Skip to content

A Will Eternal 685

บทที่ 685 บุปผาราชาผีผลิบาน

“น่าเสียดายที่ยังฝึกกระดูกคงกระพันไม่ได้…”

แม้ว่าตบะเพิ่มพูนจะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม รู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ แต่พอนึกถึงกระดูกคงกระพันเขาก็เริ่มกลัดกลุ้ม

ถึงแม้สมบัติของสามตระกูลใหญ่จะมีเยอะมาก ทว่ากลับไม่มีวัตถุใดที่สามารถชดเชยพลังชีวิตได้ นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจเฮือกใหญ่

พลันรู้สึกเสียใจที่ตอนนั้นมือซ้ายของตนถือร่มราตรีนิรันดร์ มือขวาหิ้วราชาผียักษ์ ตนน่าจะใช้ร่มราตรีนิรันดร์ทิ่มไปยังร่างราชาผียักษ์สักสองสามที…ดูดเอาพลังชีวิตอีกฝ่ายมาสองสามคำ คงช่วยการฝึกบำเพ็ญตบะของตนได้มากแน่นอน

“น่าเสียดายจริง เวลากระชั้นชิดไปหน่อย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะรีบปัดความคิดอันตรายนี้ออกไปทันที หากราชาผียักษ์รู้เข้าคงแร่เนื้อเถือหนังตนแน่นอน…

ป๋ายเสี่ยวฉุนโคลงหัวไปมา ครุ่นคิดอยู่อีกพักใหญ่ สุดท้ายก็ได้แต่ฝังกลบเรื่องนี้ไว้ในใจ

“วางกระดูกคงกระพันเอาไว้ก่อน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการศึกษาไฟสิบห้าสี…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจดีว่าหากคิดจะเพิ่มความเร็วให้กับตบะของตัวเองมีเพียงพยายามในด้านไฟหลายสีเท่านั้น และตำรับไฟสิบห้าสีนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็วิจัยศึกษามานานมากแล้ว ทว่ายังมีหลายจุดที่ยังไม่กระจ่างแจ้ง

ยามนี้เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งทีแล้วหยิบเอาไฟสิบห้าสีกลุ่มหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของ ก่อนจะเริ่มสังเกตมันตาไม่กะพริบ นัยน์ตาเผยแววแห่งการอนุมาน เขาเตรียมจะวิเคราะห์แบบย้อนกลับ เพื่อศึกษาว่าควรจะหลอมไฟสิบห้าสีอย่างไร

วิธีการเช่นนี้ทำให้เขาเข้าใจการหลอมไฟสิบห้าสีได้เร็วขึ้น การที่มีกรณีศึกษาและวัตถุตัวอย่างเช่นนี้ย่อมทำให้การวิจัยราบรื่นอีกไม่น้อย

ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วสามวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนจมจ่อมอยู่กับการหลอมไฟสิบห้าสี ในดวงตาของเขาบางครั้งก็เผยแววตื่นเต้นดีใจ แม้จะแค่สามวัน ทว่าเมื่อใช้วิธีการอนุมานเช่นนี้ ผลเก็บเกี่ยวของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมากมหาศาล

ยามนี้ดวงตาเขาเป็นประกายระยับ ไฟสิบห้าสีที่อยู่ในมือพลันแผ่กระจายออกไป ดวงตาทั้งคู่ฉายแววประหลาดใจ เมื่อสังเกตอย่างละเอียดเขาก็ถึงกับทำลายไฟสิบห้าสีนั้นทิ้งไปอย่างไม่เสียดาย เพราะหมายจะดูว่าอีกหนึ่งสีที่เพิ่มเข้ามาด้านในนี้อยู่ร่วมกับไฟสิบสี่ได้อย่างไร ในสมองก็วิเคราะห์ตำรับการหลอมยา ยืนยันไปทีละข้อ จนกระทั่งกระจ่างแจ้งมากกว่าเดิม

และเมื่อยามสนธยาของวันที่สามมาถึง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ หนึ่งที ไฟสิบห้าสีในมือสลายไปกลางอากาศแล้ว เขาหลับตาทั้งคู่ลง ในสมองวิเคราะห์ต่อเนื่อง ครึ่งชั่วยามต่อมา ดวงตาของเขาก็เปิดออก เผยให้เห็นประกายคมกริบ กำลังจะหยิบไฟสิบห้าสีออกมาอีกกลุ่มหนึ่ง ทว่าดวงตาทั้งคู่ของเขาพลันวาบไหว เงยหน้ามองออกไปนอกห้องลับ

“สามวันแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำแผ่วเบา ลุกขึ้นเดินออกมานอกห้องลับ เมื่อมายืนอยู่ในลานบ้าน ทอดสายตาไปบนท้องฟ้า ไม่นานนักก็มองเห็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งห้อทะยานมาจากทิศไกล นั่นก็คือเฉินไห่

“น้องป๋าย” เฉินไห่หัวเราะฮ่าๆ ก้าวยาวๆ เข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส กุมมือคารวะหนึ่งที

“พี่เฉิน” ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็คลี่ยิ้มเดินไปรับหน้า

“น้องป๋าย งานที่เจ้ามอบหมายให้ พี่ชายทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ในนี้ทั้งหมด” เฉินไห่หยิบถุงเก็บของใบหนึ่งออกมาส่งให้ป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนรับมาแล้วกวาดตามองหนึ่งครั้ง ลมหายใจของเขาถี่กระชั้นน้อยๆ ดวงตาฉายแสงเย็นเยียบ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็กุมมือคารวะเฉินไห่ คนทั้งสองเจรจาพาทีกันอีกสองสามประโยค เฉินไห่ถึงได้บอกลาแล้วกลับไป

เมื่อเห็นว่าร่างของเฉินไห่จากไปไกลแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงหมุนกายกลับเข้าไปในห้องลับ นั่งขัดสมาธิมองถุงเก็บของในมือที่ด้านในมีศีรษะคนอยู่เก้าหัว!

คนทั้งเก้านี้ก็คือนักฆ่าที่วันนั้นเค้นถามฮูหยินไช่จนได้ความว่านางส่งไปสังหารป๋ายฮ่าว พวกเขาไม่ใช่คนของตระกูลป๋ายทั้งหมด มีบางคนที่เป็นผู้ช่วยซึ่งคนตระกูลไช่หามา แต่ไม่ว่าพวกเขาจะมีตัวตนแบบไหน ตอนนี้ก็เหลือแค่หัวอย่างเดียวแล้ว

มองหัวคนพวกนี้ ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีภาพตอนที่ตัวเองเพิ่งมาถึงแดนทุรกันดารและได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของป๋ายฮ่าว ผ่านไปพักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง หัวคนทั้งเก้าจึงสลายกลายเป็นเถ้าธุลีในชั่วพริบตา

“ศิษย์ป๋ายฮ่าว อาจารย์ช่วยเจ้าแก้แค้นแทนเจ้าแล้ว และไม่ถือว่าเอาตัวตนของเจ้ามาใช้อย่างเสียเปล่า หากวิญญาณเจ้ายังอยู่ก็สงบใจได้แล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำในใจ ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง นับตั้งแต่ที่สังหารคนสายตรงของตระกูลป๋าย จนกระทั่งนักฆ่าเหล่านี้กลายเป็นเพียงฝุ่นผง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เพิ่งวางใจลงได้เหมือนกัน เหมือนกับว่าตัวเองได้ตัดเวรตัดกรรมครั้งหนึ่งทิ้งไป

ยามนี้ตัวเขาเองก็สงบจิตสงบใจลงได้ เงียบไปพักใหญ่ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงหยิบเอาไฟสิบห้าสีอีกกลุ่มออกมาแล้วเริ่มจมจ่อมอยู่กับการอนุมานของตัวเอง

ไม่นานเวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ตลอดหนึ่งเดือนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนตกอยู่ในภวังค์แห่งการอนุมานไฟสิบห้าสี ปิดด่านไม่ออกไปไหน ทว่าชื่อเสียงของเขาในนครผียักษ์กลับยิ่งเลื่องลือมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสามตระกูล ต่อให้เป็นคนที่การข่าวล่าช้าแค่ไหน ยามนี้ก็ยังรู้กันหมดแล้ว ความเคารพยำเกรงต่อป๋ายเสี่ยวฉุนจึงยิ่งมีมาก

บวกกับที่พระราชโองการแต่งตั้งป๋ายฮ่าวเป็นผู้ตรวจการของราชาผียักษ์ได้แพร่ออกมา ข่าวที่ราชาผียักษ์ประทานทวนประจำกาย ยกตำหนักที่พักให้ ทุกอย่างนี้ล้วนทำให้อำนาจบารมีของป๋ายเสี่ยวฉุนในนครผียักษ์ระบือไกลไม่ต่างจากชื่อเสียงด้านความเหี้ยมอำมหิตของเขา

เมื่อชื่อเสียงความดุร้ายของป๋ายเสี่ยวฉุนแพร่ออกไป ทุกกลุ่มอิทธิพลในนครผียักษ์จึงอยู่กันอย่างสงบเสงี่ยม ตลอดทั้งนครผียักษ์จึงไม่มีคลื่นลมใดๆ ก่อตัวขึ้นอีก ทุกอย่างหวนคืนสู่ความเป็นระเบียบดังเดิม

ไม่มีใครคาดเดาได้ว่ากลางวันของวันนี้ที่หลังจากนครผียักษ์กลับสู่ความสงบมาได้พักใหญ่ กลางแดนทุรกันดารที่ห่างจากนครผียักษ์มาได้ประมาณล้านลี้กลับมีภาพเหตุการณ์สะท้านฟ้าดินเกิดขึ้น!

ที่นั่นคือพื้นที่แห่งหนึ่งซึ่งมีไอหมอกหนาแน่นปกคลุมกินบริเวณกว้างขวางมากพอห้าหมื่นลี้ พื้นดินล้วนมีแต่โคลนตมเฉอะแฉะ ไม่มีสัตว์ร้ายใดๆ ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนพื้นที่แห่งความตาย

อีกทั้งในบริเวณนี้ยังมีหมอกควันล้อมวนอยู่ตลอดทั้งปี บางครั้งหมอกเหล่านั้นก็กลิ้งซัดตลบแผ่กระจายไปรอบด้าน คนนอกมิอาจมองทะลุเข้าไปข้างในด้วยตาเปล่า และก็เพราะกลิ่นอายความตายของที่แห่งนี้เข้มข้นอย่างมาก อีกทั้งในหมอกควันยังมีพิษร้ายแรง ต่อให้เป็นนักพรตก่อกำเนิดเข้าใกล้ก็ยังยืนหยัดได้ไม่นานนัก หากโดนพิษนานวันเข้า จิตวิญญาณก็จะโรยราและตายไป

เป็นเหตุให้สถานที่แห่งนี้ถูกมองเป็นพื้นที่ต้องห้ามมานานแล้ว วันปกติแทบจะไม่มีใครเยื้องกรายมาเยือน ต่อให้มีผู้ฝึกวิญญาณผ่านมาก็ยังต้องอ้อมไปไกลอย่างระมัดระวัง

ทว่าหากมีผู้มากความสามารถยืนอยู่บนท้องฟ้าแล้วมองลงไปด้านล่างจะพอเห็นได้รำไรว่าท่ามกลางหมอกหนามี…สิ่งปลูกสร้างแปลกประหลาดอยู่แห่งหนึ่ง!

รูปร่างคล้ายกาน้ำขนาดใหญ่มโหฬาร…

ในไอหมอกรอบด้านกาน้ำนี้มีวิญญาณล้อมวนอยู่ไม่น้อย วิญญาณเหล่านี้แตกต่างไปจากวิญญาณพยาบาทของที่อื่น ดวงตาทั้งคู่ของพวกมันมีแสงสีแดงเปล่งวูบวาบคล้ายฉุนเฉียวอารมณ์ร้ายมากกว่า บนหัวมีเขางอกขึ้นมาหนึ่งแท่งลักษณะเหมือนผีร้าย!

แต่ว่าผีร้ายคลุ้มคลั่งเหล่านี้ทำเพียงล่องลอยอยู่รอบๆ กาน้ำเท่านั้น ไม่เคยบินออกไปจากกลุ่มหมอก ดั่งว่าขอแค่ไม่มีใครไปหาเรื่องก่อน ก็จะไม่นำภัยความตายมาสู่ตัว

สถานที่แห่งนี้ก็คือหนึ่งในแปดพื้นที่ลับอันยิ่งใหญ่ที่เป็นของเชื้อพระวงศ์โดยเฉพาะ ชื่อว่า…กาหลอมวิญญาณ!

สำหรับการก่อตัวและที่มาของกาหลอมวิญญาณนี้ไม่มีใครบอกได้ รู้เพียงว่าสถานที่นี้เกิดจากโชควาสนาอย่างเดียวเท่านั้น อยู่ในครอบครองของเหล่าเชื้อพระวงศ์ เดิมทีเนื่องจากสถานที่แห่งนี้มีไอหมอกล้อมวนแน่นหนาจึงถูกปิดผนึกตลอดทั้งปี จะเปิดขึ้นเพียงแค่วันที่ถูกกำหนดเป็นพิเศษเท่านั้น วันนี้ไม่รู้เหตุใดกาหลอมวิญญาณถึงได้สั่นสะเทือนขึ้นมา พอมันสั่นสะเทือนแผ่นดินจึงโยกไหวตามไปด้วย ทั้งยังมีเสียงกัมปนาทดังระเบิดออกมาจากในกาหลอมวิญญาณติดต่อกัน

ท่ามกลางการระเบิดนั้น หมอกควันรอบด้านจึงกลิ้งซัดอย่างรุนแรง ก่อนจะลอยขึ้นไปกลางอากาศช้าๆ สุดท้ายจึงก่อตัวขึ้นเป็นดอกไม้ดำแปลกประหลาดดอกหนึ่งบนอากาศเหนือกาหลอมวิญญาณ!

ดอกไม้ดำนี้มีห้ากลีบ ทุกกลีบต่างก็มีใบหน้าผีหนึ่งหน้าประทับเอาไว้ มันผลิบานอยู่ระหว่างฟ้าและดิน และหมอกควันที่ล้อมวนอยู่รอบมันก็กลายมาเป็นหน้าผี มองไกลๆ แล้วสยองขวัญชวนขนลุก

แทบจะวินาทีเดียวกับที่สถานที่แห่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง คนแรกที่สัมผัสได้ก็คือราชาผียักษ์ที่อยู่ในนครผียักษ์ เดิมทีเขานั่งอยู่ในตำหนักราชา รับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับนครเก้านรกภูมิที่อู๋ฉางกงรวบรวมมาด้วยดวงตาที่ฉายแสงเย็นเยียบ ขณะที่กำลังจะเปิดปากเขากลับหน้าเปลี่ยนสี พลันเงยหน้าขึ้นทันใด

“บุปผาราชาผี!” ลมหายใจของราชาผียักษ์กระเพื่อมรุนแรง ขณะที่อู๋ฉางกงกำลังอึ้งงัน ร่างของราชาผียักษ์กลับหายวับไปจากตำหนักราชา พอปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่บนนภากาศ ก้าวเดินไปไม่กี่ก้าวก็มาปรากฏอยู่ตรงตำแหน่งที่ตั้งของกาหลอมวิญญาณอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ มองดอกไม้สีดำที่เกิดจากหมอกควันลอยสูงขึ้นกลางอากาศ ดวงตาของราชาผียักษ์ฉายแสงคมกล้า พอก้มลงมองกาหลอมวิญญาณเบื้องล่างด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้ง เขาก็หมุนกายแล้วหายวับไป มาปรากฏตัวอีกครั้งในตำหนักราชาของตัวเอง ก่อนจะโบกมือไล่อู๋ฉางกง หลับตาครุ่นคิดด้วยสีหน้าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย หันมองไปทางนครจักรพรรดิ

เวลาเดียวกันนั้น ในนครจักรพรรดิซึ่งห่างจากที่นี่ไปไกลโข กลางพระราชวังมีตำหนักใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง ตำหนักนี้ว่างเปล่า มีเพียงเศษกระดูกผุพังเก่าแก่อยู่แปดชิ้นเท่านั้น ทว่ายามนี้กระดูกหนึ่งชิ้นในนั้นพลันปรากฏควันสีดำปริมาณมาก พริบตาเดียวควันนี้ก็มารวมตัวกันแล้วกลายมาเป็นดอกไม้หมอกดำดอกหนึ่งที่มีลักษณะเดียวกับดอกไม้เหนือกาหลอมวิญญาณอย่างไม่มีผิดเพี้ยน!

ชั่วขณะที่ดอกไม้หมอกดำนี้ก่อตัว ผู้เฒ่าหลายคนที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักใหญ่เดิมทีกำลังนั่งเข้าฌาน ทว่าบัดนี้กลับพากันหน้าเปลี่ยนสี หมุนกายพุ่งเข้ามาในตำหนัก พอเห็นดอกไม้สีดำเหนือเศษกระดูกชิ้นนั้น พวกเขาก็ตัวสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่ได้

“บุปผาราชาผีผลิบาน!!”

พอผู้เฒ่าเหล่านี้มองหน้ากันไปมาก็รีบหยิบแผ่นหยกออกมาถ่ายทอดเรื่องราวให้ต้าเทียนซือของนครจักรพรรดิรับรู้ทันที

“กาหลอมวิญญาณสั่นสะเทือน บุปผาราชาผีผลิบาน เปิดหนึ่งในแปดสถานที่ลับ…ดอกไม้นี้สำคัญต่อราชาผียักษ์อย่างมาก…” ในตำหนักเทียนซือ ต้าเทียนซือแห่งนครจักรพรรดิขุยเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ ทอดสายตามองไปยังทิศไกล ทิศทางที่เขามองไปก็คือที่ตั้งของกาหลอมวิญญาณ ขณะที่กำลังครุ่นคิดก็พลันได้ยินเสียงคนรายงานดังมาจากนอกตำหนัก

“เทียนซือ เซียนสาวธุลีแดงขอเข้าพบ”

“ไม่พบ แจ้งออกไปว่า บุปผาราชาผี ผู้มีวาสนาจึงได้ครอบครอง” ต้าเทียนซือเอ่ยปากเนิบช้า ดวงตาทั้งคู่เปล่งแสงวาบ

และเมื่อต้าเทียนซือป่าวประกาศเรื่องบุปผาราชาผีออกไปทั่วทั้งนครจักรพรรดิขุย ทางฝ่ายของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ใช้ไฟสิบห้าสีหมดไปหกกลุ่ม ในที่สุดก็เริ่มมั่นใจในวิธีการหลอม

เขาจึงหยิบเอาสถูปวิญญาณหนึ่งหลังออกมาอย่างตื่นเต้น ตบหนึ่งครั้งวิญญาณพยาบาทจำนวนมากก็บินออกมาแล้วกระจายตัวไปรอบด้าน ก่อนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะตั้งสมาธิเริ่มหลอมไฟสิบห้าสี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!