Skip to content

A Will Eternal 718

บทที่ 718 ทุกคนอย่าเพิ่งวู่วาม

“นี่ไม่ใช่ไฟธรรมดา นี่คือไฟจากการหลอมพลังจิต!!”

“สมควรตายนัก หรือว่ามีศัตรูลอบโจมตี แต่นี่มันนครจักรพรรดินะ จะมีศัตรูมาลอบโจมตีได้อย่างไร!!”

“รีบดับไฟเร็วเข้า”

“นี่ต้องเป็นฝีมือของคนแน่นอน ใครเป็นคนทำ ข้าจะหั่นมันเป็นหมื่นๆ ชิ้น!!”

ยามนี้ตลอดทั้งค่ายทหารโกลาหลอย่างสิ้นเชิง คนจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกมาเพื่อหาสาเหตุที่ไฟไหม้ เสียงคำรามดังก้องไปทั่วด้าน ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ยินอกสั่นขวัญผวา ทั้งยังมีผู้ฝึกวิญญาณจำนวนไม่น้อยเริ่มบินมาทางป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขามองออกแล้วว่าที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนจะเป็นต้นตอของเปลวเพลิงนี้

ป๋ายฮ่าวยิ่งหวาดผวาเข้าไปใหญ่ ยามนี้เขาสูดลมหายใจหนึ่งที แอบรู้สึกว่าอาจารย์ผู้นี้ของตนไม่น่าเชื่อถือจริงๆ ความคิดของเขาหมุนวนเร็วจี๋ หมายจะหาวิธีแก้ไขปัญหา

ทว่าตอนที่คนเหล่านั้นกรูกันมาที่นี่ ป๋ายฮ่าวยังไม่ทันคิดออก ทันใดนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนพลันถือสถูปวิญญาณของป๋ายฮ่าวทะยานขึ้นไปบนฟ้าด้วยสีหน้าดุร้ายคล้ายเดือดดาลสุดขีด ทั้งยังหันไปร้องคำรามเสียงแหลมใส่รอบด้าน

“คือใคร สมควรตายนัก ใครมันเป็นคนทำ!!”

“ไอ้ตัวหายนะ ข้ากำลังนอนหลับอยู่ดีๆ อีกนิดเดียวก็เกือบจะถูกเผาตาย ทำกันเกินไปแล้ว!!”

“สหายนักพรตทุกท่าน ตามข้าไปหา พวกเราต้องหาเจอแน่ว่าใครเป็นคนวางเพลิงครั้งนี้!!” ความโมโหของป๋ายเสี่ยวฉุนพลุ่งพล่านไร้ที่สิ้นสุด

ในเสียงที่ดังเหมือนอสนีบาตแฝงไว้ด้วยไฟโทสะ ทำให้พวกคนที่ตรงเข้ามาพากันอึ้งงัน ไม่ทันได้คิดอะไรมากก็เริ่มติดตามป๋ายเสี่ยวฉุนไปหาตัวการอย่างเขาว่า

วิญญาณป๋ายฮ่าวที่อยู่ในสถูปวิญญาณเนื่องจากมีคุณสมบัติพิเศษ ร่างของเขาสามารถไร้รูปลักษณ์ทั้งสามารถมีรูปร่างเป็นของตัวเอง คนนอกจึงมองไม่ออก ตอนนี้เขาที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนถือไว้ในมือยืนอึ้งราวกับคนโง่ เหม่อมองท่าทางเป็นเดือดเป็นแค้นใกล้จะระเบิดอารมณ์ของอาจารย์ตัวเอง บวกกับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงและดวงตาแดงก่ำคู่นั้น หากไม่เพราะป๋ายฮ่าวรู้ความจริง เกรงว่าคงถูกหลอกไปด้วยอีกคน

ป๋ายฮ่าวสูดลมดังเฮือกอย่างห้ามไม่ได้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจคำที่อาจารย์บอกว่ามีประสบการณ์แล้ว

“อาจารย์ ต้องไม่ใช่เพิ่งก่อเรื่องเป็นครั้งแรกแน่ แล้วก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่แก้ตัวผ่านพ้นมาได้ เขามีประสบการณ์จริงๆ ” ป๋ายฮ่าวไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขารู้สึกเหมือนตัวเองกราบอาจารย์ตัวปลอมอย่างไรก็ไม่รู้

แต่ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังวางท่าโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ช่วยนักพรตหลายคนตามหาตัวการ ทันใดนั้นในค่ายทหารก็มีผู้ฝึกวิญญาณคนหนึ่งที่อาภรณ์ขาดกะรุ่งกะริ่ง เส้นผมถูกเผาจนไม่มีเหลือ สภาพกระเซอะกระเซิงอย่างมาก เขาชี้นิ้วใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่กลางอากาศแล้วแผดเสียงคำรามแหบโหย

“ป๋ายฮ่าว เป็นเจ้า!!”

“ข้ารับผิดชอบลาดตระเวนอยู่ที่นี่ เมื่อครู่นี้ข้าเห็นเองกับตาว่าไฟนั่นระเบิดออกมาจากในกระโจมของเจ้า แต่เจ้ากลับเสแสร้งทำเป็นตามหา ฝีมือเจ้านั่นแหละ!!”

คำพูดนี้ดังจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใจหายวาบ กำลังจะเปิดปากอธิบาย แต่ไม่นานก็มีคนอีกเจ็ดแปดคนทยอยกันบินมาแล้วตะโกนใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนดังลั่น

“พวกเราก็เห็นเหมือนกัน ไฟนั่นระเบิดออกมาจากในกระโจมของเจ้า!!”

“ป๋ายฮ่าว เจ้าไร้ยางอาย! อยู่ในนครผียักษ์คนอื่นอาจกลัวเจ้าสามส่วน แต่อยู่ที่นี่ไม่มีใครเอาใจเจ้าหรอกนะ!” คนเหล่านี้พูดไปพร้อมแผ่ปราณดุร้ายน่าตกใจออกมา พวกเขาตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนพวกนักพรตที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็ย่อมเลือกเชื่อสหายร่วมรบของพวกเขาอยู่แล้ว ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมเชื่อคนนอกอย่างป๋ายเสี่ยวฉุน พอได้ยินอย่างนั้นทุกคนจึงหันมองมาป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเดือดดาล แฝงเร้นไว้ด้วยปราณสังหาร

“ทุกคนฟังข้าอธิบายก่อน” ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก ขณะเดียวกันกับที่เขาอ้าปากหมายจะอธิบาย กลับมีคลื่นเวทคาถาหลายเส้นทะยานเข้าใส่ดังตูมตาม ห้าแสงสิบสีพุ่งเข้ามาราวฝนคาถา ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญผวา รีบเบี่ยงหลบว่องไว

ชั่วขณะที่เขาเบี่ยงตัวออกไปนั้น ตรงจุดที่เขายืนอยู่ก็ถูกเวทคาถาจำนวนนับไม่ถ้วนกระแทกโจมตีจนความว่างเปล่าเกิดเป็นรอยแตกแยก ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนชาไปทั้งหนังหัว รีบถอยกรูดไปข้างหลัง เพราะผู้ฝึกวิญญาณที่อยู่รอบๆ นี้มีมากเกินไป เขาแค่กวาดตามองปราดเดียวก็เห็นแล้วหลายร้อยคน แถมห่างออกไปไกลยังมีคนมากกว่าเดิมกำลังห้อทะยานมาใกล้

“ข้าไม่เคยเห็นใครที่ไร้ยางอายเท่าไอ้หมอนี่มาก่อน ฆ่าเขาซะ!”

“เป็นผู้กำกับการใหญ่แล้วอย่างไร กล้าสร้างความวุ่นวายในค่ายทหาร แค่นี้ก็มีโทษตายแล้ว!” เสียงคำรามของทุกคนดังสะท้านฟ้า ต่างคนต่างไล่ฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุน หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นรัวเร็ว หน้านิ่วคิ้วขมวด รีบหลบอย่างไว พอเห็นว่าคนของฝ่ายตรงข้ามเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้เขาเป็นก่อกำเนิดวิถีฟ้า ตอนนี้ก็ยังรู้สึกกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว

“ทุกคนอย่าเพิ่งวู่วาม สงบสติอารมณ์กันหน่อย ฟังข้าอธิบายก่อน ไม่มีเรื่องอะไรที่พูดคุยกันไม่ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องตะโกนดังลั่น สั่นสะท้านไปยันหัวใจ พยายามบอกให้ทุกคนสงบลง ทว่าสิ่งที่ตอบรับเขากลับมามีเพียงพายุคลั่งและฝนกระหน่ำที่เกิดจากเวทคาถาของคนนับพัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเวทคาถาที่พุ่งแผ่มาเป็นผืนนั้นน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก เขาตกใจจนหวีดร้องเสียงแหลม ร่ายใช้พลังกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็เคลื่อนที่เร็วเหนือแสงหายวับไป ทว่าเพิ่งจะหลบมาได้กลับมีคนถึงขั้นเปิดใช้ค่ายกลจนปราณดุร้ายระเบิดไปทั่วทั้งค่ายทหาร

“พวกเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว ข้าก็แค่ทำไฟไหม้โดยไม่ทันระวัง นี่ก็ไม่มีใครตายสักหน่อย เจ้าๆๆ พวกเจ้าถึงกับเปิดค่ายกลรอตีข้าเชียวรึ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี เขารู้สึกว่าคนพวกนี้เป็นบ้ากันไปหมดแล้ว อยากจะร้องไห้เต็มทีแต่ก็ร้องไม่ออก พอเห็นว่าจำนวนคนที่เข้ามาล้อมตนมีมากเกือบถึงพันคน ความหวาดผวาในใจเขาก็ไต่ไปถึงขีดสุด และจู่ๆ ก็คำรามดังลั่น

“โจวจื่อโม่ ข้อตกลงของพวกเราคือข้าอยู่ที่นี่สามเดือนโดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ!!”

เสียงคำรามนี้ดังกึกก้อง ต่อให้เป็นเสียงคำรามด้วยความเดือดดาลของคนนับหมื่นที่อยู่รอบด้านก็ยังมิอาจข่มทับเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนก่อกำเนิดวิถีฟ้าจึงแข็งแกร่งมาก ขณะเดียวกันพลังกล้ามเนื้อของเขาก็น่าตะลึงมากด้วย เมื่อสองอย่างนี้ผสานเข้าด้วยกันจึงทำให้เสียงของเขาเป็นดั่งอสนีบาตที่ดังกระหึ่มไปสี่ทิศ

สตรีธุลีแดงรู้แต่แรกแล้วว่าด้านนอกเกิดเรื่องขึ้น ฟันขาวสะอาดของนางขบกันอยู่ตลอดเวลา นางเองก็โมโหป๋ายฮ่าวผู้นี้มากเหมือนกัน ไพล่นึกไปถึงท่าทีของเขาที่แสร้งทำเป็นอ่อนแอก่อนจะกำเริบเสิบสานตอนเพิ่งมาถึง เดิมทีเรื่องนี้ถือว่าจัดการได้แล้ว ต่างคนต่างตกลงกันว่าจะใช้เวลาสามเดือน

แต่นี้เพิ่งผ่านไปได้แค่สองวัน ป๋ายฮ่าวก็ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้

แม้ทะเลเพลิงผืนนั้นจะถูกควบคุมจนมอดดับลงไปได้ ทว่าไฟไหม้ครั้งนี้กลับเผาทรัพยากรทางการทหารไปมากมหาศาล ลองคำนวณดูคร่าวๆ ความเสียหายในค่ายนับว่าไม่น้อย และค่ายทหารแห่งนี้ก็เป็นของนางสตรีธุลีแดง ทุกความเสียหายล้วนต้องให้นางเป็นผู้ชดใช้ นี่จึงทำให้สตรีธุลีแดงเริ่มรู้สึกเสียใจที่ยอมตกลงให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาอยู่ในค่ายของตัวเอง

เพียงแต่ในเมื่อตกลงกันไปแล้ว นางก็มิอาจกลับคำ

ยามนี้พอได้ยินเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตะโกนดังมาจากข้างนอก สตรีธุลีแดงก็โกรธจนแก้มพอง ขบฟันกรอด ก้าวเดินออกมาหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็หายวับไป มาปรากฏตัวอยู่ครั้งอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถูกทุกคนรุมล้อม

การปรากฏตัวของสตรีธุลีแดงก่อเกิดคลื่นเป็นชั้นๆ ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนและทุกคนใจสั่นสะท้าน โดยเฉพาะผู้ฝึกวิญญาณในค่ายผียักษ์ที่ถึงแม้จะมีใจคิดสังหารป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่ากลับจำต้องข่มกลั้นเอาไว้ พากันหันไปคารวะสตรีธุลีแดง

ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตื่นตระหนกเหมือนกัน เขาไม่ได้ตั้งใจจะวางเพลิงจริงๆ นะ มันคืออุบัติเหตุ ด้วยความกังวลว่าสตรีธุลีแดงจะไม่ทำตามสัญญาจึงรีบเอ่ยทันใด

“พวกเรามีข้อตกลงร่วมกันนะ เฮ้อ ข้าก็บอกแล้วไงว่าในเมื่อเจ้าไม่ชอบข้าก็ให้ข้าไปเถอะ เหตุใดต้องรั้งตัวข้าเอาไว้ด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ หน้าม่อยคอตกมองสตรีธุลีแดง

สตรีธุลีแดงได้ยินประโยคนี้ก็เกือบจะข่มอารมณ์ไม่ไหว หน้าอกกระเพื่อมเพราะหอบหายใจ สีหน้ามืดคล้ำ หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งก็กวาดสายตามองผ่านทุกคนแล้วพูดขึ้นช้าๆ

“แยกย้ายกันไปซะ”

ประโยคนี้ดังออกมา ทุกคนเงียบกันไปหลายชั่วอึดใจ ต่อให้ความเดือดดาลในใจที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนจะมากมายแค่ไหนก็ยังพากันก้มหน้าหมุนกายจากไป ไม่นานรอบด้านก็เงียบสงบ ค่ายกลก็สลายไปด้วย

ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตกตะลึง เขาเคยเป็นผู้บังคับกองหมื่นที่กำแพงเมือง รู้ว่าแค่พูดคำเดียวก็ทำให้คนทั้งค่ายถอยไปได้ นี่นอกจากสาเหตุด้านตบะแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือบารมีความน่าเกรงขาม และเห็นได้ชัดว่าบารมีของสตรีธุลีแดงในค่ายกลแห่งนี้ได้มากถึงระดับที่น่าหวาดหวั่นแล้ว

เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไป สตรีธุลีแดงถึงได้หันกลับมามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชา ไอเย็นเยียบที่อยู่ในดวงตาคู่นั้นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหวั่นวิตก อดไม่ได้จนต้องเอ่ยออกมา

“คือว่า ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ อุบัติเหตุ นี่คืออุบัติเหตุครั้งหนึ่งเท่านั้น”

“ข้าไม่สนใจว่าเป็นอุบัติเหตุหรือไม่ แต่ข้าขอเตือนเจ้าว่า หากเจ้ายังทำให้เกิดไฟวินาศเป็นครั้งที่สอง ต่อให้มีข้อตกลงร่วมกัน ข้าก็จะยังตัดหัวเจ้าอยู่ดี!” สตรีธุลีแดงพูดเน้นย้ำทุกคำ และทุกคำก็เหมือนสายฟ้ามรณะที่ฟาดผ่าลงมากลางจิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุน

กล่าวจบสตรีธุลีแดงก็สะบัดร่างจากไป ไม่สนใจป๋ายเสี่ยวฉุนอีก นางกังวลว่าหากตนมองป๋ายเสี่ยวฉุนนานกว่านี้อีกนิดจะข่มใจอยากสังหารอีกฝ่ายไม่ได้

หลังการปรากฏตัวของสตรีธุลีแดง ในที่สุดความวุ่นวายครั้งนี้ก็สงบลง

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับอยู่ในค่ายทหารแห่งนี้อย่างไม่อิสระเอามากๆ สายตาเย็นชาของทุกคนที่อยู่รอบกายทำให้เขากระอักกระอ่วนไม่น้อย

ที่ยิ่งทำให้เขาตึงเครียดก็คือเขาไม่กล้าหลอมไฟในค่ายทหารแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว เขากังวลว่าหากเกิดทะเลเพลิงขึ้นมาอีกครั้ง มีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วนว่าสตรีธุลีแดงผู้นั้น จะลงมือจริงๆ

แต่หากไม่ให้หลอมไฟ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยอมไม่ได้ เขารู้สึกว่าการหลอมไฟสิบหกสีของตนสำเร็จไปห้าส่วนแล้ว ขอแค่มุมานะกว่านี้อีกสักนิดก็ไม่แน่ว่าอาจจะหลอมได้สำเร็จจริงๆ

“ช่างเถอะๆ ข้าไปมีเรื่องกับนังเฒ่าธุลีแดงคนนี้ไม่ได้ ไม่หลอมไฟในค่ายนี่ก็คงได้แล้วกระมัง ข้าจะไปหลอมข้างนอก แบบนี้ต่อให้มีทะเลเพลิงก็ไม่เดือดร้อนมาถึงคนในค่าย นังเฒ่าธุลีแดงผู้นั้นก็ไม่มีเหตุผลให้ลงมือกับข้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนปลงอนิจจังอยู่กับตัวเองพักหนึ่ง นัยน์ก็ตาฉายแววเด็ดเดี่ยว ก่อนจะสะบัดกายออกไปจากค่ายทหาร

เพิ่งจะเดินออกไปจากค่าย เขาก็รู้สึกว่าบนร่างมีอำนาจจิตเล็งลงมา รู้ว่าตามสัญญาเขาจำเป็นต้องอยู่ในค่ายนี้สามเดือน แต่พอคิดว่าขอแค่ตนไปไม่ไกลก็คงไม่เป็นไร จึงไม่ได้สนใจอำนาจจิตนั้น ไม่นานเขาก็มาถึงบนยอดเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่นอกค่ายทหาร

แล้วก็เป็นดังคาด พอเขามาถึงยอดเขา อำนาจจิตที่รวมอยู่บนร่างของเขาก็หายไปช้าๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!