Skip to content

A Will Eternal 701

บทที่ 701 ครึ่งก้าวคนฟ้าก็กำราบได้

“ป๋ายฮ่าว ขอบคุณมากที่เจ้าช่วยขัดเกลา ในที่สุดตบะของข้าก็ฝ่าทะลุสู่ครึ่งก้าวคนฟ้า ก้าวนี้รั้งตัวข้าไว้มานานมากแล้ว เพื่อขอบคุณเจ้า วันนี้ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่จะทำลายตบะของเจ้าทิ้ง!” ในสีหน้าตื่นเต้นของกุนซุนอี้มีความโอหัง เขาแหงนหน้าหัวเราะร่า ในใจฮึกเหิมถึงขีดสุด เป็นอย่างที่เขาบอกไว้ เขารอวันนี้มานานมากเหลือเกินแล้ว

ครั้งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมอบแรงกดดันอันมหาศาลให้แก่เขา

หลังจากที่เขาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนร่ายใช้หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญในครั้งแรกก็ตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่าตัวเองเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้แน่ แต่ความภาคภูมิใจในตัวเองของเขา ความเคารพตัวเองของเขาทำให้เขามิอาจยอมรับได้ และความเป็นไปได้เดียวที่จะพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ก็คือการทำให้ตบะฝ่าทะลุ!

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจจะใช้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นหินขัดเกลา อาศัยแรงกดดันที่อีกฝ่ายมอบให้มาสั่งสมปณิธานในการต่อสู้ของตัวเองให้ดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไต่ทะยานมาถึงขีดสุดจึงทดลองฝ่าทะลุในช่วงตัดสินเป็นตาย

หากสำเร็จ เขาก็จะได้กลายเป็นครึ่งคนฟ้า นับจากนี้ขอแค่หลอมพลังจิตสิบห้าครั้งขึ้นไปให้กับอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่ง เขาก็สามารถอาศัยอาวุธชิ้นนั้นมาทำความเข้าใจฟ้าดินแล้วฝ่าทะลุสู่เขตคนฟ้าได้อย่างแท้จริง!

หากล้มเหลว…เขาเชื่อว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่กล้าฆ่าตน แม้อาจจะต้องได้รับความเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่การลงทุนครั้งนี้นับว่าคุ้มค่า ยามนี้ท่ามกลางเสียงหัวเราะบ้าคลั่งของเขา มือทั้งคู่จึงทำมุทรา ความว่างเปล่ารอบด้านเขาพลันมีเสียงกัมปนาทส่งมา ทันใดนั้นอักขระสีทองสองแสนตัวก็ปรากฏขึ้นในชั่วพริบตาแล้วรวมตัวกันเป็นน้ำวนสีทองขนาดใหญ่ยักษ์ลูกหนึ่งที่ตรงเข้าไปหาหลุมดำจากหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญของป๋ายเสี่ยวฉุน

ยามนี้ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า เขายืนอึ้งอยู่ตรงนั้น เขาคิดไม่ถึงว่าเจ้ากงซุนอี้ผู้นี้จะฝ่าทะลุขั้นจริงๆ เสียได้…

“วิธีการของเขาก็ได้ผลด้วยหรือนี่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ ในใจให้อิจฉาทั้งยังเจ็บจี๊ด คิดว่าตนต้องลำบากยากแค้นกว่าจะเลื่อนสู่ก่อกำเนิดช่วงกลาง ทว่าอีกฝ่ายกลับอาศัยการขัดเกลาในช่วงเวลาความเป็นความตายครั้งเดียวตบะก็ฝ่าทะลุสู่ครึ่งก้าวคนฟ้าแล้ว

นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ชอบใจอย่างมาก ยิ่งมาได้ยินเสียงหัวเราะถือดีบ้าคลั่งของกงซุนอี้หลังจากฝ่าทะลุขั้นก็ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธมาก ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกขัดหูขัดตาคนผู้นี้

“เจ้าคนเนรคุณ นิสัยไม่ต่างจากราชาผียักษ์เลย ข้าเพิ่งจะช่วยเจ้าฝ่าทะลุขั้น พริบตาเดียวเจ้ากลับจะมาทำลายตบะของข้า! ไม่รู้จักตอบแทนคุณคนยังจะมาแก้แค้นข้าอีก…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเดือดดาลอยู่ในใจ รู้สึกว่าตัวเองจะปล่อยให้กงซุนอี้กำเริบเสิบสานแบบนี้ต่อไปไม่ได้ จำเป็นจำต้องสั่งสอนให้เขารู้เสียหน่อยว่าอะไรคือคำว่าบุณคุณเท่าหยดน้ำต้องตอบแทนเท่าน้ำพุ

“ตบะฝ่าทะลุแล้วอย่างไร นายท่านป๋ายของเจ้าก็ยังจะจับตัวเจ้าไปอยู่ดี!” นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนมีเส้นเลือดฝอยปรากฏ หลังจากคำรามต่ำๆ หนึ่งที มือขวาที่กำเป็นหมัดพลันคลายออก พอคลายออกก็กำเข้าหากันแน่นอีกครั้งแล้วต่อยออกไปอย่างแรง!

นี่ไม่ใช่หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญอีกต่อไป แต่เป็นการเพิ่มพลังส่วนก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้ใช้ ทำให้อานุภาพของหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญพลันเพิ่มขึ้นพรวดพราด ทั้งร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งสั่นเยือก บนพื้นฐานของพลังห้าส่วนที่มีอยู่เป็นทุนเดิม บวกกับพลังกล้ามเนื้ออีกสามส่วนล้วนพากันส่งเสียงตูมตาม ใช้กระดูกเป็นฐาน ใช้พลังเลือดเนื้อสร้างความสั่นสะเทือน ระเบิดพลังออกมาทางผิวหนัง ต่อยโครมออกไป

น้ำวนสีดำของหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญยิ่งแผ่แสงสีดำน่าตกใจออกมา มันขยายใหญ่กว่าเดิมอีกหนึ่งเท่า ความเร็วก็ยิ่งมากขึ้น ขณะเดียวกันความเผด็จการที่ปั่นป่วนนภากาศอย่างรุนแรงก็ยิ่งตรงดิ่งเข้าหากงซุนอี้!

“ใครใช้ให้เจ้าสามหาวคิดจะกำราบข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามด้วยเสียงดังเกินอสนีบาต ใบหน้าที่ยังคงมีความตื่นเต้นเหลืออยู่ของกงซุนอี้พลันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เขาทำหน้าเหลือเชื่อ ทั้งยิ่งมากด้วยความคาดไม่ถึง

ชั่วขณะที่น้ำวนสีทองของเขาปะทะเข้ากับน้ำวนสีดำ มันก็พลันแตกสลาย อักขระสีทองสองแสนตัวแตกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ ระเบิดกระจายอย่างพร้อมเพรียงกัน หมัดที่พกพาหลุมดำมาด้วยนั้นพลันโผล่พรวดมาอยู่ข้างหน้าของกงซุนอี้ในชั่ววินาที

“เป็นไปไม่ได้ ข้าคือครึ่งก้าวคนฟ้าแล้ว ข้าจะแพ้ได้อย่างไร!” กงซุนอี้หน้าบูดเบี้ยว คำรามอย่างรวดร้าวสุดทานทน มือทั้งคู่ก็ทำมุทราไม่หยุด โคจรตบะทั้งร่างหมายต้านทาน

“อย่าว่าแต่เจ้าเป็นครึ่งก้าวคนฟ้าเลย ต่อให้คนฟ้า นายท่านป๋ายของเจ้าก็เคยประมือมาแล้วถึงสี่คน เจ้ามันลำดับที่เท่าไหร่กันเชียว…กำราบ กำราบ กำราบ! ข้าจะเล่นงานคนเนรคุณอย่างเจ้าให้อยู่หมัด…” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแผดเสียงด้วยความห้าวเหิม ร่างของเขาก็กระโดดผลุงขึ้นมารวมกับหลุมดำนั้น พริบตาเดียวพลังของหลุมดำก็พลุ่งพล่านอย่างบ้าคลั่งเข้าไปอีก มันกระแทกเข้าใส่กงซุนอี้อย่างแรง แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าธาตุอันเป็นต้นชะตาของทารกก่อกำเนิดวิถีฟ้าก็ระเบิดออกมาด้วย

ครืนๆๆ!

เสียงกึกก้องดังรุนแรงเขย่าให้โลกของกาหลอมวิญญาณสั่นสะเทือนอยู่หลายที หลุมดำหายไป กงซุนอี้ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เลือดก็ยิ่งกระอักทะลักออกมาไม่หยุด

ร่างถูกพลังมหาศาลกระแทกจนปลิวลิ่วกระเด็นไปไกลราวว่าวที่สายป่านขาด หน้าอกของเขาเปรอะไปด้วยคราบเลือด ร่างของเขาบิดเบี้ยว ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยแผลเหวอะหวะ แม้แต่ทารกก่อกำเนิดก็ยังอ่อนระโหยโรยแรง แต่ที่ยิ่งถูกทำลายมากกว่าคือความภาคภูมิใจ ความเคารพในตัวเองของเขา

“เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร…” นาทีก่อนหน้ายังหยิ่งลำพองอย่างฮึกเหิม นาทีนี้กลับบาดเจ็บสาหัสด้วยความงุนงง ความต่างราวฟ้ากับเหวที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาทำให้ในใจของกงซุนอี้เต็มไปด้วยความงงงัน ด้านหน้ามืดมน จิตสำนึกเริ่มปลิวหาย ยังไม่ทันรอให้เขาควบคุมร่างที่กระเด็นไปไกลของตัวเองได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทะยานไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะยกมือขวาขึ้นตบลงไปบนร่างของกงซุนอี้อย่างแรง

เสียงปังดังขึ้นหนึ่งครั้ง ปิดผนึกตบะของกงซุนอี้ไปโดยตรง ครั้นจึงจับเขาโยนเข้าไปไว้ในถุงเก็บของ

เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถึงกับหอบฮักๆ นั่งแปะลงบนเทือกเขาในแอ่งด้านล่างทันที สีหน้าของเขาซีดขาว การลงมือด้วยพลังแปดส่วนของหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญทำให้พลังกล้ามเนื้อของเขาลดฮวบฮาบ ท่ามกลางความอ่อนแรงนี้ แม้แต่การหายใจก็ยังทำให้เขาเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัว

ยังดีที่ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนแอ ทว่าตบะก่อกำเนิดวิถีฟ้าของเขายังอยู่ นี่จึงเป็นความมั่นใจที่ทำให้เขากล้าต่อยหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญออกไปด้วยพลังแปดส่วน

“ใครใช้ให้เจ้ารังแกคนอื่น นายท่านป๋ายอย่างข้าโมโหเมื่อไหร่ แม้แต่ข้าก็ยังกลัวตัวเอง เห็นว่าร่างคงกระพันและก่อกำเนิดวิธีฟ้าที่ข้าฝึกฝนอย่างยากลำบากเป็นเสือกระดาษหรือไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอย่างลำพองอยู่ในใจ พอย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ หลังจากเข้ามาอยู่ในกาหลอมวิญญาณ เขาเองก็รู้สึกเหลือเชื่อเหมือนกัน ขณะเดียวกันยังนับถือในตัวเองอย่างลึกล้ำด้วย

“ตอนนี้ความกล้าของข้ามีมากกว่าเมื่อก่อนจริงๆ …” ป๋ายเสี่ยวฉุนบ่นพึม ครุ่นคิดว่านับตั้งแต่ที่ตนไปเสี่ยงภัยในตระกูลป๋าย จับตัวประมุขตระกูลป๋าย หลังจากนั้นมาก็เหมือนตนจะเสพติดเสียแล้ว ดังนั้นถึงได้จับตัวราชาผียักษ์…มาตอนนี้ก็ยิ่งตามจับศิษย์แห่งความภาคภูมิใจส่วนใหญ่ในแดนทุรกันดารมาจนเกือบหมด

สามารถจินตนาการได้ว่า หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงของเขาในแดนทุรกันดารต้องนำมาซึ่งความครึกโครมสะเทือนฟ้าดินอีกครั้งแน่นอน…

“ต้องโทษตาแก่ราชาผียักษ์นั่นคนเดียว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งร่าง เงยหน้ามองบุปผาราชาผีที่อยู่ในผนึกสีขาวซึ่งห่างออกไปไม่ไกล ยามนี้ดอกไม้นั้นใกล้จะบานเต็มที่แล้ว ทั้งยังถึงขั้นที่มองเห็นแล้วว่าตรงกลางเกสรมีผลสีเขียวอ่อนหนึ่งผลกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว กลัวว่าอีกไม่นานเท่าไหร่ก็คงจะออกผลแล้ว

มองบุปผาราชาผี ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งอัดอั้น พอคิดถึงแผนการเอาคืนราชาผียักษ์เขาก็ทำเสียงขึ้นจมูกสองสามที ก่อนจะหยิบเอาพวกองค์ชายรอง กงซุนอี้ออกมาจากในถุงเก็บของทีละคน

คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนหมดสติ ทว่าก็มีบางส่วนที่ฟื้นคืนสติแล้ว ยามนี้เมื่อมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าของพวกเขาก็ล้วนซีดเผือด นัยน์ตาหวาดกลัว โดยเฉพาะองค์ชายรองที่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับถลึงตาใส่แล้วใช้ร่มราตรีนิรันดร์ทิ่มลงไปบนร่างของอีกฝ่ายโดยตรง

“อย่ามาพูดกับข้า ข้ารังเกียจความสกปรก”

“ป๋ายฮ่าวเจ้าฟังข้าก่อน…อ๊าก…” องค์ชายรองยังไม่ทันพูดจบก็หน้าเปลี่ยนสี สั่นเทิ้มไปทั้งตัว เขากรีดร้องโหยหวน พลังชีวิตในร่างถูกร่มราตรีนิรันดร์สูบไปเกินครึ่ง พริบตาเดียวก็เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก

ทิ่มองค์ชายรองเสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองไปทางคนอื่นๆ แล้วเริ่มทิ่มไปทีละคน ในบรรดาศิษย์แห่งความภาคภูมิใจพวกนี้ที่ร้องหวีดโหยก็มีบางคนที่อดไม่ไหวแผดเสียงด่าดังขรม

“ป๋ายฮ่าวเจ้ากล้ารึ!!”

“พ่อข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!!”

“ป๋ายฮ่าว เจ้าหมดทางรอดแล้ว!!” แต่ยิ่งด่าดังเท่าไหร่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งสูบพลังชีวิตมามากเท่านั้น พอเป็นเช่นนี้ คนอื่นๆ จึงเริ่มรู้จักฉลาดขึ้นมาบ้าง ดังนั้นต่อให้ตัวจะสั่นเทาแค่ไหนก็ได้แต่มองป๋ายเสี่ยวฉุนตาปริบๆ

สำหรับคนเฉลียวฉลาดเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ใจอ่อนจึงไม่ได้ดึงเอาพลังชีวิตของอีกฝ่ายมาถึงขั้นเหลือไว้ให้แค่เสี้ยวเดียว…

สุดท้ายเขามาหยุดอยู่เบื้องหน้ากงซุนอี้ กงซุนอี้เงยหน้ามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาซับซ้อน สายตานั้นมีความขมขื่น ทว่าปณิธานในการต่อสู้กลับยังไม่จางหายไป

สำหรับกงซุนอี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกนับถือไม่น้อย นั่นทำให้เขาลังเลว่าควรจะดูดพลังชีวิตของคนผู้นี้ดีหรือไม่ ดังนั้นเลยเอ่ยถามไปหนึ่งประโยค

“ต่อไปหากพวกเราเจอกันอีกครั้ง เจ้ายังจะลงมือกับข้าหรือไม่”

“เจอกันวันหน้า ย่อมยังต้องสู้กับเจ้า ต้องมีสักวันที่ข้าจะเหยียบเจ้าให้จมอยู่ใต้ฝ่าเท้าตัวเอง!” นัยน์ตาของกงซุนอี้ลุกโชนไปด้วยปณิธานแห่งการต่อสู้ และพอจะมองเห็นความดุร้ายได้รำไร

“ท่านย่าเจ้าเถอะ พูดให้มันเข้าหูหน่อยไม่ได้หรือไง จะต่อยๆ ตีๆ กันอยู่ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตา ทิ่มร่มราตรีนิรันดร์ไปบนร่างอีกฝ่ายทันที

พอดูดเอาพลังชีวิตของทุกคนมาได้ครบหนึ่งรอบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จับ “ของเชลยศึก” เหล่านี้มัดแล้วโยนกลับเข้าไปในถุงเก็บของอีกครั้ง แล้วเสร็จถึงได้นั่งทำสมาธิ กวาดตามองไปรอบด้านอย่างระแวงภัย ก่อนจะเริ่มฝึกกระดูกคงกระพัน

เมื่อเวลาผ่านไปสามชั่วยาม ในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีเสียงปังๆ ดังลอยมา ดวงตาของเขาที่เบิกโพลงมีแสงสีทองวูบผ่าน กระแสอบอุ่นในร่างยิ่งเข้มข้น ไม่เพียงแต่พลังกล้ามเนื้อฟื้นคืนมาหมด ทั้งยังสัมผัสได้ว่าการป้องกันของตนก้าวหน้าไปอีกขั้น!

“ชั้นกระดูกหลอมรอบที่เจ็ด…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ ด้วยความตื่นเต้น ขณะที่กำลังจะรับสัมผัสการเปลี่ยนแปลงในร่างที่เกิดขึ้นจากการชุบหลอมกระดูกไปได้เจ็ดรอบ ทันใดนั้นป๋ายเสี่ยวก็พลันหน้าเปลี่ยนสี เงยหน้ามองบุปผาราชาผีในตราผนึกสีขาวที่ห่างออกไปไม่ไกล

ตอนที่มองไปจึงเห็นว่าบุปผาราชาผีดอกนั้น…มีแสงสีดำพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า บานสะพรั่งเต็มที่!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!