำให้ฟ้าถล่มดินทลาย แต่ขณะเดียวกันเมื่อต่อยออกไป เกรงว่าตนก็คงอ่อนกำลังหมดเรี่ยวหมดแรง
สามารถพูดได้ว่าหมัดเทพไม่ดับสูญนี้เอามาใช้เป็นไม้ตายได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น!
และตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้ดีว่าตนมิอาจนำมาใช้ได้ เพราะมาตรฐานต่ำสุดในการใช้หมัดเทพไม่ดับสูญก็ยังจำเป็นต้องหลอมกระดูกครบสามครั้ง
“ขั้นที่สี่ของบทมิวางวาย…กระดูกคงกระพัน คิดจะฝึกก็จำเป็นต้องมีพลังชีวิตที่มากมหาศาลจนมิอาจบรรยายได้ ไม่ใช่สิ่งที่ขั้นสามจะสามารถเทียบเคียง หากอยู่ในเขตแม่น้ำทงเทียนก็ยังดีหน่อย เพราะสามารถหลอมยามาช่วยในการฝึกฝนได้” พอป๋ายเสี่ยวฉุนคิดถึงความยากลำบากในการฝึกวิชาอมตะมิวางวายก็อดจะขมวดคิ้วกลัดกลุ้มไม่ได้
“ตอนนี้อยู่ในแดนทุรกันดาร ทุกอย่างล้วนแร้นแค้น…จำเป็นต้องหาวัตถุที่ทดแทนพลังชีวิตให้เจอ” ป๋ายเสี่ยวฉุนขบคิดอยู่ครึ่งวันก็นึกวิธีใดไม่ออกจริงๆ เขายังคิดไปถึงยาวิญญาณด้วย เพียงแต่ว่าในแดนทุรกันดารแห่งนี้สำหรับผู้ฝึกวิญญาณแล้ว ยาวิญญาณก็เหมือนหินวิเศษที่เอามาใช้ฝึกตนได้ แต่ในด้านพลังชีวิตกลับน้อยนิด เพราะอย่างไรซะนี่ของสิ่งนี้ก็หลอมออกมาจากดวงวิญญาณ
“แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางเสียเลย เพราะต่อให้เป็นวัตถุดิบที่ธรรมดามากแค่ไหน ทว่าเมื่อเอามาหลอมพลังจิตเกินสิบครั้ง…ก็สามารถชุบหลอมมันให้ถึงขีดสูงสุด เผยพลังที่น่าเหลือเชื่อ ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาบ นี่ก็คือวิธีเดียวที่เขาคิดออก
ยามนี้พอสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งจึงนั่งขัดสมาธิ หลับตาลงช้าๆ เริ่มโคจรวิธีการฝึกกระดูกคงกระพันตามขั้นที่สี่ของบทมิวางวายไปเงียบๆ ไม่นานกระดูกทั่วร่างของเขาก็มีเสียงลั่นเปรี๊ยะๆๆ ดังลอยมา เสียงนี้ตอนเริ่มต้นยังเบามาก แต่ไม่นานก็ดังสนั่น และเวลาเพียงแค่ครึ่งก้านธูป ในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีเสียงเหมือนฟ้าร้องดังครืนๆๆ
เสียงนี้หากฟังอย่างละเอียดจะรู้สึกได้ว่ามันดังออกมาจากในกระดูกของป๋ายเสี่ยวฉุน ราวกับว่ากระดูกของเขากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ลี้ลับมหัศจรรย์บางอย่าง
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ เลือดเนื้อทั้งหมดในเรือนกายของเขาล้วนสั่นสะท้านคล้ายถูกบดขยี้ พลังชีวิตเป็นเส้นๆ ที่ลอยขึ้นมาในทุกอณูของร่างกายล้วนตรงเข้าไปยังกระดูกของป๋ายเสี่ยวฉุน
กระดูกตลอดร่างของเขาเหมือนกลายมาเป็นหลุมดำที่ส่งแรงดึงดูดน่าตกใจ กลืนกินพลังชีวิตเหล่านี้ไปอย่างรวดเร็ว…และเมื่อพลังชีวิตถูกเขมือบกลืน กระดูกทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็คล้ายจะกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง
เพียงแต่ดำรงอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อเสียงกัมปนาทดังกังวาน ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค่อยๆ สั่นเทา หน้าผากมีเหงื่อไหลซึมลงมา พอมองไปก็เห็นได้เลือนรางว่าร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายจะเกิดลางแห่งการแห้งเหี่ยวโรยรา!!
ลางแห่งการแห้งเหี่ยวนี้เพิ่งจะเกิดขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเบิกตาโพลง ยุติการฝึกตน นัยน์ตามีไอเย็นเยียบเปล่งวาบ หัวคิ้วขมวดน้อยๆ ก่อนจะคลายออกจากกันทันที
“ฝึกต่อไม่ได้แล้ว เวลาแค่ครึ่งก้านธูปกลับดูดเอาพลังของยาที่สั่งสมอยู่ในร่างกายข้าตลอดหลายปีที่ผ่านมาไปเสียสิ้น…การฝึกกระดูกคงกระพันนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว”
“หากฝึกต่อไปมันจะเผาผลาญต้นทุนพลังชีวิตของร่างกายข้าได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนปล่อยลมหายใจออกมาหนึ่งที นัยน์ตาเผยความตะลึงลาน ก้มหน้ามองมือทั้งคู่ของตัวเอง ลมหายใจของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นถี่กระชั้นน้อยๆ
“แม้ว่าจะยังฝึกไม่ถึงรอบแรกของขอบเขตกระดูกหลอม…แต่ข้ากลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการป้องกันของร่างกายเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย” ความรู้สึกนี้ชัดเจนมาก ราวกับว่าขณะที่ชุบหลอมกระดูก ร่างกายก็ได้รับการชุบหลอมไปพร้อมกันด้วย
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบคิดไปครู่ก็ถอนหายใจออกมา เขารู้ดีว่าตัวเองร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาจำต้องหาโอกาสให้กับตัวเอง รอจนได้รับวัตถุที่เพิ่มพูนพลังชีวิตแล้วค่อยฝึกอีกที
“ข้าสัมผัสได้ว่าหากมีพลังชีวิตมากพอ…ถ้าเช่นนั้นการฝึกกระดูกคงกระพันก็สามารถฝึกไปได้ถึงขีดสูงสุดรวดเดียว ที่ขัดขวางการฝึกของข้าไม่ใช่เวลาแต่เป็นพลังชีวิต!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ นัยน์ตาทอแสงวิบวับ ผ่านไปพักใหญ่ก็ค่อยๆ นิ่งสงบ เขาจึงเริ่มรับสัมผัสตบะของตัวเอง พอตรวจสอบร่างก่อกำเนิดในกายของตัวเองอย่างละเอียด ปราณของเขาก็กระเพื่อมออกมาเบาๆ อีกครั้ง
“ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ในยาอายุวัฒนะมีพลังควบคุมอยู่เสี้ยวหนึ่ง แต่ตอนนี้พอกลายมาเป็นก่อกำเนิด ทำไมถึงสัมผัสพลังควบคุมนั้นไม่ได้อีก?” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ ครุ่นคิดว่าหรือเป็นเพราะตนไม่มีวิชาในการฝึกของขั้นก่อกำเนิด…
“น่าเสียดายแหะ นั่นมันมหาเวทควบคุมคนของข้าเชียวนะ…หรือว่ามันซ่อนตัวเอาไว้? ข้าเลยสัมผัสไม่ได้? นอกจากนี้ข้าคือก่อกำเนิดวิถีฟ้า ไม่รู้ว่าจะยังมีจุดไหนที่พิเศษอีกหรือไม่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนทำท่าครุ่นคิด ความเข้าใจที่เขามีต่อก่อกำเนิดวิถีฟ้านั้นน้อยเกินไป และในความเป็นจริงแล้วบนโลกใบนี้ คนที่เข้าใจก่อกำเนิดวิถีฟ้า นอกจากเขาแล้วก็มีเพียงเทียนจุนเท่านั้น
ผ่านไปพักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงพอจะมีลางสังหรณ์ว่าความลี้ลับของก่อกำเนิดวิถีฟ้ายังจำเป็นต้องให้ตนค่อยๆ ใช้เวลาไปทำความเข้าใจถึงจะได้
“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องไปคิดถึงเวทควบคุมและวิชาอมตะมิวางวายอีกแล้ว ในแดนทุรกันดารแห่งนี้ขาดยา แถมข้ายังไม่มีวิชาก่อกำเนิด ถ้าเช่นนั้นหากคิดจะเพิ่มความเร็วในการฝึกตนก็มีเพียงวิธีเดียว…” นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยประกายสดใส มุมปากยกยิ้มรอคอย
“วิธีนี้ สำหรับคนอื่นแล้วตายเก้ารอดหนึ่ง แต่สำหรับข้าแล้วกลับ…ไม่มีความเสี่ยงแม้แต่เสี้ยวเดียว!”
“ที่สำคัญที่สุดก็คือวิธีนี้สามารถทำให้ตบะของข้า…ทะยานพรวดพราดได้ในระยะเวลาสั้นๆ นี่จะกลายเป็นช่วงเวลาที่…ตบะของข้าไต่ทะยานได้เร็วที่สุดในชีวิตนี้ เรียกได้ว่าก้าวกระโดดในคราเดียว!”
“วิธีนี้…ก็คือหลอมพลังจิตให้กับตัวอ่อนก่อกำเนิดของตัวเอง!!”
นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความเด็ดเดี่ยว ก่อนจะยกมือขวาขึ้นชี้อย่างไร้ความลังเล ทันใดนั้นประกายแสงก็เปล่งวาบ หม้อลายกระดองเต่าปรากฏพรวด
หลังจากนำวิญญาณซึ่งได้มาเป็นของขวัญในช่วงก่อนหน้านี้มาหลอมไฟตั้งแต่หนึ่งสีถึงสิบสี่สี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หลับตาลง พลันเก็บตบะรวมเข้าไว้ในร่าง ในสมองเกิดเสียงดังอึกทึก และทันใดนั้นทารกในกายเขาก็ลืมตาโพลง ก่อนจะพุ่งผ่านเรือนกายของเขาออกมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้า!
เพิ่งจะปรากฏตัว ร่างทารกก่อกำเนิดของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตัวสั่น เขาสัมผัสได้ว่าฟ้าดินแห่งนี้คล้ายจะมีไอความเย็นระลอกหนึ่งที่กล้ามเนื้อของนักพรตสัมผัสไม่ถึง ทว่าร่างของทารกก่อกำเนิดกลับสัมผัสได้อย่างเด่นชัดถึงขีดสุด ราวกับคนธรรมดายืนเปลือยร่างอยู่ท่ามกลางฟ้าดินที่มีเกล็ดหิมะปลิวว่อน
คล้ายว่าหากยืนอยู่ท่ามกลางความเย็นนี้นานเกินไปจะสร้างผลร้ายที่มิอาจหวนคืนให้กับร่างของทารกก่อกำเนิด ลางสังหรณ์เช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเชื่อว่าการวิเคราะห์ของตนไม่ผิด
ในความเป็นจริงแล้วก็เป็นเช่นนี้ สำหรับทารกก่อกำเนิดแล้ว ฟ้าดินแห่งนี้มีความมหัศจรรย์มากมายที่สามารถทำให้มันตายได้ และความเย็นนี้ก็คือหนึ่งในนั้น
เพราะอย่างไรซะเรือนกายที่มีเลือดเนื้อก็เหมือนเรือลำหนึ่ง เมื่อไม่มีเรือนกายที่มีเลือดเนื้อ ก่อกำเนิดนี้ก็คือทารกที่ว่ายน้ำไม่เป็น…
แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่รู้ว่าหากวินาทีที่ทารกก่อกำเนิดของเขาหลุดออกมาจากร่างแล้วถูกกทารกก่อกำเนิดตนอื่นๆ ที่เพิ่งเลื่อนขั้นใหม่มองเห็น ทารกเหล่านั้นต้องตะลึงลานยากจะบรรยาย เกรงว่าคงทำให้คนมองลูกตาแทบถลนออกมาจากเบ้า เพราะคนที่เพิ่งจะเลื่อนเข้าสู่เขตก่อกำเนิดนั้นไม่เพียงแต่ไม่มีทางทำให้ทารกก่อกำเนิดหลุดออกมาจากร่างได้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ที่สามารถทำให้ทารกก่อกำเนิดออกจากร่าง แม้จะเพียงแค่เสี้ยวนาทีก็ยังต้องถูกความเย็นของฟ้าดินแห่งนี้ทำให้บาดเจ็บสาหัส
หรือแม้แต่ผู้แข็งแกร่งก่อกำเนิดช่วงกลางที่ถึงแม้จะทำให้ทารกก่อกำเนิดออกมาจากร่างได้ ทว่าก็ยังไม่กล้าออกมานานนัก มากสุดก็แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น มีเพียงก่อกำเนิดช่วงท้ายหรือขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้นที่ร่างทารกก่อกำเนิดเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งจึงสามารถต้านทานไอความเย็นของฟ้าดินได้อย่างยาวนาน แต่ก็ไม่สามารถถึงขั้นเมินข้าม…
หากจะให้มองเมินก็มีเพียงคนฟ้าเท่านั้น!
ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะเหยียบเข้าสู่ขั้นก่อกำเนิด แต่กลับปล่อยให้ร่างทารกก่อกำเนิดออกมา และยังเห็นได้ชัดว่าในด้านพลังการต้านทานนั้นมีจุดที่น่าเหลือเชื่อ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะทารกก่อกำเนิดของป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือทารกก่อกำเนิดวิถีฟ้า!
“หนาวจะตายอยู่แล้ว” ร่างทารกโปร่งใสเล็กจ้อยของป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเทา เขาหันกลับมามองเรือนกายของตัวเอง ความรู้สึกเช่นนี้แปลกประหลาดอย่างมาก ทำให้เขาต้องหันมามองหลายทีอย่างอดไม่ได้ จากนั้นถึงได้ดึงสายตากลับมาแล้วบินเข้าไปยังหม้อลายกระดองเต่า ก่อนจะนั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้น
“ทำแบบนี้เท่ากับข้าต้มร่างตัวเองหรือเปล่า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ หนึ่งประโยค รู้สึกแปลกพิกล เขาลองยื่นมือทารกเล็กๆ ของตัวเองไปลูบคลำหม้อลายกระดองเต่า ยิ่งลูบยิ่งรู้สึกเหมือนว่าตัวเองต้มตัวเองจริงๆ
“ต้มก็ต้มสิ…ข้ายังต้องเติมฟืนให้ตัวเองด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าประหลาด มือขวาทำมุทราชี้ไป ทันใดนั้นไฟหนึ่งสีที่อยู่ข้างๆ ก็บินพรวดเข้ามาในหม้อกระดองเต่า พริบตาเดียวลายเส้นบนหม้อก็เปล่งประกายสีเงินแยงตา
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งรู้สึกตื่นเต้นกระวนกระวาย แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะมั่นใจ แต่ตอนนี้พอได้ควบคุมกับตัวเองก็ยังอดใจเต้นกระหน่ำไม่ได้ เพราะอย่างไรซะ…นี่ก็คือการที่เขาต้องมาหลอมตัวเองนี่นา
หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมา ผลร้ายนั้น…พอป๋ายเสี่ยวฉุนคิดถึงภาพที่ว่าเพราะตนปิดด่านนานเกินไปและไม่ได้ออกจากด่านเสียที เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ราชาผียักษ์คิดถึงตนจึงเปิดห้องลับเข้ามา และมองปราดเดียวก็คงเห็นร่างก่อกำเนิดของตนที่กำลังเดือดปุดๆ ส่งกลิ่นหอมอยู่ใน…หม้อใหญ่
ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะท้าน ยิ่งรู้สึกหนาวเยือกมากกว่าเดิม ดวงตาของเขาเผยความหวาดกลัวและเริ่มเสียใจ คิดอยากจะบินออกไปจากหม้อกระดองเต่าเพื่อพิจารณาดูใหม่ แต่เวลานี้เอง เสียงตูมตามก็พลันระเบิดออกมาจากในหม้อ
ป๋ายเสี่ยวฉุนกรีดร้องเสียงแหลม ร่างพลันถูกแสงสีเงินที่กระโจนเข้ามาใส่กลบทับไปในพริบตา พลังฟ้าดินระลอกหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมาจากในหม้อลายกระดองเต่า พริบตาเดียวก็พุ่งเข้าหาทารกก่อกำเนิดของป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่ให้โอกาสเขาได้ปฏิเสธก็ระเบิดเข้าไปในร่างทารกก่อกำเนิดของเขาทันที
ตูมๆๆ!
เสียงนี้คนนอกไม่ได้ยิน มันแค่ดังสะท้อนอยู่ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น เมื่อเสียงทั้งหมดนี้จางหายและลายเส้นสีเงินก็หายวับไป
ทารกก่อกำเนิดของป๋ายเสี่ยวฉุนก็บินออกมาพร้อมอาการตัวสั่น พอมายืนอยู่กลางอากาศ ใบหน้าเล็กๆ ของเขาก็ซีดขาว นัยน์ตาเผยความหวาดกลัว เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองคล้ายกลายมาเป็นเรือลำน้อยที่กำลังจะถูกคลื่นพิโรธกลบทับ
“น่ากลัวเกินไปแล้ว นี่ข้าหลอมพลังจิตซะที่ไหน นี่มันเอาชีวิตมาล้อเล่นชัดๆ” ด้วยความตื่นตระหนก ความเย็นเยียบจึงแผ่อวลไปทั่วหัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้เขาตัวสั่นไม่หยุด ขณะที่กำลังคิดว่าจะถอดใจ เขาก็พลันอึ้งงัน ก้มหน้าลงต่ำแล้วก็เห็นทันทีว่าบนร่างทารกก่อกำเนิดของตัวเองมีลายเส้นสีเงินปรากฏขึ้นมา…หนึ่งเส้น!!
และวินาทีที่มองเห็นเส้นสีเงินนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันสัมผัสได้ว่าดูเหมือนทารกก่อกำเนิดของตัวเองจะแตกต่างไปจากเดิม…