บทที่ 751 ค่ายกลลับราชวงศ์
ขณะเดียวกันกับที่สตรีธุลีแดงและเหล่าผู้สูงศักดิ์ระดมพลกันออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ดวงตาแดงฉานก็กลายร่างมาเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่ฝ่าวงล้อมตรงเข้าประหัตประหารโจวหง
โจวหงหน้าเปลี่ยนสี เขารู้ดีถึงความร้ายกาจของป๋ายเสี่ยวฉุน หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ จะไม่ยอมเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายเด็ดขาด ยามนี้จึงถอยหนีว่องไว ทว่าปากกลับยังเปล่งถ้อยคำชั่วช้า
“เจ้าป๋ายฮ่าวผู้นี้ฆ่าคนไปแล้ว วันนี้เขาต้องตายเท่านั้น สิ่งที่พวกเราต้องทำก็แค่ถ่วงเวลาเขาไว้ ทุกคนจงร่วมกันโจมตีให้เขาถอยร่น!”
ทุกคนที่อยู่รอบกายเขาก็มองออกถึงต้นตอของปัญหา ยิ่งผู้ฝึกวิญญาณที่เคยเข้าร่วมเมื่อครั้งกาหลอมวิญญาณก็ยิ่งรู้ว่านี่คือโอกาสอันดีในการแก้แค้น ยามนี้จึงพากันลงมือ พริบตาเดียวเวทคาถาที่รุนแรงดุเดือดยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ก็กลายมาเป็นคลื่นลูกใหญ่หลายชั้นที่ทับซ้อนเข้าด้วยกันแล้วถาโถมเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดร่าง กางร่มราตรีนิรันดร์ ความเร็วไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลง กลับยิ่งเร็วมากกว่าเดิม ขณะที่พุ่งสวบๆ ออกไป มือขวาของเขาก็ยิ่งตบลงไปบนถุงเก็บของ ทันใดนั้นทวนยาวสีดำที่ผ่านการหลอมพลังจิตสิบหกครั้งก็มาปรากฏอยู่ในมือ เขายังคงอาศัยร่มราตรีนิรันดร์บุกทะลวงวงล้อม พอใกล้มากพอ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ร้องคำรามดังลั่น ก่อนจะแทงทวนยาวในมือก็ออกไป
คลื่นลูกมหึมาก่อตัวขึ้นเพราะการแทงทวนครั้งนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน เสียงกึกก้องดังสี่ทิศ โจวหงสูดลมดังเฮือก ถอยหลังไปอีกครั้ง ขณะเดียวกันชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตามติดอยู่ข้างกายโจวหงตลอดเวลาก็มีสีหน้ามืดทะมึน ดวงตาเหมือนกำลังคำนวณอะไรบางอย่าง พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งเข้ามาเข่นฆ่า ดวงตาเขาก็เปล่งแสงวาบ ก่อนจะหยิบเข็มทิศโบราณชิ้นหนึ่งออกมา
“สหายนักพรตทุกท่าน จงเข้าประจำตำแหน่งตามการชี้นำจากเข็มทิศของข้า!” เมื่อชายหนุ่มพูดจบ เข็มทิศในมือของเขาก็ระเบิดแสงเจิดจ้า ก่อนจะฉายภาพไปทั่วกายป๋ายเสี่ยวฉุน
จุดแสงนับร้อยในภาพฉายนั้นล้อมวนตัดสลับกันทั่วร่างป๋ายเสี่ยวฉุน อีกทั้งเมื่อเขาพุ่งออกมามันก็เคลื่อนที่ตามไปด้วย ผู้ฝึกวิญญาณทุกคนที่เห็นภาพนี้ก็พากันดวงตาลุกเรือง รีบขยับเข้าไปใกล้จุดแสงที่อยู่ในภาพฉายอย่างรวดเร็ว
เมื่อผู้ฝึกวิญญาณคนแรกเข้าประจำตำแหน่ง บนร่างของเขาก็มีเกราะแสงตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมา ทั้งยังมีหมอกควันเป็นเสี้ยวๆ โอบล้อมไปทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี สัมผัสได้ถึงพลานุภาพสยบเสี้ยวหนึ่งที่เยื้องกรายมาเยือนทันใด
ไม่นานคนที่เข้าประจำตำแหน่งก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ และหลังจากที่ทุกคนเข้าประจำที่ เกราะแสงก็พากันก่อตัว อีกทั้งเกราะแสงนี้ยังเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และหมอกที่ล้อมพันร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หนาขึ้นเรื่อยๆ
พลานุภาพสยบน่าครั่นคร้ามก่อตัวขึ้น กักตัวป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ภายในค่ายกลแห่งนั้น
อีกทั้งโจวหงก็ยังเข้าไปร่วมวงด้วยตัวเอง ทำให้พลังของค่ายกลนี้ยิ่งแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เลือกจะเป็นศัตรูกับป๋ายเสี่ยวฉุน ยิ่งคนสองกลุ่มแรกอย่างจ้าวซานตงก็ยิ่งหวั่นผวาไปกับพลังในการต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุน ต่อให้จะเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนถูกโอบล้อมอยู่ในค่ายกล พวกเขาก็ยังลังเลใจ สุดท้ายจึงเลือกพากันถอยหนี
“ไอ้พวกสวะไร้ประโยชน์!” โจวหงเห็นท่าทางของคนเหล่านี้ก็แค่นเสียงเย็นหนึ่งทีแล้วไม่ได้สนใจอีก แต่ร่วมกับคนทั้งกลุ่มล้อมวนอยู่รอบค่ายกล ทำให้ค่ายกลนั้นผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน เวทคาถาที่ถูกปล่อยออกมาในแต่ละครั้งก็เหมือนรวบรวมพลังของทุกคนเอาไว้ น่าครั่นคร้ามอย่างยิ่ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าน่าเกลียด พยายามหลบเลี่ยงอยู่ในค่ายกลนี้อย่างต่อเนื่อง รอบกายเขามีแต่หมอกควันคล้ายจักรวาลพลิกกลับ ทำให้เขาแยกแยะทิศทางไม่ออกแม้แต่นิดเดียว
และนี่ยังไม่เท่าไหร่ ที่มากกว่านั้นก็คือพลานุภาพสยบที่มาจากสี่ทิศซึ่งยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันยังมีแสงกระบี่ที่พุ่งทะยานมาจากสี่ด้าน แสงกระบี่พวกนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วเป็นปม ไม่ว่าแสงกระบี่เส้นใดก็มีอานุภาพไม่ธรรมดา อีกทั้งต่อให้เขามีร่มราตรีนิรันดร์อยู่ในมือก็ยังมิอาจสกัดกั้นได้ ร่างถูกกระแทกให้ถอยกรูดไปข้างหลัง สะเทือนจนเลือดลมทั้งร่างเดือดพล่าน
เขามองไม่เห็นคนที่อยู่ข้างนอก ทว่าคนที่อยู่ข้างนอกกลับเห็นเขา จ้าวซานตงเห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อผู้ฝึกวิญญาณนับร้อยคนนั้นขยับตัว พื้นที่รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งลดน้อยลงไปเรื่อยๆ สามารถจินตนาการได้ว่าเมื่อเวลาผ่านไป หากค่ายกลนี้โคจรถึงขีดสุดเมื่อไหร่ นั่นก็คือช่วงเวลาที่คราวตายของป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึง
“นี่มันค่ายกลอะไรกัน!!” จ้าวตงซานเองก็ถึงกับสำลักลมหายใจ หัวใจสั่นไหว
โจวหงหัวเราะหยันพลางขยับตามค่ายกล สัมผัสได้ว่าตบะในร่างถูกเกราะแสงนอกกายดูดเอาไป ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นท่าทางหลบเลี่ยงของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในค่ายกล เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองชายหนุ่มผู้มีสีหน้ามืดทะมึนซึ่งคอยหมุนเข็มทิศในมืออยู่ตลอดเวลาผู้นั้น
“ผู้ช่วยคนนี้ที่องค์ชายรองหามาให้ข้าสมกับเป็นยอดฝีมือด้านค่ายกลอย่างแท้จริง”
“ป๋ายฮ่าวเอ๋ยป๋ายฮ่าว เกรงว่าเจ้าคงไม่มีโอกาสรู้ว่าคนที่ต้องการเล่นงานเจ้าอย่างแท้จริง นอกจากข้าแล้ว ยังมีองค์ชายรอง อีกทั้งเรื่องนี้องค์ชายใหญ่ก็เห็นด้วย เจ้าไม่ได้ล่วงเกินแค่ชนชั้นสูง แต่ล่วงเกินไปถึงเชื้อพระวงศ์!”
ขณะที่โจวหงหัวเราะเสียงหยัน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในค่ายกลก็ยิ่งมีสีหน้าไม่น่ามอง เขาขยับร่างระเบิดชนาเขย่าภูเขา ร่ายใช้ความเร็วสูงสุด ก่อนจะฝ่าออกไปในทิศทางหนึ่ง
เสียงกัมปนาทดังลั่น ค่ายกลสั่นไหวอยู่ชั่วครู่ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับถูกพละกำลังมหาศาลขุมหนึ่งดีดกลับจนหน้าเสียยิ่งกว่าเดิม เขาเองก็สัมผัสได้ว่าการปกป้องของค่ายกลนี้ยากที่ตนจะลอดทะลวงออกไปได้!
“นี่คือการผสานรวมการป้องกันของทุกคนนอกค่ายกลให้เป็นหนึ่งเดียวกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนขยับร่างหลบแสงกระบี่หลายเส้นที่ทะลวงเข้ามา ปราณที่แฝงเร้นอยู่ในแสงกระบี่เหล่านั้นทำให้เขาสัมผัสได้เช่นกันว่าอานุภาพของแสงกระบี่พวกนี้เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง!
เกรงว่าอีกไม่นานเท่าไหร่ แสงกระบี่พวกนี้คงขยับเข้าไปใกล้พลังของคนฟ้า หรืออาจไต่ถึงระดับคนฟ้าเข้าจริงๆ!!
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจหนึ่งครั้ง พลังของค่ายกลนี้ทำให้เขาหวาดหวั่นอย่างมาก
“ไม่นึกว่าค่ายกลนี้จะลี้ลับได้ขนาดนี้ แถมความเร็วในการจัดวางก็มีมากด้วย โดยทั่วไปแล้ว ค่ายกลที่ยิ่งอานุภาพมหาศาลมากเท่าไหร่ การจัดวางต้องยิ่งใช้เวลานานมากเท่านั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว ในสมองมีภาพของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายโจวหงซึ่งหยิบเอาเข็มทิศออกมาและเปิดปากว่าจะจัดวางค่ายกล
คนผู้นี้เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา และเขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่เคยปรากฏตัวในกาหลอมวิญญาณแน่นอน
“พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่ากะอีแค่ค่ายกลแห่งเดียวจะกักตัวข้าเอาไว้ได้!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเผยความบ้าคลั่ง เขารู้ว่าตนจะมัวเสียเวลาต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
ราชาผียักษ์จะเกลี้ยกล่อมให้สตรีธุลีแดงมาช่วยตนได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้แน่ เขามิอาจรอเฉยๆ ต่อไปให้อานุภาพของค่ายกลนี้ไต่ทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นอันตรายต่อเขามากเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกันสิว่าค่ายกลนี้ของเจ้าร้ายกาจ หรือหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญของข้าที่บ้าระห่ำยิ่งกว่ากัน!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกช้าๆ การสูดลมหายใจครั้งนี้ทำให้ปราณทั้งหมด คลื่นเคลื่อนไหวทั้งหมดบนร่างของเขาหายวับไปในพริบตา ทุกอย่างถูกย่อหดให้ถึงขีดสุด หรือแม้แต่พลังชีวิตของป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังถูกย่อส่วนไปด้วย เหมือนสายน้ำไหลย้อนกลับ เหมือนกระแสธารทั้งหมดหวนคืนไปรวมตัวกันอยู่ที่ต้นกำเนิดของมัน!
เมื่ออำนาจจิตทั้งหมดกวาดมองมาก็สัมผัสไม่ได้ถึงปราณของป๋ายเสี่ยวฉุนแม้แต่เสี้ยวเดียว หากมองด้วยตาเปล่าจะเห็นเพียงว่าเขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นคล้ายกลายมาเป็นซากศพซากหนึ่ง
ภาพนี้ทำให้จ้าวตงซานตะลึงงัน ทว่าโจวหงที่เห็นกลับหน้าเปลี่ยนสี หวีดร้องออกมาดังลั่น
“เขาจะใช้หมัดนั้นแล้ว!!”
ทุกคนรอบกายโจวหงที่ร่วมกันสร้างค่ายกลก็เคยได้เห็นความสะท้านฟ้าสะเทือนดินของหมัดนี้มากับตาตัวเองในตอนที่อยู่กาหลอมวิญญาณ ทุกคนหน้าเผือดสี พากันโคจรตบะเต็มกำลัง เพราะเงาดำมืดจากหมัดนั้นของป๋ายเสี่ยวฉุนยากที่จะลบเลือนไปจากชีวิตของพวกเขาได้อย่างแท้จริง
มีเพียงชายหนุ่มที่ถือเข็มทิศเท่านั้นที่มุมปากเผยยิ้มดูหมิ่น เขาไม่เคยเห็นหมัดนี้มาก่อน และก็เห็นพวกโจวหงหน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน แต่เขาเชื่อว่าค่ายกลนี้ของตนต่ำกว่าคนฟ้าลงไป ไม่มีใครสามารถทำลายได้!
“ค่ายกลลับของราชวงศ์ มีหรือที่ป๋ายฮ่าวกระจอกๆ คนหนึ่งจะทำลายได้!”
แต่พวกเขาไม่รู้ และแม้แต่โจวหงเองก็ไม่รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในวันนี้ อานุภาพของหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญที่เขากำลังร่ายออกมาจะแตกต่างไปจากที่พวกเขาเคยเห็นอย่างสิ้นเชิง!
คราวนั้นตอนที่อยู่ในกาหลอมวิญญาณ หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญนี้ใช้พลังเลือดเนื้อของป๋ายเสี่ยวฉุนเพียงแค่เท่าเดียว ทว่าตอนนี้ เมื่อกระดูกหลอมของเขาฝ่าทะลุไปถึงขั้นเก้า หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญของเขาก็สามารถระเบิดพละกำลังกล้ามเนื้อที่มากกว่าเดิมถึงสองเท่า!
พลังเท่าเดียวก็เขย่าคลอนแปดทิศได้แล้ว ตอนนี้หากเป็นพลังสองเท่า อานุภาพของมันจะมากมายแค่ไหน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่อาจรู้ได้ แต่เขาเข้าใจอยู่ข้อหนึ่งก็คือ ต่อให้สตรีธุลีแดงที่เจอเข้ากับหมัดนี้ของตน อีกฝ่ายก็ต้องเจ็บหนักแน่นอน!!
ยามนี้นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนสงบนิ่งไร้คลื่นเคลื่อนไหว ตลอดทั้งร่างคล้ายไม้ที่เหี่ยวเฉา มีเพียงมือขวาของเขาเท่านั้นที่ยกขึ้นกำเป็นหมัด!
ชั่วขณะที่หมัดนี้กำเข้าหากัน นอกหมัดของเขาก็มีน้ำวนสีดำลูกหนึ่งปรากฏขึ้น น้ำวนนี้เป็นเหมือนหลุมดำ ชั่วขณะที่เผยตัวก็ถึงกับทำให้รอบกายของเขาบิดเบือน อีกทั้งแม้แต่แสงกระบี่ที่พุ่งเข้ามาใกล้ก็ยังได้รับผลกระทบ ก่อนจะแตกสลายออกเป็นเศษชิ้นส่วน!!
ปราณน่าหวาดกลัวลี้ลับขุมหนึ่งที่ทำให้คนตะลึงพรึงเพริดพลันแผ่ออกมาจากในน้ำวนสีดำลูกนั้น นาทีที่มันอบอวลไปทั่วค่ายกล ทุกคนที่รวมตัวกันสร้างค่ายกลขึ้นมาล้วนใจสั่นหวาดผวา จุดลึกในจิตใจพลันบังเกิดความรู้สึกถึงวิกฤตอันตรายที่รุนแรงเกินสิ่งใดมาทัดเทียม!
ชายหนุ่มที่ถือเข็มทิศอยู่ในมือก็หน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน เข็มทิศในมือของเขาถึงกับสั่นระริกคล้ายเกิดลางแห่งความไม่มั่นคง
“เป็นไปไม่ได้!!” ชายหนุ่มที่ถือเข็มทิศร้องอุทานเสียงหลงอย่างอดไม่อยู่ ต้องรู้นะว่านี่ยังเป็นแค่การตั้งท่าโจมตีของอีกฝ่ายเท่านั้น