Skip to content

A Will Eternal 746

บทที่ 746 ต้าเฮยคือใคร

ความตรงไปตรงมาของซวี่ซานยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนปวดหัว เขาค้นพบด้วยความสิ้นหวังว่าตนที่เป็นถึงผู้บังคับกองหมื่น ผู้กำกับการใหญ่นครผียักษ์ บุคคลผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งแดนทุรกันดาร กล้าลักพาตัวศิษย์แห่งความภาคภูมิใจนับร้อย คนฟ้าก็ยังกล้าท้ารบ หรือแม้แต่หวังเหย่ครึ่งเทพตนยังเคยตบหัวมาแล้ว ทว่า เมื่อมาเจอกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของชายหญิง ตนกลับสิ้นท่า ไร้ปัญญารับมือ

เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองผ่านวันนี้ไปได้อย่างไร

จำได้เพียงว่าระหว่างซวี่ซานและเฉินม่านเหยาเหมือนจะมีข้อขัดแย้งกันบางอย่าง

กว่าจะสยบความวุ่นวายมาถึงยามสนธยาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดร้านตั้งแต่หัววัน เมื่อเห็นว่าซวี่ซานและเฉินม่านเหยาจากไปแล้ว เขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็เงยหน้ามองชายคาบ้านด้วยสีหน้าเศร้าระทม

“ข้าเป็นถึงเทพแห่งความรักเชียวนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนคร่ำครวญด้วยความเศร้าใจ ฉายาที่แต่ไรมาทำให้เขาลำพองใจมาโดยตลอด วันนี้กลับทำให้เขารู้สึกจนใจอย่างถึงที่สุด

“เป็นอย่างนี้อีกได้อย่างไร ปีนั้นซ่งจวินหว่านและโหวเสี่ยวเม่ยเล่นงานข้าเกือบตาย ข้ามาอยู่แดนทุรกันดารก็ระวังตัวมากพอแล้ว กลัวว่าความยอดเยี่ยมของตัวเองจะดึงดูดความชื่นชอบจากหญิงสาว ข้าอุตส่าห์ใช้หน้าตาของป๋ายฮ่าวศิษย์ข้า ไม่ได้ใช้หน้าตาหล่อเหลาคมคายของตัวเอง แต่ทำไมถึงยังมีคนมาชอบข้าได้ .. สวรรค์ ทำไมเจ้าถึงทำกับข้าอย่างนี้” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบอกตัวเองอย่างแรง ทำท่าทางราวคนที่ร้องทุกข์ต่อสวรรค์ แต่สวรรค์ไม่ตอบรับ

ทว่าวิญญาณป๋ายฮ่าวที่อยู่ข้างกันกลับเบิกตากว้าง ได้ยินคำพูดของอาจารย์ตัวเอง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นกลัดกลุ้มและเอือมระอาเล็กน้อย เอามือลูบๆ คลำๆ ไปบนใบหน้า ใจอยากจะโต้กลับ แต่เห็นว่าท่าทางของอาจารย์ตัวเองเวลานี้ไม่ค่อยปกติ ลังเลอยู่ครู่เขาก็ได้แต่ยอมข่มกลั้นเอาไว้

“หรือว่าข้ายอดเยี่ยมจนถึงขั้นที่ผู้คนมองข้ามหน้าตา ข้ามผ่านกาลเวลา หลุดพ้นจากทุกสิ่ง อาศัยแค่ลักษณะท่าทาง อาศัยแค่จิตวิญญาณอันบริสุทฺธิ์ของข้าก็สามารถทำให้หญิงสาวนับไม่ถ้วนถึงขั้นยอมบ้าคลั่งเพื่อข้าแล้วจริงๆ ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวด้วยท่าทางและน้ำเสียงเจ็บแค้น

“หรือว่าข้าป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่สูงส่งจนถึงระดับที่ไร้ผู้ใดเทียมทานแล้วจริงๆ ”

“ข้าควรจะทำอย่างไรดี การที่ข้าดีเลิศแบบนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของข้านี่นา”

ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดหัวตัวเองอย่างแรง ขณะที่ปลงอนิจจังอยู่ตรงนั้น วิญญาณป๋ายฮ่าวก็ทนมองไม่ไหวอีกต่อไป คำพูดเหล่านี้ของอาจารย์กระตุ้นเขาอย่างรุนแรงจนอดตอกกลับไปไม่ไหว

“อาจารย์ นี่ท่านกำลังตำหนิตัวเองหรือว่ากำลังโอ้อวดตนด้วยความลำพองใจกันแน่!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนหันขวับกลับมาถลึงตาใส่ลูกศิษย์ตัวเองด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง

“ศิษย์ข้า นี่เจ้ามองไม่ออกหรือว่าอาจารย์กำลังกลุ้มใจจริงๆ เฮ้อ เจ้าไม่เข้าใจหรอก ศิษย์ข้า เจ้ารู้หรือไม่ ปีนั้นตอนที่อาจารย์ยังเป็นคนธรรมดาก็ต้องปวดหัวมากพออยู่แล้ว พวกหญิงสาวในหมู่บ้าน ต้าฮวาเอย ต้าหวงเอย ต้าเฮยเอย พวกนางล้วนชอบข้า วันๆ เอาแต่ตามจีบข้า ข้าปฏิเสธไปแล้วไม่รู้กี่คน” นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนที่เผยการทวนความทรงจำเต็มไปด้วยความขมขื่น

วิญญาณป๋ายฮ่าวที่อยู่ข้างกันรู้สึกงงงันไปเล็กน้อย คิดตามว่าต้าฮวานี่ฟังดูแล้วเหมือนชื่อแมว ส่วนต้าหวงฟังแล้วเหมือนชื่อหมา

แต่ต้าเฮย (ต้าแปลว่าใหญ่ เฮยแปลว่าดำ) นี่เหมือนชื่ออะไรกัน เขาคิดอยู่นานก็ยังนึกไม่ออกว่าหญิงสาวบ้านไหนจะใช้ชื่อแบบนี้

“เดิมทีเมื่อข้าเหยียบย่างขึ้นมาบนเส้นทางแห่งเซียนก็สามารถหลุดพ้นจากการได้รับความสนใจจากหญิงสาวมากมาย แต่เจ้าไม่รู้อะไร ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ โหวเสี่ยวเม่ยก็ถูกใจข้า ตู้ตู้น้อยก็หมายตาข้า ด้วยความจนใจข้าจึงต้องหลบไปอยู่ที่สำนักธาราโลหิต แต่ไหนเลยจะรู้ว่าซ่งจวินหว่านกลับมาปลาบปลื้มข้าอีกคน” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่าวิญญาณป๋ายฮ่าวคิดอย่างไร เขายังคงปลงอนิจจังอย่างลึกล้ำต่อไป

“ข้าจะทำอะไรได้ ข้าเองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เหมือนกัน ดังนั้นข้าจึงจากมา ทว่าต่อให้ฝันข้าก็ยังคิดไม่ถึงว่าแม้ข้ามาอยู่ในสำนักสยบธาร จะยังมีลูกศิษย์หญิงนับพันนับหมื่นคนส่งจดหมายรักมาให้ข้า”

“ศิษย์ข้า เจ้าว่าเหตุใดสวรรค์ถึงต้องให้ข้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ นี่มันเป็นเพราะอะไรกันแน่!!” ขณะที่ถอดถอนใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แอบเหลือบมองวิญญาณป๋ายฮ่าวแวบหนึ่ง เขากำลังกลุ้มจริงๆ นะ แต่ไม่รู้ทำไมพอพูดไปพูดมากลับกลายเป็นว่ากำลังโอ้อวดด้วยความลำพองใจและฮึกเหิมอย่างเป็นธรรมชาติแบบนี้เสียได้

วิญญาณป๋ายฮ่าวที่ยิ้มเจื่อนเหล่มองอาจารย์ตัวเองแวบหนึ่ง เขาไม่เชื่อคำพูดเหล่านี้เท่าไหร่นัก แต่เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่อาจารย์ของตัวเองรออยู่ในเวลานี้ก็คือความไม่เชื่อของเขา แทบจะชั่วขณะเดียวกับที่เห็นสีหน้าของลูกศิษย์ตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตบถุงเก็บของทันที ฉับพลันเสียงพรวดจึงดังตามมาติดๆ

จดหมายรักนับหมื่นฉบับหลากหลายสีสันร่วงกราวลงมากองอยู่ตรงหน้า ราวกับภูเขาลูกย่อม ในนั้นยังมีจดหมายรักหลายฉบับที่พับเป็นรูปหัวใจ

“เจ้าดูสิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ความเจ็บแค้นปกปิดความหลงระเริงใจของตัวเอง

วิญญาณป๋ายฮ่าวตกใจจนสะดุ้งโหยง อึ้งไปครู่ก็พลันสูดลมหายใจดังเฮือก ในสมองมีเสียงดังอึงอล คราวนี้เขาอ้าปากค้างแล้วจริงๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเลื่อนลอยและเหลือเชื่อ

เมื่อได้ดื่มด่ำไปกับสีหน้าอันตระการตาของลูกศิษย์ตัวเอง ความทระนงตนในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกเติมเต็มด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงเก็บจดหมายรักเหล่านั้นไปด้วยความระมัดระวัง ครุ่นคิดว่ารอคราวหน้ามีโอกาสเหมาะๆ แล้วค่อยนำมาใช้ต่อ ทั้งยังแอบพูดกับตัวเองว่าตนเป็นอาจารย์ มีหน้าที่ต้องทำให้ลูกศิษย์ของตัวเองเลื่อมใส ดังนั้นจะต้องทำให้ลูกศิษย์รับรู้ความร้ายกาจของตัวเองบ่อยๆ

ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้สนใจวิญญาณป๋ายฮ่าวอีก คราวนี้เขากลุ้มใจจริงๆ นิ่งคิดไปครู่ใหญ่ เขาก็เดินกลับเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าบึ้งตึง คิดมาทั้งคืนก็ยังนึกถึงวิธีแก้ปัญหาไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ หนึ่งที ใช้การศึกษาตำรับไฟสิบเจ็ดสีมาฆ่าเวลา

ทว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็มิอาจหลบเลี่ยงได้ วันที่สองซวี่ซานและเฉินม่านเหยาก็ตามกันมาที่ร้านติดๆ โดยเฉพาะซวี่ซาน นางมีนิสัยวางอำนาจ ทั้งยังตรงไปตรงมา มาถึงก็นั่งแนบชิดอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ขยับไปไหน ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินไปตรงไหน นางก็ตามไปตรงนั้น ราวกับต้องการบอกทุกคนว่านี่คือผู้ชายของข้า ทั้งยังคอยยั่วโมโหเฉินม่านเหยาอยู่เป็นระยะด้วย

สีหน้าของเฉินม่านเหยาไม่น่ามอง บางคราก็คอยพูดแขวะ และทุกครั้งที่นางเปิดปาก ซวี่ซานที่สู้ไม่ได้ก็มักจะตวาดเสียงแหลม ปรี่จะเข้าไปลงไม้ลงมือกับนาง ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจตัวสั่นจนต้องรีบถอยหนีไปเสียทุกครั้ง

วิญญาณป๋ายฮ่าวก็อกสั่นขวัญผวาตามไปด้วย สำหรับเรื่องของผู้หญิงสองคนนี้ เขาพยายามเตือนตัวเองว่าตนคือวิญญาณทาสที่ต้อง “ยืนบื้อ” เท่านั้น ไม่กล้าเข้าร่วมด้วยแม้แต่น้อย

“ซวี่ซานผู้นี้ดูท่าก็น่าจะเป็นอาจารย์แม่เหมือนกัน” วิญญาณป๋ายฮ่าวสูดลมหายใจเข้าลึก ตัดสินใจแล้วว่าตนเองต้องทำหน้าที่เป็นวิญญาณข้ารับใช้ที่สีหน้าไร้อารมณ์ให้ดี จะให้คนอื่นมองพิรุธออกไม่ได้เด็ดขาด

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่มีอารมณ์มาสนใจวิญญาณป๋ายฮ่าว

เขารู้สึกว่าความตึงเครียดนี้ต้องทำให้เส้นผมบางส่วนของเขาเริ่มหงอกแล้วแน่นอน แต่ก็ทำได้เพียงปลอบประโลมหญิงสาวทั้งสองคน อย่างไรซะร้านนี้ก็มาจากน้ำพักน้ำแรงของเขา เขากังวลว่าหากหญิงสาวสองคนนี้ตีกันขึ้นมาจะทำลายข้าวของให้เสียหาย ทำให้ร้านของตนพังพินาศ วันสองวันเขายังพอห้ามปรามได้ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปได้ครึ่งเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใกล้จะบ้าเต็มที เพราะไฟโทสะระหว่างซวี่ซานและเฉินม่านเหยายิ่งปะทุดุเดือดมากขึ้นทุกขณะ

ในที่สุดวันนี้ ข้อพิพาทระหว่างหญิงสาวสองคนก็ระเบิดขึ้นในที่สุด

“เฉินม่านเหยา นังหญิงแพศยา เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ!”

“ซวี่ซาน คนอื่นกริ่งเกรงในตัวตนของเจ้า แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เจ้ามันก็เป็นแค่หญิงโง่ที่ดีแต่ใช้กำลังเท่านั้น!” ซวี่ซานและเฉินม่านเหยาจ้องมองกันด้วยสายตาเดือดดาล ทำท่าจะลงไม้ลงมือ ยามนี้ในร้านมีผู้ฝึกวิญญาณอยู่ไม่น้อย พอเห็นท่าทางของหญิงทั้งสอง พวกเขาก็รีบถอยห่างออกไปเตรียมรอดูเรื่องสนุก หรือแม้แต่คนที่อยู่ข้างนอกก็ยังหยุดเท้ารอดูละครฉากใหญ่ เพราะดูเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้มักจะสรรหาเรื่องใหญ่โตที่ทำให้คนร้องอุทานด้วยความติดใจเป็นประจำ

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในห้องกำลังศึกษาตำรับหลอมไฟสิบเจ็ดสี หลังจากได้ยินเสียงโหวกเหวกด้านนอก เขาก็ตัวสั่นเทิ้ม ใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ ก่อนจะรีบถลาออกไปนอกห้อง ไปยืนอยู่ตรงกลางระหว่างซวี่ซานและเฉินม่านเหยา ครั้นจึงพูดเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี

ทว่าคราวนี้ดูเหมือนคำพูดโน้มน้าวของเขาจะไร้ประโยชน์ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวทั้งสองคนจะลงมือกันจริงๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ทนมาเกินครึ่งเดือน ในที่สุดก็ไม่สามารถอดทนข่มกลั้นได้อีกต่อไปจึงตะโกนออกมาดังลั่น

“พอได้แล้ว!!”

เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ดังราวฟ้าคำรณทำเอารอบด้านถึงกับสั่นสะเทือน พวกผู้คนที่รอดูเรื่องสนุกอยู่ทั้งในและนอกร้านต่างก็มีสีหน้าคึกคัก ร่ำร้องว่าละครสนุกจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ดังนั้นจึงหันไปมองด้วยสายตาเป็นประกายระยิบระยับ

ซวี่ซานและเฉินม่านเหยาที่ได้ยินเสียงตะเบ็งดังลั่นของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พากันหันไปมองเขา

“ซวี่ซาน ไหนเจ้าบอกข้ามาสิ เจ้าชอบข้าที่ตรงไหน” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก มองไปทางซวี่ซานก่อน

เดิมทีซวี่ซานกำลังอารมณ์เดือดดาล พอได้ยินประโยคนี้ใบหน้าของนางก็แดงแปร๊ด พลันก้มหน้าลงต่ำแล้วบิดตัวอย่างเขินอายอย่างที่หาดูได้ยาก

“คนมองกันตั้งเยอะตั้งแยะนะ” นางพูดเบาๆ

ป๋ายเสี่ยวฉุนปวดหัวปรี๊ดอีกครั้ง ก่อนจะคว้าไหล่ของซวี่ซาน มองหน้านางแล้วพูดด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง

“บอกข้ามา เจ้าชอบข้าที่ตรงไหน ข้าจะเปลี่ยนมันแน่นอน”

คำพูดนี้ดังออกมา ทุกคนรอบด้านก็หลุดหัวเราะพรืดแล้วพากันหันมาจับตาดูต่อ

ซวี่ซานเบิกตากว้างมองป๋ายเสี่ยวฉุน

ความหมายลึกซึ้งในดวงตานั้นทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนเกือบรู้สึกทนไม่ได้ที่ต้องปฏิบัติต่อหญิงสาวที่ชอบตนเองด้วยท่าทางใจร้ายเช่นนี้ ทว่าเวลานี้เอง ซวี่ซานพลันหัวเราะคิก

“ข้าชอบเจ้าก็เพราะเจ้าเป็นแบบนี้นี่แหละ”

ประโยคนี้ดังจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันตาค้างมองเซ่อไปทันที

คราวนี้พอพูดไปพูดมา ไม่ใช่ป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วที่จับไหล่ของนาง แต่เป็นซวี่ซานที่ยกมือทั้งสองข้างโอบรอบลำคอของป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วยืดตัวขึ้นจูบลงข้างแก้มของเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้าวถอยหลังพร้อมกระแอมหนักๆ หนึ่งที

“นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือคนของข้าแล้ว”

ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องหาคุณพระคุณเจ้าอยู่ในใจ พ่ายแพ้ให้ซวี่ซานอย่างราบคาบ ได้แต่หันกลับไปมองเฉินม่านเหยา ขณะที่กำลังจะเปิดปากพูดกลับสังเกตเห็นสีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งของเฉินม่านเหยาเสียก่อน ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกร้อนตัวขึ้นมาทันใด

“จะตีกัน พวกเจ้าก็ออกไปตีกันข้างนอก” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจพรืด สีหน้าราวขี้เถ้ามอด เขารู้สึกว่าสำหรับเรื่องชายหญิง ตนจนปัญญาจริงๆ พอกล่าวจบก็เดินกลับเข้าไปในห้องด้วยความรำคาญใจ สาบานกับตัวเองในใจว่าต่อให้คนข้างนอกจะตีกันดุเดือดแค่ไหน เขาจะไม่มีทางออกไปอีกเด็ดขาด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!