Skip to content

A Will Eternal 679

บทที่ 679 เจ้ามันปล้นกันชัดๆ

และนอกตระกูลเฉินในยามนี้

เนื่องจากการโอบล้อมของผู้ฝึกวิญญาณสองหมื่นคน ปราณสังหารที่แผ่ออกมาบนร่างคนเหล่านั้นพอรวมเข้าด้วยกันจึงกลายมาเป็นพลานุภาพสยบที่ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนซึ่งปกคลุมไปทั่วทั้งตระกูลเฉิน

คนในตระกูลเฉินทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนตัวสั่นเทา สีหน้าซีดขาว ต่อให้เป็นประมุขตระกูลเฉินและพวกผู้อาวุโสก็ยังลมหายใจถี่รัว ความรู้สึกถึงวิกฤตความเป็นความตายลอยซ่านไปทั่วทั้งกาย

เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเดินขยับเข้ามาใกล้ทีละก้าว ประมุขตระกูลเฉินที่มีสีหน้าดุร้ายก็พลันคำรามดังลั่น

“ป๋ายฮ่าว เจ้าอย่ารังแกกันเกินไปนัก!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักฝีเท้า นัยน์ตาเปล่งประกายเย็นเยียบ เขาคาดเดาถึงท่าทีกระด้างกระเดื่องของตระกูลเฉินได้แต่แรกแล้ว เพราะอย่างไรซะตระกูลเฉินก็ถึงขั้นกล้าหลอมธงต้องห้ามที่สร้างความเดือดดาลรังเกียจให้กับผู้คน

ตระกูลเฉินที่เป็นเช่นนี้จึงมีทางเลือกเพียงสองทาง หากไม่ต่อต้านดิ้นรนสุดชีวิต ก็ต้อง…ทำตัวต่ำต้อยสุดขีด ก้มหัวยอมรับให้กับทุกเรื่อง

และเห็นได้ชัดว่าการเลือกของตระกูลเฉินก็คือข้อแรก…หรือจะพูดอีกอย่างก็คือผู้ที่เลือกข้อแรกนี้ก็คือประมุขตระกูลเฉิน เพราะอย่างไรซะ…ศึกระหว่างตนและประมุขตระกูลเฉินในวันนั้น หากไม่เพราะมีธงต้องห้าม ตนก็เกือบจะเด็ดชีวิตของคนผู้นี้ได้แล้ว

“บังอาจ!” เฉินไห่ได้ยินอย่างนั้นก็รู้ว่าโอกาสในการแสดงตัวของตนมาถึงแล้ว เขาจึงเดินปรี่ไปข้างหน้า ตะคอกเสียงดังราวอสนีบาต ดวงตาของพวกผู้ฝึกวิญญาณก่อกำเนิดที่คุ้มกันอยู่รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งฉายแสงคมกริบทันใด

เสียงคำรามของเฉินไห่และสายตาฉายไอสังหารของก่อกำเนิดหลายสิบคนทำให้ประมุขตระกูลเฉินตัวสั่นทันที พวกผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกายเขาก็พากันตะลึงพรึงเพริด

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองประมุขตระกูลเฉินด้วยสายตาเย็นชา แล้วอยู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา ตามมาด้วยน้ำเสียงเนิบช้าที่ดังกังวาน

“นี่ก็คือท่าทีของตระกูลเฉินอย่างนั้นรึ?”

ประโยคล่องลอยเพียงประโยคเดียวเมื่อมาอยู่ท่ามกลางไอสังหารของผู้ฝึกวิญญาณสองหมื่นคนกลับเหมือนเปลี่ยนมามีน้ำหนักนับแสนชั่ง กดทับหัวใจของพวกคนตระกูลเฉิน ทำเอาประมุขตระกูลเฉินหายใจได้อย่างยากลำบาก ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงฉาน ทว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายจะไม่ฆ่าล้างตระกูลเฉินก็ย่อมได้ แต่อย่างไรตนก็ต้องตายเท่านั้น!

เขาลืมการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่ายที่คิดสังหารตนในวันนั้นไม่ลง หากไม่เพราะบุรพาจารย์ปรากฏตัวเข้ามาห้ามปรามไว้ทัน เกรงว่าคงไม่ใช่ขาดแขนไปข้างหนึ่ง แต่เขาคงหมดลมหายใจไปแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือธงทารกของเขา การดำรงอยู่ของวัตถุชิ้นนี้ได้ปลุกระดมความเคียดแค้นของปวงประชา กระตุ้นให้ฟ้าดินอยากลงโทษ

“สมบัติของตระกูลถูกย้ายไปแล้ว คนในตระกูลที่พอจะมีพลังแฝงก็ถูกสั่งให้กระจายตัวกันออกไป ข้าในฐานะที่เป็นประมุขก็ถือว่าได้ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว แม้ว่าบุรพาจารย์จะแค่ถูกคุมขัง ทว่าตอนนี้ตระกูลเฉินมีอยู่ก็เหมือนไม่มี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้ประมุขตระกูลเฉินคนสุดท้ายอย่างข้านำพาคนทั้งตระกูลไปสู่สงครามนองเลือด…ทำเช่นนี้อย่างน้อยก็ยังทิ้งชื่อไว้ให้คนรุ่นหลังรู้ว่า ตระกูลเฉินยอมตายแต่ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร…” ประมุขตระกูลเฉินพลันเงยหน้า ขณะที่กำลังจะพูดจายั่วโมโหป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าเวลานี้เอง ผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่ข้างกายเขากลับเดินก้าวออกมาเสียก่อน

“เหล่าข้าน้อยคารวะผู้กำกับการป๋าย!”

การเดินออกมาของผู้อาวุโสใหญ่ทำให้ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในตระกูลพากันผ่อนลมหายใจ ก่อนจะคารวะอย่างพร้อมเพรียง แม้แต่คนในตระกูลเฉินทุกคนก็ยังคารวะพร้อมร่างที่สั่นสะท้าน

ประมุขตระกูลเฉินเห็นว่าผู้อาวุโสใหญ่ออกหน้า สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเดี๋ยวซีดเดี๋ยวเขียว แต่กลับข่มความคิดที่จะกระตุ้นอารมณ์ป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้แล้วก้มหน้าก้มตาไม่เอ่ยคำใด

ภาพนี้ทำให้ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาบ ทว่าใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้ม หลุบตามองต่ำไปยังตระกูลเฉิน

“ข้าผู้กำกับการมาที่นี่ พวกเจ้าคงรู้แล้วกระมังว่าต้องทำอย่างไร”

“จุดประสงค์ในการมาเยือนของผู้กำกับการป๋าย พวกข้าล้วนเข้าใจดี ตระกูลเฉินมีสมบัติอยู่ไม่น้อย ขอผู้กำกับการป๋ายโปรดชื่นชม” ผู้อาวุโสใหญ่สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วเอ่ยทันที ก่อนหน้านี้เขาก็มองออกแล้วว่าประมุขตระกูลมีท่าทีปกติ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะถึงขั้นคิดยั่วโมโหผู้กำกับการป๋าย เมื่อคิดถึงผลลัพธ์หลังการกระทำเช่นนั้นก็ทำให้ผู้อาวุโสใหญ่หวาดผวาอย่างยิ่ง

“คิดจะดึงทุกคนไปตายพร้อมกับเจ้างั้นรึ…” ดวงตาของผู้อาวุโสใหญ่ทอแสงเย็นเยียบ กวาดตามองประมุขตระกูลเฉินที่เงียบงันไม่พูดจาหนึ่งครั้งก็ออกคำสั่งทันใด ไม่นานคนในตระกูลก็เอาสมบัติจำนวนมากออกมามอบให้รวดเดียว

ยาวิญญาณ วิญญาณพยาบาท ไฟหลายสี อาวุธหลอมพลังจิต และยังมีตำรับไฟหลายสี วัตถุดิบมากมายล้วนกองเป็นพะเนินอยู่บนลานกว้าง นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับอัญมณีอีกบางส่วนที่ส่องแสงแวววาว ทอประกายให้ท้องฟ้าเป็นสีสันสดใสระยิบระยับ

เพียงแต่ว่ามองดูเหมือนจะมีไม่น้อย ทว่าเมื่อเทียบกับตระกูลไช่แล้วจึงเห็นชัดเจนว่านี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงมืดทะมึนโดยพลัน

“มีเพียงเท่านี้รึ?”

ผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลเฉินขมขื่น แต่กลับอับจนหนทาง สมบัติอันเป็นรากฐานของตระกูลถูกโยกย้ายออกไปหมดแล้ว อีกทั้งเขาดันพูดเรื่องนี้ออกมาไม่ได้ด้วย ขณะที่กำลังสองจิตสองใจ ทันใดนั้นประมุขตระกูลเฉินก็พลันหัวเราะเสียงหยัน

“ตระกูลเฉินของพวกเราเจอหายนะครั้งนี้ ตระกูลก็ตกต่ำยากจนข้นแค้น ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงเท่านี้ หากเจ้าไม่เชื่อก็เข้าไปค้นดูได้ ชอบใจชิ้นไหนก็หยิบเอาไปได้เลย!”

เฉินไห่ฟังออกว่าประมุขตระกูลเฉินจงใจพูดแดกดัน พอมองป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง แล้วโบกมือบอกให้ผู้ฝึกวิญญาณพุ่งเข้าไปในตระกูลเฉิน ก่อนจะเริ่มทำการค้นหาทันที

ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนเอามือไพล่หลังอยู่กลางอากาศโดยไม่เอ่ยคำใด ปล่อยให้เฉินไห่ค้นบ้านตระกูลเฉิน ไม่นานเมื่อผู้ฝึกวิญญาณแต่ละคนค้นหาเสร็จเรียบร้อยแล้วส่งข้อความเสียงมาให้เฉินไห่ สีหน้าของเฉินไห่ก็เปลี่ยนมาเป็นไม่น่ามอง หันมาพูดกระซิบกระซาบกับป๋ายเสี่ยวฉุน

“ผู้กำกับการป๋าย ดูท่าตระกูลเฉินคงเตรียมการมาไว้ล่วงหน้า…หาอะไรไม่เจอสักอย่าง”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร ยังคงยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงนั้น เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตระกูลเฉินมีแต่ความเงียบสงัด ทว่าความกดดันกลับยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศบีบคั้นนี้ ในใจของพวกคนตระกูลเฉินต่างก็เริ่มถูกความหวาดกลัวเข้ายึดครอง

ในสายตาของพวกเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ตรงนั้นประหนึ่งบารมีจากสวรรค์ที่แผ่พลังสยบฟ้าดินอย่างที่หาคำมาบรรยายไม่ได้ ราวกับว่าความเป็นความตายของทุกคนล้วนอยู่ที่แค่ความคิดเดียวของเขา

ต่อให้เป็นพวกผู้อาวุโสตระกูลเฉินก็ยังหายใจถี่รัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีเพียงประมุขตระกูลเฉินเท่านั้นที่พร้อมสู้สุดชีวิตแล้ว จุดลึกในดวงตาของเขาจึงซุกซ่อนความบ้าคลั่งเอาไว้

ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยรอยยิ้ม เงยหน้ามองทิศไกล แทบจะขณะเดียวกับที่เขามองไป เฉินไห่และผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลเฉินต่างก็สัมผัสได้จึงหันไปมองอย่างพร้อมเพรียงกัน แล้วก็เห็นทันใดว่าบนท้องฟ้าที่ห่างออกไปไกลมีเมฆหมอกมืดทะมึนอีกผืนหนึ่งที่ทะยานเข้ามาใกล้

คนอื่นๆ ต่างก็สังเกตเห็นภาพนั้นเช่นกัน พริบตาเดียวทุกสายตาจึงพร้อมใจกันหันไปมอง ไม่นานนักเมฆดำผืนนั้นก็ยิ่งขยายใหญ่ ตะบึงเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนพอจะมองเห็นว่าด้านในนั้นก็คือผู้ฝึกวิญญาณนับหมื่นคน

ผู้นำคือชายหนุ่มคนหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้มีสีหน้าหยิ่งจองหอง ทั้งยังมากด้วยปราณดุดัน นั่นก็คือ…โจวอีซิง

เวลาแค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจ โจวอีซิงก็พลันเยื้องกรายมาถึง ผู้ฝึกวิญญาณนับหมื่นกระจายตัวกันออกไปรอบด้าน โอบล้อมเมืองตระกูลเฉินเอาไว้อีกชั้น ส่วนโจวอีซิงก็เดินเร็วๆ ออกมาหลายก้าว ตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนโดยไม่คิดจะเหลือบแลผู้ใด

เฉินไห่หน้าเปลี่ยนสี แต่พอหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่ได้ขัดขวาง

ครู่เดียวโจวอีซิงก็มาหยุดอยู่ด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วประสานมือโค้งตัวคารวะต่ำๆ

“นายท่าน ข้าน้อยปฏิบัติตามคำสั่งที่ท่านมอบหมาย ตอนนี้ได้ริบทรัพย์สมบัติที่ตระกูลเฉินโยกย้ายออกไปกลับคืนมาทั้งหมดแล้ว ขอท่านโปรดพิศดู!”

โจวอีซิงพูดจบก็สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นสมบัติจำนวนมหาศาลก็ลอยออกมาจากในถุงเก็บของของเขา

สถูปวิญญาณ ไฟหลากสี วัตถุหลอมพลังจิต ทั้งยังมีขวดหยกอีกสิบขวดซึ่งทุกขวดต่างก็บรรจุน้ำของแม่น้ำทงเทียนเอาไว้หลายหมื่นจิน….รวมไปถึงกล่องผลึกใสอีกสองกล่อง!

และยังมีสมบัติอีกมากมายที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไม่ออก หลากหลายครบครัน เหนือเกินกว่าที่ผู้อาวุโสใหญ่นำมามอบให้ก่อนหน้านี้หลายต่อหลายเท่า ถึงขั้นที่ว่าหากไม่นับรวมรูปสลักหยกวิเศษของตระกูลไช่ก็ยังต่างกันเยอะมาก

เมื่อสมบัติเหล่านี้ปรากฏออกมา ประมุขตระกูลเฉินก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง พวกผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกายของเขาก็ลมหายใจถี่รัว ตะลึงพรึงเพริดขวัญผวา ส่วนพวกคนในตระกูลเฉินต่างก็เบิกตากว้างประหนึ่งถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ได้แต่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น แม้ไม่ใช่ทุกคนที่รู้เรื่องการโยกย้ายทรัพย์สินอันเป็นรากฐานตระกูล ทว่าตอนนี้ไม่จำเป็นต้องสืบความทุกคนก็รู้ต้นสายปลายเหตุกันแล้ว!

ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดสายตามองไป ต่อให้จะมีประสบการณ์กับเรื่องรีดไถตระกูลไช่มาแล้ว แต่พอได้เห็นสมบัติเหล่านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังใจเต้นกระหน่ำด้วยความตื่นเต้น กระนั้นสีหน้ากลับยังคงวางเฉยผ่อนคลาย ทั้งยังสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งแล้วเอ่ยเนิบนาบ

“เก็บไปให้หมดเถอะ สมบัติเหล่านี้คนเขาไม่ต้องการ ในเมื่อไม่ต้องการ พวกเราก็เอาไปแล้วกัน ขอบคุณประมุขตระกูลเฉินมาก” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ เฉินไห่สำลักลมหายใจ ฝืนดึงสายตากลับมาจากสมบัติเหล่านั้น โจวอีซิงรับคำทันที ก่อนจะสั่งความให้คนเก็บเอาสิ่งของที่กองอยู่บนลานกว้างมาทั้งหมด…

ประมุขตระกูลเฉินในยามนี้สีหน้าราวกับขี้เถ้ามอด ในสมองมีเสียงดังอึงอล ร่างสั่นเทิ้มอย่างมิอาจควบคุม ส่วนผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็พากันข่มกลั้นความเดือดดาลในใจ ท่ามกลางวิกฤตความเป็นความตายอย่างนี้ พวกเขาไม่กล้าเงยหน้าตอบโต้ แต่ก็ยังมีเด็กรุ่นเล็กในตระกูลที่โทสะรุนแรง พวกเขาเคยชินกับการวางอำนาจบาตรใหญ่ของตระกูลมานาน พอเห็นภาพนี้เกิดขึ้นคาตาของตัวเองจึงอดไม่ไหว ตวาดออกไปอย่างเจ็บแค้น

“พวกเจ้าทำเกินไปแล้ว!!”

“ป๋ายฮ่าว นี่เจ้ากำลังปล้นกันชัดๆ!!”

เมื่อเสียงเหล่านี้ดังออกมา พวกผู้อาวุโสในตระกูลเฉินก็หน้าเผือดสีทันใด หมายจะห้ามปราม แต่กลับช้าไปเสียแล้ว เฉินไห่กำลังรอโอกาสให้ได้แสดงฝีมือของตัวเองอยู่ทีเดียว พอได้ยินอย่างนี้ ไอสังหารในดวงตาจึงเปล่งวาบ พลันยกมือขวาขึ้นชี้ผ่านอากาศ

เสียงตูมตามดังกึกก้อง กลางหว่างคิ้วของเด็กรุ่นเล็กสองคนของตระกูลเฉินที่ก่นด่าก่อนหน้านี้ทะลุเป็นรูโหว่สีเลือด ดวงตาคนทั้งสองยังหลงเหลือความเกรี้ยวกราด ทว่าร่างกลับอ่อนยวบลงไปกองกับพื้นแล้ว

“สามหาวยิ่งนัก นามของผู้กำกับการป๋าย มีหรือที่พวกเจ้าจะเอ่ยเรียกได้ตามใจชอบ!” เฉินไห่แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง กวาดสายตาอำมหิตมองไปรอบด้าน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!