บทที่ 688 คนคุ้นเคย
อู๋ฉางกงหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบมองตามไปทันที
และชั่วขณะที่สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดมองไปนั้น ห่างไปไกลก็มีรุ้งยาวสองเส้นทะยานแหวกอากาศเข้ามาด้วยความเร็วจนเกิดเสียงอากาศระเบิดดังเสียดแทงแก้วหู อึกทึกไปแปดทิศ และพริบตาเดียวทั้งสองเงาร่างนั้นก็มาปรากฏอยู่ที่แห่งนี้!
หนึ่งในนั้นคือผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยับย่น สวมชุดคลุมยาวสีดำ นัยน์ตามืดมนเหมือนคนไม่มีชีวิตชีวา ทว่าพอยืนอยู่ตรงนั้นกลับเหมือนผสานรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดิน อีกทั้งหากกวาดอำนาจจิตมองไปก็ยังไม่สามารถมองเห็นร่องรอยการมีตัวตนของคนผู้นี้ได้
หลังจากที่สายตาของเขากวาดผ่านร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนไปแล้วก็หันมาส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับอู๋ฉางกง สองคนมองหน้ากัน ต่างคนต่างเหมือนคำนับกันผ่านอากาศ
ข้างกายผู้เฒ่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ ชายหนุ่มผู้นี้สวมอาภรณ์ยาวสีม่วง หน้าตาอำมหิตดุดันดูมีพลังอำนาจอย่างน่าประหลาด โดยเฉพาะดวงตาทั้งคู่ของเขาที่คมกริบ ตบะก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบแผ่กระจายไปสี่ทิศ บวกกับลักษณะพลังบนร่างของเขาที่เหมือนกระบี่แหลมคมซึ่งถูกชักออกจากฝัก สามารถบดขยี้ทุกสายตาที่มองไป
เขาเองก็กวาดสายตามองผ่านร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนกัน ก่อนจะหัวเราะหยันสองสามที จากนั้นจึงมองเมิน ทอดสายตาไกลๆ ไปยังกาหลอมวิญญาณด้วยนัยน์ตาเปล่งประกายระยับ
การปรากฏตัวของคนทั้งสองดึงดูดความสนใจจากป๋ายเสี่ยวฉุนได้ทันที อู๋ฉางกงที่อยู่ข้างกายเขาก็ม่านตาหดตัวน้อยๆ ส่งข้อความเสียงดังมาเข้าหูป๋ายเสี่ยวฉุน
“นี่คือซื่อจื่อของราชาเก้านรกภูมิ โจวหง เด็กคนนี้นิสัยอำมหิตโหดร้าย กระหายการเข่นฆ่าอย่างถึงที่สุด!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลายลงคอไปหนึ่งอึก เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพอเห็นโจวหงผู้นี้ถึงรับรู้ได้ว่าเขาคือก่อกำเนิดวิญญาณสัตว์ฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดว่าบางทีอาจเกี่ยวข้องกับที่ตนก่อกำเนิดวิถีฟ้า ยามนี้คิดไปคิดมาก็เห็นเพียงว่าพลังอำนาจของโจวหงผู้นี้น่าครั่นคร้าม ทั้งยังมีตำแหน่งเป็นซื่อจื่อผู้สืบทอดย่อมต้องมีวิชาลับของครึ่งเทพแน่นอน มองดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนที่ควรไปมีเรื่องด้วย สอดคล้องกับคำจำกัดความว่าผู้กล้าในใจเขา
“สู้กันตัวต่อตัวข้าก็ไม่กลัวเขาหรอก แต่เจ้าหมอนี่มีพ่อที่ดี อย่าไปแหยมกับเขาจะดีกว่า” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด ขณะที่กำลังคิดอย่างนี้ ห่างออกไปไกลก็มีรุ้งยาวแหวกอากาศมาถึง เป็นรุ้งยาวสองเส้นเช่นเดียวกัน ชั่วพริบตาที่เข้ามาใกล้ก็กลายร่างเป็นสตรีสองคน
สตรีสองคนนี้หนึ่งแก่หนึ่งสาว หญิงเฒ่าสวมชุดคลุมยาวตัวใหญ่สีขาว สีหน้านิ่งเฉย ทว่าหญิงสาวข้างกายนางกลับมีใบหน้าเย่อหยิ่งจองหอง นัยน์ตาโชติช่วงไปด้วยปณิธานแห่งการต่อสู้ มือเรียวยาวทั้งคู่สวมถุงมือสีม่วง ภายนอกงามพิสุทธิ์หมดจด ทว่าความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่ในกระดูกนั้นแค่มองปราดเดียวก็มองออก
ขณะเดียวกันกับที่หญิงสาวคนนี้มาถึง โจวหงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ถึงกับหนังตากระตุกคล้ายกริ่งเกรงอีกฝ่าย และถึงกับไม่กล้ามองนาง ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมเฮือกทันใด แอบตกใจอยู่กับตัวเอง
“องค์หญิงของราชาเทพจุติ ซวี่ซาน หญิงสาวผู้นี้นิสัยก้าวร้าว หากพูดไม่ถูกหูคำเดียวก็ลงมืออย่างเหี้ยมโหดทันที”
เสียงของอู๋ฉางกงดังเอื่อยเฉื่อยอยู่ข้างหูของป๋ายเสี่ยวฉุน
“พวกผู้กล้าของแดนทุรกันดาร เหตุใดถึงได้ป่าเถื่อนกันแบบนี้ ซวี่ซานผู้นี้ก็ก่อกำเนิดวิญญาณสัตว์ฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบเหมือนกัน แถมยังมีเรือนกายที่แข็งแกร่งมากด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังตากระตุกอยู่หลายที
มองซวี่ซานแล้วขบคิดว่าหญิงสาวคนนี้อารมณ์รุนแรง แม้แต่โจวหงยังหวาดกลัว ดังนั้นตนอย่าได้ไปจ้องมองอีกฝ่ายจะดีกว่า
ขณะที่กำลังจะถอนสายตากลับ ดวงตาหงส์ของซวี่ซานผู้นั้นกลับพลันถลึงใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน ทั้งยังเตรียมจะปรี่เข้ามาลงมือ ปณิธานการต่อสู้ในดวงตาคู่นั้นก็เริ่มดุเดือด ยังดีที่หญิงชราข้างกายกระแอมขึ้นมาเบาๆ หนึ่งครั้ง ซวี่ซานผู้นี้ถึงได้ถอยหลังกลับไปด้วยท่าทีหงุดหงิด ทว่าแววท้ารบในดวงตากลับยังคงเด่นชัด
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งลนลาน พูดกับตัวเองว่าตนไม่ได้ไปล่วงเกินหญิงอำมหิตคนนี้เสียหน่อย เหตุใดอีกฝ่ายแค่เห็นหน้าตนก็จะลงมือซะแล้ว
“ที่นี่ป่าเถื่อนเกินไปแล้ว แดนทุรกันดารไม่เหมาะกับข้าจริงๆ ด้วย”
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังปลงอนิจจัง ท้องฟ้ายามนี้ก็มีรุ้งยาวทะยานมาถึงอย่างรวดเร็ว มีจำนวนหลายสิบคน ต่างก็เป็นพวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของแต่ละกลุ่มอิทธิพลในแดนทุรกันดาร ข้างกายของพวกเขาล้วนมีคนติดตามเป็นเหมือนผู้พิทักษ์ แม้จะเทียบกับคนฟ้าที่ราชาสวรรค์ทั้งสี่ส่งมาให้ไม่ได้ แต่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งครึ่งก้าวคนฟ้าแล้ว
หลังจากเยื้องกรายมาถึง คนพวกนี้ก็กระจายตัวกันออกไปทันที บ้างก็มายืนอยู่ข้างกายโจวหง บ้างก็มาอยู่ข้างกายซวี่ซาน และยังมีบางส่วนที่รวมตัวกันอยู่เพียงลำพัง คอยเงยหน้ามองท้องฟ้าเป็นระยะเหมือนกำลังรอคอยใครอยู่
“เสี่ยวหลางเสิน หลี่เทียนเซิ่ง จ้าวตงซาน เมี่ยวหลินเอ๋อร์” เมื่อศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเหล่านี้มาถึง อู๋ฉางกงก็แนะนำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังไปทีละคน ทุกชื่อที่พูดออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนไล่มองตามสายตาของอู๋ฉางกงไป ยิ่งมองก็ยิ่งตะลึง
เสี่ยวหลางเสินผู้นั้นคือชายหนุ่มที่ใบหน้ามีปราณสังหารเด่นชัด นัยน์ตากระหายเลือดถึงขีดสุด ส่วนหลี่เทียนเซิ่งที่ถึงแม้จะดีขึ้นมาหน่อย ทว่าความเย็นอึมครึมในสีหน้าก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกได้ว่าคนผู้นี้ไม่น่าเข้าใกล้
และยังมีจ้าวตงซานที่เป็นชายฉกรรจ์ร่างกายบึกบึนอย่างถึงที่สุดคล้ายมีสายเลือดของชนต่างเผ่า ยืนอยู่ตรงนั้นก็ราวกับภูเขาลูกย่อม อีกทั้งในมือยังถือกระบองเขี้ยวหมาป่าขนาดใหญ่ยักษ์ มองดูเหี้ยมหาญอย่างมาก
ในบรรดาคนหลายสิบคนนี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ชาย หญิงสาวมีไม่มาก หญิงสาวหนึ่งในนั้นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องหันไปมองอยู่หลายที นางก็คือเมี่ยวหลินเอ๋อร์ที่อู๋ฉางกงพูดถึง เพราะหญิงสาวผู้นี้เปิดเผยเนื้อหนังมากเกินไป เรือนกายก็ยิ่งอวบอิ่มอรชร ตรงจุดที่นางยืนอยู่มีลมหอมๆ พัดโชยมาเป็นระลอก ทำให้เหล่าผู้กล้าล้วนมองไปด้วยสายตาเร่าร้อน
แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่สนใจมากนัก เพราะยังคงยิ้มแย้มพูดคุยด้วยท่าทางมากเสน่ห์ โดยเฉพาะพอสังเกตเห็นสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองมา นางก็ปิดปากหัวเราะ เท้าเล็กราวดอกบัวบิดไขว้กันเบาๆ ทำให้ขาขาวนวลทั้งสองข้างขยับส่ายไหวเบาๆ ตามไปด้วย ทำเอาจ้าวตงซานที่อยู่ด้านข้างลมหายใจหอบกระชั้น
“ผู้หญิงของแดนทุรกันดารนี่ใส่เสื้อผ้าใจกล้ากันจริง แต่ยังอยู่คนละชั้นกับ
ซ่งจวินหว่านของข้า” พอแอบมองอีกฝ่าย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็วิพากษ์วิจารณ์อยู่ในใจ ขณะเดียวกันหัวใจก็เริ่มเต้นกระหน่ำราวรัวกลอง แม้ว่าคนเหล่านี้มองดูแล้วจะยังเป็นหนุ่มสาวหน้าตาดี ทว่าปราณดุร้ายและความกระหายเลือดที่แผ่ออกมาจากร่างของพวกเขากลับเด่นชัด โดยเฉพาะดูจากตำแหน่งการยืนของพวกเขาก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงอำนาจของแต่ละฝ่าย
“ข้าเป็นตัวแทนของราชาผียักษ์ กลุ่มอิทธิพลของราชาผียักษ์ล่ะ? ทำไมถึงไม่มีคนมายืนอยู่ข้างกายข้าเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มรู้สึกได้ว่าท่าไม่ดี
“หรือว่ายังมาไม่ถึง? หรือว่าซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงระคนตกใจ สายตากวาดมองทุกคนแล้วคาดเดาว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ช่วยซึ่งราชาผียักษ์จัดหามาให้ แต่มองอยู่นานก็ยังมองไม่ออก ในใจจึงเริ่มสงสัยอย่างห้ามไม่ได้
ไม่นานก็มีเงาร่างอีกหลายเส้นทะยานมาจากสี่ทิศ และยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ครึ่งหนึ่งในนั้นคือผู้พิทักษ์ที่ติดตามมา พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเงียบงัน มีเพียงไม่กี่คนที่พูดคุยกันเบาๆ
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นถึงจะเป็นผู้กล้าก่อกำเนิดที่จะเข้าไปในกาหลอมวิญญาณแห่งนี้ ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองประเมินพวกเขา สายตาของพวกเขาก็จับจ้องมาทางป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน ในสายตานั้นมีทั้งแววดูหมิ่น ความเย็นชา และบางคนยังเผยแววสนใจ เห็นได้ชัดว่าก่อนจะมาที่นี่ พวกเขาก็ได้รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนผ่านทางข่าวคราวต่างๆ แล้ว
ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งตื่นตระหนก มองออกว่าสายตาของคนเหล่านี้ไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก ใจให้กระวนกระวาย แล้วทันใดนั้นทุกคนก็พลันเงียบเสียงลง แม้แต่อู๋ฉางกงก็ยังม่านตาหดตัวน้อยๆ เมื่อมองไปยังทิศไกลก็เห็นเพียงว่ามีรุ้งยาวเส้นหนึ่งทะยานมาพร้อมความเร็วสูงสุด พริบตาเดียวก็มาถึง!
ผู้ที่มามีเพียงคนเดียว ไม่มีผู้พิทักษ์ติดตามมาด้วย พลังอำนาจแผ่ไพศาลเทียมฟ้า ราวกับว่าการปรากฏตัวของเขาก็ข่มทับศิษย์แห่งความภาคภูมิใจทุกคนไว้ได้อยู่หมัด
นั่นคือชายหนุ่มสวมอาภรณ์สีเขียวคนหนึ่ง สีหน้าของเขาเรียบเฉยราวกับว่าในโลกใบนี้ยากจะมีเรื่องใดทำให้เขาสนใจได้ หลังจากเดินเข้ามาทีละก้าวแล้ว เหล่าผู้กล้าที่อยู่รอบด้านล้วนพากันก้มหัวคารวะ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ก่อนหน้านี้แยกตัวออกไปยืนเพียงลำพังก็ยิ่งตรงเข้าหาห้อมล้อม
“คารวะราชาชัยน้อย!”
“น้อมรับราชาชัยน้อย!”
เสียงทักทายดังขึ้นๆ ลงๆ ไปสี่ทิศ ชายหนุ่มผู้นี้หาได้สนใจไม่ เพียงยืนหลับตาอยู่ตรงนั้น ไม่คิดจะหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนแม้แต่หางตา
นัยน์ตาของโจวหงฉายความไม่ยอมแพ้ แต่กลับข่มกลั้นเอาไว้ ส่วนซวี่ซานจากนครเทพจุติก็ยิ่งแสดงเจตจำนงแห่งการต่อสู้ออกมาทางดวงตา ดั่งว่าสำหรับนางแล้วความสนใจที่มีต่อราชาน้อยผู้นี้เหนือเกินกว่าที่มีให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน
“คนผู้นี้คือบุตรชายของราชาชิงชัย ถูกขนานนามว่าราชาชัยน้อย กงซุนอี้!” เสียงเคร่งขรึมของอู๋ฉางกงดังขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ ในสายตาของเขา ราชาชัยน้อยผู้นี้ขอบเขตเกินขั้นสมบูรณ์แบบไปแล้ว เกรงว่าคงห่างจากคนฟ้าอีกเพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น!
กำลังจะเปิดปากถามอู๋ฉางกงว่าผู้ช่วยของตัวเองอยู่ตรงไหน ห่างออกไปไกลกลับมีสายรุ้งยาวทะยานมาอีกครั้ง
คราวนี้ผู้ที่มามีสามคน ที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดก็คือชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่นำอยู่ด้านหน้า ชายนั้นหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ส่วนหญิงสาวก็งามเป็นเอกไม่มีสอง การปรากฏตัวของคนทั้งคู่ดึงดูดสายตาจากทุกคนไปทันที
“องค์ชายสอง”
“นั่นคือ ลูกศิษย์ของต้าเทียนซือ เฉินม่านเหยา!!”
ขณะเดียวกันกับที่ทุกคนส่งเสียงดัง อู๋ฉางกงเองก็เอ่ยแนะนำป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมีเสียงดังอึงอลคล้ายไม่ได้ยินอะไรสักอย่าง ในสายตาของเขาเวลานี้เหลือเพียงเรือนกายของโฉมสะคราญผู้มีใบหน้างามเลิศล้ำเท่านั้น!
หญิงสาวที่มาก็คือเฉินม่านเหยา นางยังคงงดงามเฉกเช่นในความทรงจำของป๋ายเสี่ยวฉุน ผิวพรรณอ่อนบางราวแค่ดีดก็แหลกสลาย เรือนกายสมบูรณ์แบบ และยังมีเส้นผมยาวสลวยนั้นล้วนทำให้นางเป็นเหมือนเทพธิดาจนคนที่มองอดใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้
เพียงแต่ว่าในดวงตาของนางคล้ายจะมีความกังวลกลัดกลุ้มอยู่เสี้ยวหนึ่ง ทำให้นางในเวลานี้ยิ่งดูอ่อนแอเปราะบาง ทว่าความเปราะบางนี้กลับยิ่งทำให้ความงามของนางเจิดจรัส!
“เฉินม่านเหยา” สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนมีความซับซ้อนอย่างที่คนนอกมองไม่ออก เขามาอยู่แดนทุรกันดารนานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เจอกับคนคุ้นเคย!
เฉินม่านเหยา ลูกศิษย์สำนักสยบธารเดินทางไปยังสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราพร้อมกับป๋ายเสี่ยวฉุน พอมาถึงกำแพงเมืองอีกฝ่ายก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพอจะเดาได้ว่าหญิงสาวผู้นี้ไปที่ไหน ทว่าตอนนี้พอได้เห็นกับตาตัวเองในใจก็ยังรู้สึกเลื่อนลอย ภาพความทรงจำในสำนักสยบธารลอยขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าแรกเริ่มจดหมายรักที่หญิงสาวผู้นี้ส่งมาให้เขา
ทำให้โหวเสี่ยวเม่ย ซ่งจวินหว่านไม่พอใจยังจำได้ว่าดูเหมือนสวีเป่าไฉ่จะชื่นชอบเฉินม่านเหยาผู้นี้อย่างมาก
ทว่าเฉินม่านเหยาในตอนนี้มีตบะแตกต่างไปจากในความทรงจำของป๋ายเสี่ยวฉุน ตลอดร่างของนางมีปราณก่อกำเนิดเข้มข้น เห็นได้ชัดว่าหลังจากกลับมาถึงแดนทุรกันดารก็ได้รับโชควาสนาที่ไม่ธรรมดา
การปรากฏตัวของเฉินม่านเหยาพลันกะเทาะความทรงจำของป๋ายเสี่ยวฉุนให้แตกออก ความคิดถึงไร้ที่สุดสิ้นที่เขามีต่อสำนักสยบธารไหลบ่าขึ้นมา แต่สุดท้ายก็จำต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เขาอยู่ในแดนทุรกันดาร ห่างจากสำนักสยบธารไกลเหลือเกิน