Skip to content

A Will Eternal 708

บทที่ 708 ข้าคืออาจารย์ของเจ้า

มองเห็นวิญญาณของป๋ายฮ่าว พลานุภาพสยบบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงท้ายที่สุดก็คล้ายกลายมาเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่ปกคลุมม่านแสงไว้โดยตรง ทำให้วิญญาณของป๋ายฮ่าวที่อยู่ข้างในกรีดร้องเสียงหวีดหวิวเหมือนต้องการหลบเลี่ยง ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับชี้นิ้วขวาไปยังม่านแสงอย่างเด็ดขาด

การชี้ครั้งนี้ม่านแสงบิดเบือน วิญญาณของป๋ายฮ่าวที่อยู่ข้างในเหมือนถูกฟ้าผ่า ร่างพลันสั่นสะท้านอย่างแรง ก่อนจะค่อยๆ ตัวอ่อนยวบลงไปนอนกับพื้นแล้วแน่นิ่งไม่ขยับ

นี่คือข้อมูลที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้มาจากตระกูลเฉิน เขารู้ว่าหากคิดจะผสานรวมเลือดสดหยดนั้นจำเป็นต้องไม่ให้วิญญาณมีการต่อต้าน หากมีการต้านทานแม้เพียงนิดเดียวก็จะชักนำให้เกิดความล้มเหลวและวิญญาณก็จะแหลกสลาย

และดูจากสภาพของวิญญาณป๋ายฮ่าวก่อนหน้านี้ก็ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะไม่ต่อต้าน ดังนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนจึงได้แต่ใช้พลานุภาพสยบของตัวเอง ไม่สนใจการสั่นสะท้านของวิญญาณป๋ายฮ่าว ทำให้เขาหมดสติไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะดำเนินการขั้นต่อไปได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากจับสังเกตวิญญาณป๋ายฮ่าวอย่างละเอียดเขาก็เกิดความลังเลเล็กน้อย เงยหน้ามองทิศไกล นิ่งคิดอยู่พักหนึ่งถึงก้มหน้าลงอีกครั้งพร้อมดวงตาที่ฉายแววเด็ดเดี่ยว

“ป๋ายฮ่าว จะสำเร็จหรือไม่ก็ต้องดูที่โชควาสนาของเจ้าแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่กับตัวเอง โบกมือขวาหนึ่งที สลายม่านแสงทิ้งไป วิญญาณป๋ายฮ่าวจึงเผยตัวอยู่ระหว่างฟ้าดินอย่างชัดเจน

ป๋ายเสี่ยวฉุนตบถุงเก็บของหยิบเอาขวดหยกหนึ่งขวดออกมาอย่างไม่ลังเล ก่อนที่เขาจะควบคุมให้หยดเลือดในขวดหยกมาลอยอยู่เหนือวิญญาณป๋ายฮ่าวนิ่งๆ

หยดเลือดนั้นเพิ่งจะปะทะเข้ากับวิญญาณของป๋ายฮ่าวก็กระจายออกกลายเป็นม่านแสงสีเลือดที่ผสานรวมวิญญาณเข้าไปข้างใน พริบตาเดียว วิญญาณป๋ายฮ่าวก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรงราวกับว่าความเจ็บปวดจะทำให้เขาฟื้นตื่น ยังดีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจับตามองอยู่ตลอดเวลา พอเห็นว่าเป็นเช่นนี้พลานุภาพสยบของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ข่มให้ป๋ายฮ่าวตกอยู่ในสภาวะหมดสติ

พอเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าพอจะรักษาสมดุลได้อย่างกล้อมแกล้ม แต่ไม่นานหยดเลือดนั้นก็ผสานรวมเข้าไปในร่างของวิญญาณป๋ายฮ่าว วิญญาณป๋ายฮ่าวที่กำลังสั่นเทิ้มเริ่มเปลี่ยนมาเป็นพร่าเลือนราวกับว่าเลือดสดหยดนี้มีพลังของการกัดกร่อนเผาผลาญวิญญาณป๋ายฮ่าว แถมวิญญาณนี้ก็ทั้งเล็กทั้งอ่อนแอจึงมิอาจต้านทานการเผาผลาญเช่นนี้ได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่านี่คือช่วงเวลาอันเป็นกุญแจสำคัญ เขารวบรวมสมาธิเต็มที่ โบกมือซ้ายหนึ่งครั้งรอบกายก็พลันมียาวิญญาณจำนวนมากโผล่ออกมา ยาวิญญาณเหล่านี้เพิ่งจะปรากฏก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนบีบจนแหลกละเอียดทันที ยาเหล่านั้นกลายมาเป็นพลังวิญญาณหลายเส้นที่พุ่งจากสี่ด้านแปดทิศเข้าหาวิญญาณของป๋ายฮ่าว พอเข้าไปด้านในก็ช่วยแบกรับการเผาผลาญนั้นแทน

ทว่าการเผาผลาญนี้เร็วเกินไป เมื่อครู่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือก็มียาวิญญาณนับร้อยเม็ด แต่ยืนหยัดได้แค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจก็ถูกเผาผลาญเสียเกลี้ยง ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบเอายาวิญญาณออกมาเพิ่มโดยพลัน เมื่อเวลาผ่านพ้นไป ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่รู้แล้วว่าตัวเองเอายาวิญญาณออกมามากน้อยแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ภายใต้การประคับประคองของยาวิญญาณนี้ ในที่สุดวิญญาณของป๋ายฮ่าวที่ผสานรวมอยู่ในเลือดสดหยดนั้นก็ค่อยๆ มั่นคง เพียงแต่ร่างของวิญญาณบิดเบือนบูดเบี้ยว ความเจ็บปวดเช่นนั้นเหมือนว่าต่อให้เขาหมดสติก็ยังคงสัมผัสได้อย่างชัดเจน

เวลาผ่านพ้น การเผาผลาญเช่นนี้ดำเนินไปนานเต็มสามวัน ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นก่อกำเนิดวิถีฟ้าก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้า เพราะอย่างไรซะสามวันมานี้เขาก็ต้องคอยจับตามองป๋ายฮ่าวอยู่ทุกเวลานาที จะปล่อยให้เขาตื่นขึ้นมาไม่ได้ ทั้งยังไม่สามารถใช้กำลังสยบได้เต็มที่ จำเป็นต้องประคองให้อยู่ในสภาวะที่ได้สมดุลอย่างพอเหมาะพอดี

อีกด้านหนึ่งยังจำเป็นต้องคอยเติมยาวิญญาณอย่างต่อเนื่อง หากเปลี่ยนมาเป็นก่อกำเนิดคนอื่นๆ ยามนี้กลัวว่าคงใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมยามานานปี ปณิธานของเขาเด็ดเดี่ยวแข็งแกร่งเกินผู้ใด แม้ตอนนี้จะเหน็ดเหนื่อย ทว่ากลับยังคงไม่เสียสมาธิแม้แต่นิดเดียว

“ตามคำบอกของตระกูลเฉิน ขั้นตอนการผสานเลือดสดนี้จำเป็นต้องใช้เวลาเจ็ดวัน…ตอนนี้ใกล้จะผ่านไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่ในใจ แต่กลับไม่ได้ผ่อนคลายสักนิดเดียว จนกระทั่งวันที่สามผ่านไป ชั่วขณะที่วันที่สี่มาถึง ทันใดนั้นก็มีเส้นสีทองเส้นหนึ่งที่พลันปรากฏขึ้นบนร่างของวิญญาณป๋ายฮ่าว!

พอเส้นสีทองนี้ปรากฏ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีสีหน้าฮึกเหิม จากรายละเอียดที่รู้มาจากตระกูลเฉิน ที่เลือดสดหยดนี้ทำให้วิญญาณฟื้นคืนความทรงจำตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเส้นทองเส้นนี้ เส้นนี้เหมือนเป็นร่องรอยของชะตาชีวิต พอปรากฏขึ้นก็จะทำให้วิญญาณอาศัยชะตาชีวิตนี้มาปรากฏตัวอยู่ในชาติที่แล้วของตัวเองอีกครั้ง

ทว่าวินาทีที่เส้นสีทองนี้ปรากฏกลับเหมือนความเจ็บปวดรวดร้าวนั้นจะเพิ่มขึ้นพรวดพราด วิญญาณของป๋ายฮ่าวกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ดวงตาทั้งคู่ค่อยๆ ลืมขึ้น ชั่วขณะนั้นเหมือนจะมีกลิ่นอายแห่งการพังทลายระเบิดออกมาจากในร่างของเขา ทั้งยังมีรอยปริแตกหลายเส้นปรากฏขึ้นบนร่างของวิญญาณด้วย

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสีทันใด เมื่อเห็นว่ามีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นเขาก็ร้อนรนขึ้นมา หมายจะสยบเอาไว้แต่กลับมิอาจแก้ไขปัญหาได้ ได้แต่ใช้ยาวิญญาณมาช่วยประคอง ทว่าต่อให้ยาวิญญาณจำนวนมากจะแปลงมาเป็นพลังวิญญาณก็ยังไม่สามารถพลิกเปลี่ยนลางแห่งการพังทลายของวิญญาณป๋ายฮ่าวได้

รอยปริแตกบนวิญญาณยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้วิกฤตคับขันนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอดอย่างแรง

“ป๋ายฮ่าว ยืนหยัดเข้าไว้!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบบีบเมล็ดบัวหนึ่งเม็ดให้แตกละเอียดแล้วสาดลงไปบนร่างวิญญาณของป๋ายฮ่าว ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่รู้ว่าเมล็ดบัวนี้จะใช้ได้ผลหรือไม่ แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยอนุมานมาก่อนจึงคิดว่ามีความเป็นไปได้ถึงหกส่วนที่เมล็ดบัวนี้จะมีประโยชน์ต่อการฟื้นคืนวิญญาณ

และชั่วขณะที่ผงเมล็ดบัวสัมผัสเข้ากับวิญญาณของป๋ายฮ่าว แสงอ่อนโยนระลอกหนึ่งก็แผ่กระจายออกมา มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ารอยแตกบนร่างของวิญญาณป๋ายฮ่าวประสานตัวเข้าหากัน และเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจก็กลับคืนมาเป็นปกติ ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าได้ผลก็ฮึกเหิมอย่างถึงที่สุด รีบปรับพลานุภาพสยบของตัวเอง ทั้งหยิบเอายาวิญญาณจำนวนมากมาเพิ่มความมั่นคงให้กับวิญญาณของป๋ายฮ่าว

“ยังเหลืออีกสามวันกว่า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหายใจถี่กระชั้นเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่มีเส้นเลือดฝอยปรากฏ ทุ่มเทสมาธิทั้งหมดที่มี เมื่อเส้นสีทองปรากฏ การเผาผลาญยาวิญญาณก็เพิ่มขึ้นพรวดพราดในชั่วพริบตา

ยังดีที่คราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีการเตรียมพร้อมมากพอ ยาวิญญาณเหล่านั้นจึงถูกเขาบีบแหลกละเอียดอย่างไม่ขี้เหนียวราวกับได้มาเปล่าๆ ความสิ้นเปลืองนั้นหากคนอื่นมาเห็นเข้าต้องอ้าปากกว้างตาค้าง ตะโกนว่าเขาเป็นพวกล้างผลาญแน่นอน

ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย ของนอกกายเหล่านี้เทียบกับความหมายของป๋ายฮ่าวที่มีในใจเขาไม่ได้ นั่นคือลูกศิษย์ของเขา คือคนแรกที่เขาได้พบเห็นตอนถูกส่งมายังแดนทุรกันดาร โดยเฉพาะตลอดทางมานี้ เขามีประสบการณ์แทนป๋ายฮ่าวมามากมาย ทั้งยังใช้ชื่อของป๋ายฮ่าวเดินมาจนถึงทุกวันนี้ ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นมีหรือจะใช้ยาวิญญาณมาวัดค่าได้

ไม่นานวันที่สี่ก็ผ่านไป วันที่ห้ามาถึง แล้วก็ตามมาด้วยวันที่หก…ท่ามกลางขั้นตอนนี้ เส้นเลือดฝอยในดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่มมากขึ้น ความเหนื่อยล้าก็ยิ่งรุนแรง โดยเฉพาะในด้านจิตใจ แต่กลับถูกความแน่วแน่ของเขาสะกดเอาไว้ ยังคงคอยรักษาสมดุลด้วยความระมัดระวัง จนในที่สุด…วันที่เจ็ดก็มาถึง!

“สิบสองชั่วยามสุดท้ายแล้ว!” สีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนซีดเซียว ดวงตาทั้งคู่ก็ยิ่งแดงฉานราวสีเลือด พยายามรักษาความสมดุลเต็มกำลังเพื่อรอให้เวลาผ่านพ้นไป ยังดีที่นี่คือวันสุดท้าย วิญญาณของป๋ายฮ่าวเองก็นิ่งสงบแล้วไม่น้อย เส้นสีทองนั้นลอดทะลุไปทั่วร่างของเขา คอยเปล่งแสงสีทองเจิดจ้าอยู่เป็นระยะ

ทุกครั้งที่มีแสงสีทองแผ่ออกมาก็จะทำให้วิญญาณของป๋าวฮ่าวมีสติมากขึ้น ความอำมหิตกระหายเลือดลดน้อยลง พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นการเปลี่ยนแปลงทีละก้าวเช่นนี้ ในใจก็ให้ปลื้มปริ่มยินดี

“ยังเหลืออีกหนึ่งชั่วยาม!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ เขาตื่นเต้นเป็นกำลัง พอคิดว่าหากเขาฟื้นคืนความทรงจำของป๋ายฮ่าวตอนยังมีชีวิตอยู่ได้สำเร็จ ตนควรจะเปิดปากบอกเขาเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากเขาตายไปอย่างไร

“ข้าคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี แต่ข้ากลับเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว ไม่คิดถึงปัญหาข้อนี้อีกต่อไป แต่ทุ่มเทสมาธิไปประคองวิญญาณของป๋ายฮ่าว ไม่นานชั่วยามสุดท้ายนี้ก็ผ่านไปช้าๆ เมื่อชั่วยามที่สิบสองสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์แบบ วิญญาณของป๋ายฮ่าวก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ไม่เหลือความดุร้ายอีกต่อไป แต่ดวงตาทั้งคู่ที่เปิดขึ้นกลับเต็มไปด้วยสติปัญญา เขาลุกขึ้นนั่งพร้อมความเลื่อนลอย…

บนท้องฟ้าพลันมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวสะเทือนฟ้าดินดังแว่ว เมฆดำทะมึนตรงเข้ารวมตัวกัน ก่อนที่สายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งจะผ่าเปรี้ยงลงมา สายฟ้านี้มาเร็วเกินไปจนป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ทันตั้งตัว

“นี่คือทัณฑ์อสนี? มีทัณฑ์อสนีได้อย่างไร!!” เมื่อเห็นว่าสายฟ้าเส้นนี้ทะลุทะลวงทุกปราการกีดขวางมาปรากฏอยู่เหนือศีรษะของป๋ายฮ่าว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ร้อนใจ ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ระเบิดตบะทุกด้าน

ท่ามกลางเสียงกัมปนาท ป๋ายเสี่ยวฉุนกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ ร่างปลิวกระเด็นออกไปกระแทกใส่ผนังหินดังตึง ทว่าเขากลับไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าถึงแม้สายฟ้าเส้นนั้นจะถูกตัวเองทำลายไปแล้วเกินครึ่ง แต่ก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ผ่าลงบนร่างของป๋ายฮ่าว ทำให้ป๋ายฮ่าวที่เพิ่งลืมตาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง รอยปริแตกปรากฏขึ้นทันใด มีลางว่าใกล้จะแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ!

“ป๋ายฮ่าว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามดังลั่น มือขวายกขึ้นโยนเมล็ดบัวเม็ดสุดท้ายออกไปหาวิญญาณของป๋ายฮ่าวทันใด อีกทั้งท่ามกลางเสียงร้องคำรามนี้ของเขา ความเคว้งคว้างและเจ็บปวดที่เผยให้เห็นในดวงตาของวิญญาณป๋ายฮ่าวกลับถูกแทนที่ด้วยความมีสติแจ่มชัด เขามองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน มองเมล็ดบัวที่บินมาหาแล้วอ้าปากดูดเมล็ดบัวเข้ามาในร่างตัวเองโดยอัตโนมัติ

เมื่อเมล็ดบัวเข้ามาในปากก็พลันกลายมาเป็นแสงอ่อนโยนที่แผ่ไปทั่ววิญญาณของป๋ายฮ่าวในชั่วพริบตา เขาหลับตาทั้งคู่ลง ร่างสั่นเทิ้ม รอยปริแตกมากมายประสานตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็ว และเมฆดำบนท้องฟ้าก็ยังคงมารวมตัวกัน แต่ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ถึงสลายหายไป…

เนิ่นนาน เมื่อวิญญาณของป๋ายฮ่าวสงบนิ่งลง บนร่างไม่มีรอยปริแตกอีกต่อไป พอเขาลืมตาขึ้นอีกครั้งก็มองเหม่อไปยังร่างที่อยู่เบื้องหน้าของตน ร่างที่กำลังมองตนด้วยสายตาห่วงใย ทั้งยังเป็นร่างที่…เหมือนตนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

ความห่วงใยนั้นจริงใจอย่างมาก ด้วยสติปัญญาของเขา เขาสามารถสัมผัสได้ทันทีเลยว่าสายตาเช่นนี้ ทั้งชีวิตของเขาเคยเห็นแค่จากมารดาของตัวเองเท่านั้น นอกจากมารดาของเขาแล้ว ชั่วชีวิต…ก็ไม่เคยมีใครใช้สายตาเช่นนี้มองตนอีก

“เจ้าคือ…” ป๋ายฮ่าวเอ่ยถามเบาๆ

“ข้าคืออาจารย์ของเจ้า!” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายความตื่นเต้น แต่กลับสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น เอามือไพล่หลัง ผินหน้าไปด้านข้างเล็กน้อยแล้วเอ่ยปากเนิบช้าด้วยท่าทีประดุจเทพเซียนอย่างที่ตัวเองจินตนาการมาก่อนหน้านี้ว่าท่วงท่าเช่นนี้จะมีบารมีน่าเกรงขามมากที่สุด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!