Skip to content

A Will Eternal 702

บทที่ 702 ร่วงลงบนพื้นแล้ว

ในโลกของกาหลอมวิญญาณ เหนือแอ่งอันเป็นจุดศูนย์กลางที่เทือกเขาหลายเส้นมาบรรจบกัน ยามนี้บุปผาราชาผีขนาดใหญ่ยักษ์บานเต็มที่แล้ว แต่ละกลีบของมันโค้งงอ ปล่อยกลิ่นหอมสดชื่นรวยริน หลังจากที่กลิ่นหอมนี้กำจายไปรอบด้านก็ถึงกับทำให้นภากาศที่มืดสลัวแห่งนี้ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นมืดทะมึน

ถึงกระทั่งที่ว่าเพียงแค่พริบตา ท้องฟ้าก็กลายมาเป็นสีดำสนิท!

เวลาเดียวกันนั้นกลิ่นอายแห่งความตายเข้มข้นที่แผ่ออกมาจากในดอกไม้ดอกนี้ก็อบอวลไปทั่วทั้งโลกของกาหลอมวิญญาณ ผีร้ายวิญญาณพยาบาททั้งหมดที่อยู่ในหมอกล้วนตัวสั่นสะท้าน พากันคุกเข่ากราบกรานหันมาทางบุปผาราชาผีอย่างพร้อมเพรียงกัน

นัยน์ตาของพวกมันเผยความเคารพเลื่อมใส แฝงเร้นไว้ด้วยความกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่งคล้ายกำลังคำนับราชาของพวกมัน!

และในเวลานี้ เมื่อบุปผาราชาผีผลิบานเต็มที่ก็มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าผลสีเขียวที่อยู่ภายในกำลังเปลี่ยนมาเป็นสีดำ มองเห็นได้รำไรว่าบนนั้นเหมือนมีใบหน้าผีที่ดุร้ายอยู่หน้าหนึ่ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองปราดเดียวก็จำได้ทันทีว่าใบหน้าผีนี้เหมือนกับใบหน้าของรูปปั้นผียักษ์ในนครผียักษ์อย่างไม่มีผิดเพี้ยน!

เห็นได้ชัดว่าที่ผลของบุปผาดอกนี้มีประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อราชาผียักษ์ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับที่มาของ วิชาที่ราชาผียักษ์ใช้ฝึกตนอย่างแน่นอน เพียงแต่รายละเอียดลึกลงไปกว่านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจรู้ได้ ยามนี้เขาหายใจอย่างหนักหน่วง ดวงตาเป็นประกายระยับ

ภายใต้สายตาจับจ้องของเขา ไม่นานกลีบของบุปผาราชาผีก็ค่อยๆ ร่วงลงมาทีละกลีบ พอร่วงลงมาก็กลายมาเป็นกลุ่มหมอกควันที่หายไปบนพื้นดิน หลังจากที่กลีบสุดท้ายร่วงหายไป ผลของบุปผาราชาผีนั้นก็กลายมาเป็นสีดำสนิททั้งผล!

และวินาทีนี้เอง พลังดึงดูดน่าตะลึงระลอกหนึ่งก็พลันระเบิดออกมาจากกลางน้ำวนในตราผนึกสีขาว เมื่ออยู่ภายใต้แรงดึงดูดนี้ ผลของบุปผาราชาผีจึงลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าช้าๆ จนกระทั่งหายเข้าไปในน้ำวน

ชั่วขณะที่มันหายไปแสงของตราผนึกสีขาวก็คล้ายปฏิบัติหน้าที่ได้สำเร็จจึงค่อยๆ กลายมาเป็นจุดแสงแวววาว ไม่ได้หายกลับเข้ามาในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่กระจายหายไปรอบด้าน

พอเห็นภาพทุกอย่างนี้เกิดขึ้นกับตาของตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ผ่อนลมหายใจยาวออกมาหนึ่งที ในใจกลัดกลุ้ม รู้ดีว่าตอนนี้นับว่าราชาผียักษ์ได้สมปรารถนาแล้ว เพียงแค่เกือบจะต้องพลีชีพตนเท่านั้น

“เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่!” พอป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าถึงแม้หลายวันมานี้ตนจะชนะทุกครั้ง แต่ก็ต้องคอยตกใจหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา คิดมาถึงตรงนี้ก็ยิ่งโมโห ถึงขั้นรู้สึกด้วยว่าทำไมเรื่องแค่นี้ราชาผียักษ์ถึงไม่พูดกับตนตรงๆ

“เห็นชัดๆ ว่าเขาไม่เชื่อใจข้า กลัวว่าหากพูดกับข้าตรงๆ ข้าจะไม่กล้ามา!”

“หึ ข้าเป็นคนแบบนั้นงั้นหรือ อันตรายแค่นี้ ข้าจะกลัวหรือไง! เจ้าเห็นข้าเป็นคนยังไงกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็พลันรู้สึกร้อนตัว รีบล้มเลิกความคิดที่ว่าหากตนรู้เรื่องนี้ล่วงหน้าจะกล้ามาหรือไม่ทันที ครั้นจึงหมุนตัวตรงไปยังปากของกาหลอมวิญญาณ

เวลาเดียวกันนั้น โลกของกาหลอมวิญญาณก็สั่นสะเทือนขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะตรงพื้นที่ของปากกาหลอมวิญญาณที่ยิ่งสั่นไหวรุนแรง พอจะมองเห็นได้ว่ามันกำลังเปิดออก!

“ยังเหลืออีกสิบกว่าคนที่หนีไป คาดว่าคงกระจายกันไปทั่ว และเวลาในการเปิดทางออกก็มีแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น ช่างเถอะๆ ในเมื่อพวกเขาหนีไปแล้ว ข้าก็จะละเว้นพวกเขาสักครั้งแล้วกัน” อันที่จริงป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นตื่นเต้นมาก เขาคอยเหลือบมองถุงเก็บของของตัวเองเป็นระยะ รู้ว่าครั้งนี้ตนก่อเรื่องใหญ่เข้าแล้วจริงๆ

เผือกร้อนมือที่อยู่ในถุงเก็บของนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยากถือไว้นาน เขาร้อนใจอยากมอบของขวัญชิ้นใหญ่นี้ให้กับราชาผียักษ์

เวลานี้เขากลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวตรงไปยังปากของกาหลอมวิญญาณ ทว่าขณะที่เขากำลังจะเข้าไปใกล้ ทันใดนั้นกลับมีรุ้งยาวเส้นหนึ่งพุ่งมาจากตำแหน่งที่ใกล้กับปากกาหลอมวิญญาณมากกว่า ก่อนจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงพื้นที่ปากกาหลอมวิญญาณขวางหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้

นั่นก็คือซวี่ซานองค์หญิงจากนครเทพจุติ นางยืนอยู่ตรงนั้น ด้านหลังมีน้ำวนขนาดใหญ่ยักษ์ น้ำวนนี้ก็คือทางออกไปจากกาหลอมวิญญาณแห่งนี้ เหยียบลงไปในน้ำวนก็สามารถออกไปจากที่แห่งนี้ได้

ทว่านางกลับไม่ได้เหยียบเข้าไป แต่ยืนขวางอยู่ตรงนั้น ทั้งยังเงยหน้ามองป๋ายเสี่ยวฉุนที่พุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ที่ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหงุดหงิดก็คือหยกประดับบนร่างของซวี่ซานดันส่องประกายแสงปกคลุมน้ำวนทางออกนั้นไว้ด้วยกัน

“ป๋ายฮ่าว ข้าอยากจะรู้นักว่าคราวนี้เจ้าจะหลบยังไง!” ซวี่ซานตะโกนเสียงดังด้วยสีหน้าลำพองใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวด เห็นซวี่ซาน เขาก็ยิ่งปวดหัวจนหัวโต บรรดาทุกคนที่เข้ามาในกาหลอมวิญญาณครั้งนี้ เดิมทีเขาแค่ปวดหัวกับเฉินม่านเหยาคนเดียว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าซวี่ซานผู้นี้จะทำให้ตนปวดหัวยิ่งกว่าเสียอีก

ตีก็ตีไม่รู้ผล และหากอีกฝ่ายยืนกรานจะขวางอยู่หน้าทางออกอย่างนั้น ตนคิดจะออกไปก็อาจต้องเปลืองแรงกันบ้าง

“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอย่างเอือมระอา

“เจ้าถามว่าข้าจะทำอะไร? ข้าต่างหากที่ต้องถามเจ้า ทำไมพอเห็นข้าเจ้าต้องหนีทุกที!” ซวี่ซานเบิกตากว้าง เอ่ยถามเดือดดาลด้วยท่าทางก้าวร้าว

“บนร่างเจ้ามีหยกที่บิดามอบให้ ข้าทำอะไรไม่ได้ เสียเวลาข้า แน่นอนว่าย่อมต้องหนี” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ เอ่ยอธิบายไปหนึ่งประโยค ครุ่นคิดว่าหากใช้ถ้อยคำดีๆ เกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย ตนก็น่าจะไม่ต้องลงมือให้เปลืองแรง

“เสียเวลา? หึ เจ้าจับตัวทุกคนไปหมดแล้ว เจ้าทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร!” ดวงตาทั้งคู่ของซวี่ซานที่วาววับฉายแสงคมกริบ

“เรื่องนี้เป็นคำสั่งของราชาผียักษ์ ข้าเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ ก็ได้แต่ทำตามคำสั่งของหวังเหย่เท่านั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองซวี่ซานอย่างคนที่ได้รับความไม่เป็นธรรม

“จริงรึ” ซวี่ซานคลางแคลงใจ

“จริงแท้แน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบรับประกัน ลังเลอยู่ครู่ก็พูดอีกครั้งว่า

“คือว่า พวกเราอย่าสู้กันอีกเลย เจ้าปล่อยข้าไปดีไหม”

ซวี่ซานเงียบไปครู่ นางมองป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายกำลังวิเคราะห์ว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือไม่ หากเปลี่ยนมาเป็นเวลาปกติ นางย่อมมีการตัดสินใจเป็นของตัวเอง ไม่มีทางเชื่อคนอื่นง่ายๆ แน่นอน แต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้หัวใจนางถึงได้เลือกจะเชื่อคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเต็มใจผ่านไปพักใหญ่ นางก็พลันตบลงไปบนถุงเก็บของ สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที ผู้ฝึกวิญญาณของแดนทุรกันดารสิบกว่าคนก็ถูกโยนออกมาทันที

คนเหล่านี้ต่างก็เป็นลูกหลานที่น่าภาคภูมิใจของตระกูลผู้สูงศักดิ์ ทว่ายามนี้แต่ละคนตาเขียวหน้าปูดบวม ตบะถูกผนึก พอถูกโยนมากองทับกัน แต่ละคนก็ได้แต่ด่ากราดอย่างเดือดดาลอยู่ในใจ ไม่กล้าเอ่ยออกมา ทำเพียงมองซวี่ซานด้วยความขยาดกลัว แล้วจึงหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน

ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง คนเหล่านี้ก็คือพวกคนที่ก่อนหน้านั้นยอมแพ้แล้วเปลี่ยนใจ และภายหลังก็ตกใจกับฝีมือของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงหนีกระเจิงกันไปอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไม่ถึงว่าตัวเองคิดปล่อยพวกเขาไปแล้ว พวกเขากลับดันถูกนางมารซวี่ซานผู้นี้จับกลับมาอีก

“นี่คือ” ป๋ายเสี่ยวฉุนงุนงงเล็กน้อย มองไปยังซวี่ซานด้วยความไม่เข้าใจการกระทำของหญิงสาวป่าเถื่อนผู้นี้

“ในเมื่อเป็นคำสั่งของราชาผียักษ์ เจ้าก็เอาพวกเขาไปด้วยแล้วกัน” ซวี่ซานมองป๋ายเสี่ยวฉุนปราดๆ หนึ่งที สายตาไม่คมกริบอีกต่อไป เสียงก็ไม่ดังเช่นเดิม แม้แต่ดวงตาทั้งคู่ก็ยังเผยประกายสดใสในแบบที่ต่างไปจากเดิม

ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งงงเข้าไปใหญ่

เขาเองก็เห็นประกายประหลาดในดวงตาของซวี่ซานเช่นกัน แต่กลับรู้สึกว่าเหลือเชื่อเกินไป ความคิดแรกที่เกิดขึ้นในใจคือตนอาจตาฝาด

“อ้อ ข้ารู้แล้ว ที่แท้เจ้าก็คือผู้ช่วยที่ราชาผียักษ์พูดถึง!!”

ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนฉุกคิดขึ้นมาได้เลยหลุดปากพูดออกมา

“เจ้าน่ะสิถึงเป็นผู้ช่วยของราชาผียักษ์!” ซวี่ซานไม่รู้ว่าทำไมพอได้ยินประโยคนี้ นางถึงได้อารมณ์เสียขึ้นมาอีกครั้ง นางกระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งทีแล้วบินพรวดเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน มือทั้งคู่ที่กำเป็นหมัดซึ่งระเบิดพลังกล้ามเนื้อน่าตกใจพลันกระแทกออกมา

“แค่พูดไม่ถูกหูคำเดียวก็ลงไม้ลงมือ ซวี่ซานผู้นี้สมองมีปัญหา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มเจื่อน ถอนหายใจหนึ่งที เดินออกมาหนึ่งก้าวแล้วคำรามดัง

“เจ้าแน่จริงก็อย่าใช้หยกสิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนเสียงดัง มือขวายกขึ้นกำเป็นหมัดแล้วเหวี่ยงกลับไปเช่นกัน

“ไม่ใช้ก็ไม่ใช้สิ!” ซวี่ซานถูกยั่วโมโหจึงเก็บแสงหยกกลับคืนไปแล้วตรงเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

เสียงกัมปนาทดังก้องกังวาน ทั้งยังมีคลื่นโจมตีแผ่ออกมา

พลังกล้ามเนื้อของซวี่ซานเองก็แข็งแกร่งมากเหมือนกัน ทว่าพอรับหมัดนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยังคงกระอักเลือด ในร่างมีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่น บาดเจ็บสาหัสไปในทันที ทว่าแววสดใสในดวงตาของนางยิ่งมีมากกว่าเดิม ทั้งยังกระโจนเข้ามาอีกครั้ง

“แม้ว่าสมองของซวี่ซานผู้นี้มีปัญหา แต่นางคือมารร้าย ประกายในดวงตาของนางหมายจะปั่นป่วนหัวใจของข้า!” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบเตือนตัวเองอย่างชาญฉลาด พริบตาเดียวป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลงมืออีกครั้ง ซวี่ซานกระอักเลือดอีกหน ร่างถอยกรูดไปข้างหลัง ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกายวาบ ค้นพบว่าตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ซวี่ซานไม่ได้ใช้การป้องกันจากหยกประดับจริงๆ ในใจเขาจึงรู้สึกอีกครั้งว่าสมองของซวี่ซานผู้นี้เกิดปัญหาเป็นแน่แท้ ฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายถอยหลัง

ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันระเบิดความเร็ว พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้ เขายกมือขวาขึ้น คราวนี้ไม่ใช้หมัด แต่แบฝ่ามือตบลงไปบนแผ่นหลังของซวี่ซาน ผสานตบะของตัวเองไปปิดผนึกตบะของอีกฝ่าย

ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นรวดเร็วราบรื่นราวสายน้ำไหล ราบรื่นจนทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกแปลกใจ พอจับตัวซวี่ซานไว้ได้ หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เต้นกระหน่ำอย่างรวดเร็วทันที รู้สึกว่านี่คือปลาตัวใหญ่พอให้ตนอิ่มได้เลย

“ดูดพลังชีวิตของนางมา ไม่แน่ว่าข้าอาจจะชุบหลอมกระดูกไปถึงรอบที่แปดก็เป็นได้!” พอคิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หยิบร่มราตรีนิรันดร์ออกมาทันที ขณะที่กำลังสองจิตสองใจว่าจะทิ่มไปดีหรือไม่

ทว่าเวลานี้เอง ซวี่ซานกลับจ้องมองมาที่ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่แม้แต่จะเหลือบแลร่มราตรีนิรันดร์คันนั้น ประกายสดใสในดวงตาของนางยิ่งเด่นชัด ครั้นจึงตะโกนออกมาเสียงดัง

“ป๋ายฮ่าว ข้าชอบเจ้า!”

“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจพลันปล่อยมือ ร่างซวี่ซานจึงร่วงลงไปกองกับพื้นดัง “ตุ้บ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!