Skip to content

A Will Eternal 687

บทที่ 687 หวังเหย่โปรดวางใจ

อำนาจจิตของราชาผียักษ์ไม่สามารถปกคลุมไปทั่วทั้งนครผียักษ์ได้ทุกวัน โดยเฉพาะตอนนี้เขากำลังครุ่นคิดถึงแผนการของตัวเอง ระหว่างที่เรียกป๋ายเสี่ยวฉุนมาพบจึงกำลังทวนแผนการของตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ในสมองหนึ่งรอบ

เพราะผลของบุปผาราชาผีนั้นสำคัญกับเขามากเกินไป เพราะราชาผียักษ์รุ่นก่อนๆ มีเวลาไม่มากพอ เมื่อมาถึงเขาจึงสะสมมาแล้วสี่ผล ขาดอีกแค่ผลเดียวก็ครบเป็นเบญจธาตุ สามารถคลี่คลายข้อบกพร่องของวิชาการฝึกตนได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันเด็ดขาด เขาจะต้องมีความมั่นใจมากพอว่าครั้งนี้ตนจะได้ครอบครองผลราชาผี เพราะอย่างไรซะหากคนอื่นได้ผลราชาผีนี้ไป หากตนคิดจะไปขอแลกมา ไม่เพียงแต่ต้องกลายมาเป็นฝ่ายถูกกระทำ ทั้งยังอาจจะต้องเจอกับอุปสรรคและเรื่องไม่คาดคิดอีกมาก

ตนได้มาครองเองถึงจะมั่นคงที่สุด

และยามนี้องค์รักษ์สองคนนั้นก็กลับมาพอดี ก่อนจะรายงานเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดข้อผิดพลาดขณะฝึกตน จำต้องปิดด่านต่อไปอีกครึ่งปีอย่างอึกๆ อักๆ …

ราชาผียักษ์ถลึงตามอง ควันออกหูทันที เขาทะลึ่งพรวดขึ้นยืน สะบัดร่างหนึ่งครั้งก็หายวับไปทันใด พอปรากฏตัวก็มาอยู่ในลานที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ก่อนจะมองข้ามค่ายกลของพื้นที่ปิดด่านเดินตรงเข้าไปข้างในมาปรากฏตัวพรวดอยู่ในห้องลับของป๋ายเสี่ยวฉุน

ราชาผียักษ์เพิ่งจะเข้ามาก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่หน้าซีดขาว เอามือกุมหน้าอก กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ สายตาพร่าเลือนน้อยๆ …และยามนี้ก็เหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะรู้ว่าในห้องลับมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน หลังจากหายตะลึงจึงฝืนหยัดกายขึ้น กุมมือที่สั่นระริกคารวะทั้งใบหน้าไร้สีเลือด

“ข้าน้อย คารวะหวังเหย่”

ราชาผียักษ์เองก็อึ้งไปเหมือนกัน เลือดที่อีกฝ่ายกระอักออกมานั้นเยอะมาก แถมร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ก็มองดูเหมือนอ่อนแอกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด พอเขากวาดพลังจิตมองไปก็มองออกว่าตบะในร่างป๋ายเสี่ยวฉุนยุ่งเหยิง สีหน้าของเขาจึงขรึมลงอย่างห้ามไม่ได้

“ทำอีท่าไหนของเจ้า!” ราชาผียักษ์ถามเสียงหนัก

“หวังเหย่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มเจื่อน ส่ายหัวอย่างขมขื่น หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกอยู่หลายครั้งก็เช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก ก้มหน้าตอบเบาๆ

“ข้าน้อยคิดจะบุกน้ำลุยไฟเพื่อหวังเหย่ แต่จนใจที่ตบะไม่มากพอ ด้วยความร้อนใจจึงฝืนฝ่าทะลุขอบเขตก่อกำเนิดช่วงต้น ไม่คิดว่าจะเกิดข้อผิดพลาด…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดขาว น้ำเสียงก็แหบพร่าอ่อนกำลัง ทว่าดวงตากลับฉายความเด็ดเดี่ยว

“แต่หวังเหย่โปรดวางใจ ขอแค่ให้เวลาข้าอีกครึ่งปี ข้าต้องฟื้นพละกำลังกลับมาได้แน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพยายามยกมือขึ้นมาตบหน้าอกด้วยท่าทางที่ว่าเพื่อหวังเหย่แล้ว ต่อให้ตัวตายก็ไม่เสียดาย ทว่ากลับแอบสังเกตราชาผียักษ์อยู่ลับๆ ในใจใคร่ครวญว่าไม่ว่าอย่างไรตนก็ไม่ยอมไปที่เสี่ยงๆ แบบนั้นเด็ดขาด อยู่ในนครผียักษ์นี่แหละปลอดภัยที่สุด…

สีหน้าของราชาผียักษ์เปลี่ยนมาเป็นขบขัน

มองประเมินป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายครั้ง หนังหน้ากระตุกยิกๆ เขาไม่เชื่อหรอกว่าเรื่องจะบังเอิญขนาดนี้ บุปผาราชาผีผลิบาน ในขณะที่เหล่าผู้มากความสามารถพยายามแย่งชิงกันสุดฤทธิ์ ป๋ายฮ่าวผู้นี้กลับเกิดปัญหาระหว่างฝึกตน ยามนี้เขาไม่มีเวลามาเปลืองน้ำลายกับป๋ายเสี่ยวฉุนจึงยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นกลางมือก็มียาเม็ดหนึ่งปรากฏออกมา

ยาเม็ดนี้เป็นสีขาวส่องแสงอ่อนโยน ด้านในมีเงามังกรตัวหนึ่งผลุบๆ โผล่ๆ กลิ่นหอมของยาแผ่อบอวลไปแปดทิศในพริบตาเดียวอย่างน่าตะลึง พอป๋ายเสี่ยวฉุนได้เห็นดวงตาก็แข็งค้างทันที สูดลมเฮือกๆ ติดต่อกัน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นยาในแดนทุรกันดาร

เขาเป็นปรมาจารย์ด้านการหลอมยาจึงวิเคราะห์ได้ในปราดเดียวว่ายาเม็ดนี้คือสุดยอดยารักษาอาการบาดเจ็บ มีประสิทธิภาพมหัศจรรย์ยิ่งกว่ายาเทพสถิตเสียอีก สามารถพูดได้ว่าเป็นยาที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน

ยาประเภทนี้ขนาดในแถบแม่น้ำทงเทียนยังมีให้เห็นน้อย นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในแดนทุรกันดารเลย เห็นได้ชัดว่านี่ก็คือวัตถุล้ำค่าที่ราชาผียักษ์เก็บเอาไว้

“ยานี้มีชื่อว่ายาวาสนาทลายฟ้า ชีวิตหนึ่งกินได้แค่เก้าเม็ด และก็เพราะข้าผู้เป็นราชากินยานี้ไปเก้าเม็ด ช่วงเวลาของการเสื่อมถอยจึงย่นระยะลง ส่วนคนอื่นๆ หากยังเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย กินเข้าไปก็สามารถหายดีได้ในพริบตา”

“เจ้าคิดให้ดีก็แล้วกัน ต่อให้ครั้งนี้เจ้าบาดเจ็บสาหัส เจ้าอยากไปก็ได้ไป ไม่อยากไปก็ต้องไป ทว่าหากเจ้าไม่กินยาเม็ดนี้เข้าไป ต่อให้ภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว ข้าผู้อาวุโสก็ไม่มีทางทำให้เจ้าลำบากใจ แต่หากเจ้ากินไปแล้ว ยังไงก็ต้องภารกิจให้สำเร็จจงได้!” ราชาผียักษ์เอ่ยเนิบนาบ ทว่าถ้อยคำนั้นแฝงไปด้วยอำนาจที่ไม่อาจต่อต้าน ขณะที่นัยน์ตาลุกเรืองมองป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ทำให้ยาเม็ดนี้ทะยานเข้าหาปากของอีกฝ่าย

ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนตัวสั่นไปหมด พอเห็นว่ายาเม็ดนั้นเข้ามาใกล้จึงรีบเอื้อมมือมาคว้าไว้ทันที ก่อนจะทำหน้าม่อยคอตกมองราชาผียักษ์ตาปริบๆ ในใจด่ากราดไม่หยุด แต่ก็อับจนหนทาง เขามองออกถึงความเด็ดเดี่ยวของราชาผียักษ์ เขาเข้าใจดีว่าเป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่าไว้จริง อยากไปก็ได้ไป ไม่อยากไปก็ต้องไป…

คิดมาถึงตรงนี้ หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็เต็มไปด้วยความกล้ำกลืน ทว่าภายนอกกลับยิ้มแย้มแจ่มใส ในร่างมีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่นออกมา ตบะที่เมื่อครู่ยังยุ่งเหยิงกลับหายดีเป็นปกติในชั่วพริบตา

“หวังเหย่โปรดวางใจ ข้าน้อยต้องทำสุดความสามารถเพื่อให้ภารกิจสำเร็จแน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเสียงดัง

“อาการบาดเจ็บหายดีแล้ว?” ราชาผียักษ์พูดพร้อมยิ้มตาหยี

“เอ๊ะ? หากหวังเหย่ไม่พูดข้าก็ไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย หายดีแล้วจริงๆ ด้วย ครั้งก่อนที่ตบะของข้าฝ่าทะลุก็เพราะได้ไปเข้าเฝ้าหวังเหย่ ครั้งนี้อาการบาดเจ็บหายดีเป็นปลิดทิ้งก็เพราะหวังเหย่มาเยี่ยมเยือนด้วยตัวเอง หวังเหย่ท่านช่างเยี่ยมยุทธิ์ไร้เทียมทาน ดั่งมังกรทะยานสู่เก้าชั้นฟ้า เพียงแค่สายตามองมาก็ทำให้ข้าน้อยเหมือนได้กินยาวิเศษเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดประจบคล่องปากอย่างไม่มีขัดเขิน

ราชาผียักษ์กระแอมเบาๆ หนึ่งครั้ง รู้จักความหน้าด้านของป๋ายเสี่ยวฉุนดี ตอนนี้จึงไม่สนใจความกะล่อนของป๋ายเสี่ยวฉุนอีก แต่เริ่มสั่งความด้วยสีหน้าจริงจัง

ป๋ายเสี่ยวฉุนรับฟังอย่างตั้งใจ แรกเริ่มเขายังรู้สึกวางใจเพราะคิดว่าตนร้ายกาจขนาดนี้ หากใครกล้ามาแหยมกับเขา เขาก็แค่ลงมือกำราบเท่านั้น

ทว่าฟังไปฟังมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เบิกตากว้างหัวใจเต้นกระหน่ำ พอคิดว่าครั้งนี้ทุกคนล้วนร่วมมือกันพุ่งเป้าเล่นงานราชาผียักษ์ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มหวาดวิตก

“นั่นมันซื่อจื่อที่พวกราชาสวรรค์ส่งตัวมาเองเลยนะ แถมยังมีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของตระกูลชั้นสูงในนครจักรพรรดิขุยอีกด้วย! คนเหล่านี้ต่อให้ไม่ใช่ก่อกำเนิดวิญญาณสัตว์ฟ้าทุกคน แต่ก็ต้องมีหลายคนที่เป็นเช่นนั้น…แล้วนับประสาอะไรกับที่คนพวกนี้ยังร่วมมือกันด้วย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจอย่างต่อเนื่อง หน้าก็เริ่มกลับมาซีดขาวอีกครั้ง เพราะคนที่ไปต้องเป็นยอดฝีมือผู้แกร่งกล้าแน่นอน

แม้ตนจะร้ายกาจ ทว่าพยัคฆ์ร้ายต้านทานฝูงหมาป่าไม่ได้ฉันท์ใด หากตนไม่ระวังเพียงนิด ชีวิตน้อยๆ ก็ต้องตกอยู่ในอันตรายฉันท์นั้น…

“สมควรตายนัก ทำไมจะต้องให้ก่อกำเนิดไปอย่างเดียวด้วย นี่ถ้าคนที่ไปมีแต่รวมโอสถก็คงดี…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา แม้เขาจะรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังไม่มั่นใจนัก เมื่อเห็นว่าราชาผียักษ์ไม่ยอมให้ปฏิเสธ จึงได้แต่ฝืนใจพยักหน้าตอบรับ

“แต่เจ้าเองก็ไม่ต้องกดดันมากนัก มีทวนประจำตัวและยาวาสนาทลายฟ้าของข้าผู้เป็นราชาอยู่ เจ้าก็ยังพอรักษาตัวรอดได้ อีกทั้งข้าผู้เป็นราชายังวางแผนไว้แล้ว ขอแค่เจ้าเข้าไปในกาหลอมวิญญาณนั่นได้ ทุกอย่างก็ไร้ปัญหา”

ราชาผียักษ์มองป๋ายเสี่ยวฉุน เงียบนิ่งไปครู่ก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยปลอบ แต่พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังหน้านิ่วคิ้วขมวด ราชาผียักษ์ก็เริ่มคำรามเบาๆ

“เจ้าอย่าลืมล่ะ ระหว่างเจ้ากับข้ายังมีตราผนึกอยู่ มีหรือที่ข้าผู้เป็นราชาจะยอมปล่อยให้เจ้าไปตาย?”

ประโยคนี้ถือว่าทำให้อารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนผ่อนคลายได้ในที่สุด เขาครุ่นคิดเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าตนแค่ไปที่กาหลอมวิญญาณ ไม่มีเรื่องกับใครทั้งนั้น คิดๆ ดูแล้วหากทำเช่นนี้ก็คงไม่มีใครสนใจตน อีกทั้งดูตามความหมายของราชาผียักษ์ก็เหมือนจะเตรียมหาผู้ช่วยไว้ให้เขาแล้วด้วย นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกมั่นใจขึ้นได้บ้าง

ราชาผียักษ์เอ่ยสั่งความอีกรอบ ก่อนจะจากไปก็ได้ให้ขวดยากับป๋ายเสี่ยวฉุนไว้หนึ่งขวด ซึ่งด้านในนั้นมียาวาสนาทลายฟ้าอีกแปดเม็ด! บวกกับเม็ดก่อนหน้านั้นก็เท่ากับเก้าเม็ดพอดี!

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นแล้วก็ยังอดตื่นตะลึงไปกับความใจกว้างของราชาผียักษ์ไม่ได้ ในใจรู้สึกมั่นคงยิ่งกว่าเดิม

ทำทุกอย่างนี้แล้วเสร็จ ราชาผียักษ์ถึงได้พาป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป ก่อนจะมอบหมายให้อู๋ฉางกงเดินทางไปพร้อมกับป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยตัวเอง คนทั้งสองจึงนั่งเรือผียักษ์ออกจากนครผียักษ์ตรงดิ่งไปยังกาหลอมวิญญาณตั้งแต่วันนั้นเลย

บนนภากาศ เรือรบสีดำลำหนึ่งพุ่งทะยานแหวกอากาศจากไปไกลด้วยความเร็วน่าตื่นตะลึง ตรงหัวเรือมีรูปปั้นผียักษ์อยู่หนึ่งรูป มันเปล่งแสงสีดำทำให้ตลอดทั้งลำเรือแผ่พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม

ยามนี้บนดาดฟ้าเรือ ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังถอนหายใจเฮือกๆ หน้านิ่วคิ้วขมวดไร้ชีวิตชีวา อู๋ฉางกงที่อยู่ข้างกันมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยท่าทางสนอกสนใจ ทั้งยังหัวเราะร่า

“ผู้กำกับการป๋าย ครั้งนั้นคนฟ้าสามคนไล่ฆ่ายังไม่เห็นเจ้าขมวดคิ้ว เหตุใดวันนี้ถึงหน้าตาบึ้งตึงได้เล่า?”

“พูดอะไรไร้สาระ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่กับตัวเองในใจ ตอนที่คนฟ้าสามคนไล่ฆ่า ตนมีไพ่ตายอยู่เยอะมาก แถมยังรู้ด้วยว่าอีกไม่กี่วันตบะราชาผียักษ์ก็จะฟื้นคืน ดังนั้นถึงได้สู้สุดชีวิต แต่สถานการณ์ตอนนี้เทียบกับครั้งที่คนฟ้าสามคนไล่ฆ่าไม่ได้สักหน่อย ถึงกระนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่แสดงออกมาทางสีหน้า เขารู้สึกว่าตนไม่ควรแสดงความอ่อนแอและยิ่งไม่อาจแสดงความขี้ขลาด ดังนั้นจึงยืดอกตั้งแล้วตบลงไปแรงๆ ดังตุบๆๆ

“อู๋ฉางกงมองผิดแล้ว ข้าทำหน้าบึ้งเสียที่ไหน ข้ากำลังครุ่นคิดอยู่ต่างหาก แล้วก็ไม่ได้หน้านิ่วคิ้วขมวดด้วย ข้าก็แค่กำลังสะสมปราณสังหาร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดน้ำเสียงจริงจังเต็มไปด้วยเหตุผล อู๋ฉางกงทำหน้าปั้นยาก เพียงหัวเราะแล้วไม่เอ่ยอะไรอีก

การเดินทางช่วงที่เหลือคนทั้งสองจึงไม่ได้พูดคุยกัน เรือรบทะยานไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็สังเกตเห็นว่าพื้นดินเบื้องหน้ามีกระแสวิญญาณที่เกิดจากการรวมตัวกันของวิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางเดียวกับพวกเขา

“ทุกครั้งที่พื้นที่กาหลอมวิญญาณเปิดออกจะต้องดึงดูดให้วิญญาณพยาบาทจำนวนมากพากันไหลบ่าเข้าไปตามสัญชาตญาณ…”

อู๋ฉางกงมองตามสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เห็นกระแสวิญญาณบนพื้นดินจึงอธิบายให้ฟังง่ายๆ

ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจ ยิ่งรู้สึกว่ากาหลอมวิญญาณแห่งนี้ไม่ธรรมดา ขณะที่กำลังคิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง เวลาก็ผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วยาม เรือรบลำนี้ค่อยๆ ขยับเข้าไปในพื้นที่ของกาหลอมวิญญาณทุกขณะ

ยามนี้ท้องฟ้าเป็นสียามสนธนา ท้องฟ้าที่เดิมทีโปร่งใสจึงกลายมาเป็นมืดสลัว บนท้องฟ้าที่ห่างออกไปไกลมีบุปผาราชาผีซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของหมอกสีดำผลิบานอยู่หนึ่งดอก สะเทือนขวัญสั่นวิญญาณ!

บริเวณโดยรอบบุปผาราชาผีนี้ยังมีวิญญาณจำนวนมากล่องลอยล้อมวนปิดฟ้ากลบดิน พลังอำนาจน่ากริ่งเกรง บางครั้งก็ก่อตัวขึ้นเป็นพายุที่หมุนคว้างไปแปดทิศทำให้คนขยับเข้าใกล้มากไม่ได้

และตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนถือว่ามาเร็ว รอบด้านจึงยังไม่เห็นเงาผู้คน เพราะอย่างไรซะพวกเขาก็อยู่ใกล้ที่สุดจึงมาถึงเป็นคนแรก

นี่จึงมีเวลามากพอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้สังเกตสถานที่แห่งนี้ ไม่นานเขาก็ไล่สายตามองตามบุปผาราชาผีลงไปยังพื้นดินแล้วจึงเห็นว่าบนนั้นมีกาน้ำขนาดมหึมาใหญ่พอหมื่นจั้งตั้งตระหง่าน!!

กาน้ำนี้เป็นสีดำปลอดตลอดทั้งชิ้น ให้ความรู้สึกเก่าแก่โบราณ ตรงปากกามีควันสีดำผุดพุ่งขึ้นมากลางอากาศอย่างต่อเนื่องแล้วผสานรวมเข้าไปในบุปผาราชาผี

นี่ก็คือกาหลอมวิญญาณ!

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ในใจสะท้านสะเทือน ครั้งแรกที่เขาเห็นกานี้ก็มีความรู้สึกว่าบางทีนี่อาจจะเป็นอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่ง…

“ด้านในกาหลอมวิญญาณนี้มีโลกอยู่ใบหนึ่ง ที่มาของมันลึกลับ คำเล่าลือมีมากมาย บ้างก็ว่าเป็นวัตถุจากนอกโลก บ้างก็ว่าเป็นของที่จักรพรรดิขุยรุ่นที่หนึ่งทิ้งเอาไว้ ไม่อาจตรวจหาที่มาได้ ส่วนบุปผาราชาผีนั่นจะอยู่แอ่งตรงจุดศูนย์กลางของกาหลอมวิญญาณ”

“อีกเดี๋ยวพอเจ้าเข้าไป แม้ด้านในนั้นจะกว้างใหญ่ แต่ขอแค่บินไปยังจุดศูนย์กลางก็จะหาแอ่งนั่นเจอ…แต่ตามบันทึกที่บอกไว้ ทุกครั้งจะมีดอกไม้หมอกปรากฏขึ้นมาก่อน ส่วนบุปผาราชาผีที่แท้จริงยังจำเป็นต้องใช้เวลาระยะหนึ่งถึงจะผลิดอกสุกงอม” อู๋ฉางกงที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยอธิบาย

“ครั้งนี้ขอแค่เจ้าได้ผลบุปผาราชาผีมาครอง พอออกมาข้าผู้อาวุโสจะเป็นคนปกป้องเจ้าเอง หากมีใครกล้าออกมาแย่งชิงข้างนอก หวังเหย่ก็จะเดินทางมาด้วยตัวเองเหมือนกัน”

“แต่ว่าตอนอยู่ข้างในนั้นเจ้าต้องพึ่งตัวเอง” อู๋ฉางกงเอ่ยกำชับ

ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินก็กลัดกลุ้มขึ้นมาทันที ครุ่นคิดว่าตนระวังสักหน่อยคงไม่มีปัญหามากนัก…

ยามนี้บนท้องฟ้าที่ห่างคนทั้งสองไปไกลมีรุ้งยาวหลายเส้นกำลังทะยานเข้ามาใกล้ที่นี่ คนเหล่านี้มีทั้งมาจากนครจักรพรรดิขุย มีทั้งที่มาจากนครของราชาสวรรค์อีกสามแห่งซึ่งใช้ค่ายกลนำส่งมาถึงในบริเวณใกล้เคียง ก่อนจะห้อทะยานเต็มกำลังรุดหน้ามาตรงจุดนี้อย่างรวดเร็ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!