บทที่ 752 หมัดคนฟ้า
และขณะเดียวกันกับที่พวกโจวหง รวมไปถึงชายหนุ่มคนที่ถือเข็มทิศร้องอุทานเสียงหลงด้วยความตะลึงพรึงเพริด ทันใดนั้นเจตจำนงแห่งความเผด็จการขุมหนึ่งก็พลันซัดสาดออกมาจากในค่ายกล!
นั่นคือเงาร่างขนาดมหึมาที่สวมชุดจักรพรรดิ สวมมงกุฎ เมื่อผ่านการอำพรางจากพลังของหน้ากาก แม้คนนอกจะเห็นเพียงความพร่าเลือน ทว่าความเจ้าบงการที่แผ่ออกมาจากร่างนั้นกลับทำให้ทุกคนที่ล้อมวงเป็นค่ายกล หรือแม้แต่พวกจ้าวตงซานที่ห่างออกไปไกลต่างก็พากันเกิดเสียงดังอึงอลในหัวใจ
แต่ละคนหอบหายใจหนักหน่วง ราวกับว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเงาร่างนั้น พวกเขากลับกลายมาเป็นเพียงกรวดทรายเล็กกระจ้อยร้อย ได้แต่เงยหน้ามองอีกฝ่ายเท่านั้น!
โจวหงยิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนเกินกว่าใคร เพราะตอนอยู่ในกาหลอมวิญญาณ เขาเคยลิ้มรสหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญของป๋ายเสี่ยวฉุนมาแล้ว ครั้งนี้เขาจึงสัมผัสได้อย่างเด่นชัดว่าเงาร่างที่อยู่เบื้องหน้านี้สร้างความสะเทือนขวัญให้เขายิ่งกว่าคราวนั้นเสียอีก
ไม่เพียงแต่ดูเป็นจริงยิ่งกว่า อีกทั้งความเผด็จการนั้นยังเหมือนสิ่งที่จับต้องได้ หากเทียบกับตอนอยู่ในกาหลอมวิญญาณ ก็เรียกได้ว่าเป็นคนละเรื่องกันเลยทีเดียว มันบีบคั้นกดดันจนเขาหายใจไม่ออก
“นี่…นี่…” ร่างของโจวหงพลันสั่นเทิ้มอย่างหนัก ขนาดเขายังเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ยามนี้ทุกคนที่ร่วมกันสร้างค่ายกลต่างก็เกิดเสียงอื้ออึงในสมอง หวาดกลัวจนความคิดตีกันยุ่งเหยิงไปหมด
และขณะที่พวกเขากำลังสะท้านสะเทือนอยู่นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในค่ายกลพลันเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ มือขวายกขึ้นมาตามกัน ทั้งๆ ที่เบื้องหน้ามีแต่หมอกควันไร้ที่สิ้นสุด ทว่ามือนั้นที่กำเป็นหมัดกลับต่อยโครมลงไป!!
ในใจของเขาก็ตวาดเบาๆ ไปด้วยว่า
“หมัดจักรพรรดิ ไม่ดับสูญ!”
ตูมๆๆๆ ครืนๆๆๆ!
เงาร่างจักรพรรดิขนาดยักษ์ที่อยู่ด้านหลังของเขายกหมัดต่อยออกมาเช่นกัน ภาพนี้หากมองไกลๆ จะไม่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเลย สิ่งที่เห็นมีเพียงเงาจักรพรรดิที่อยู่ในค่ายกลซึ่งเป็นเอกเลิศล้ำสูงส่งเกินผู้ใด มองเหยียดต่ำลงมายังทุกสรรพสิ่ง
ยากที่จะบรรยายได้ถึงพลังอำนาจของหมัดนี้ ราวกับว่าทุกถ้อยคำล้วนมิอาจพรรณนาได้หมด ในสายตาของจ้าวตงซาน เขาเห็นเพียงว่าพอหมัดนี้ร่วงลงมาก็ราวกับมีทวยเทพเยื้องกรายมาเยือน ทำให้ลมและเมฆแปรเปลี่ยนเคลื่อนถอย ปณิธานที่น่าตื่นตะลึงขุมหนึ่งพลันทะยานขึ้นสู่นภากาศ กลายมาเป็นปณิธานแห่งฟ้า!
“คน…คนฟ้า” จ้าวตงซานมองเซ่อไปอย่างสิ้นเชิง
ทุกคนที่อยู่รอบด้านต่างก็หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ในค่ายกลมีเสียงกัมปนาทและเสียงเปรี๊ยะๆ ดังขึ้นๆ ลงๆ อย่างต่อเนื่อง บัดนี้เกราะแสงบนร่างของทุกคนที่รวมตัวกันสร้างค่ายกล รวมถึงโจวหงเองต่างก็เกิดรอยปริแตกจำนวนนับไม่ถ้วน
พวกเขาสัมผัสได้ถึงพละกำลังมหาศาลที่ไร้คำบรรยายขุมหนึ่งที่เป็นดั่งคลื่นลูกยักษ์ซัดเข้าหาชายฝั่ง พัดภูเขากวาดแม่น้ำ พร่าผลาญพวกเขาที่เป็นดั่งเรือลำน้อยให้พังภินท์มิอาจต้านทาน
ท่ามกลางเสียงกึกก้องที่ดังสะท้อนอย่างต่อเนื่อง เกราะแสงบนร่างของผู้ฝึกวิญญาณคนหนึ่งก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ วินาทีที่เสื้อเกราะแตกออก เขาก็คล้ายสูญเสียการปกป้อง เขาได้แค่ร้องโหยหวนทีเดียว ร่างก็เหมือนถูกภูเขาลูกยักษ์ชนกระแทก กระอักเลือดพุ่งเป็นสาย ถูกชนจนปลิวกระเด็น พอกระแทกลงพื้นก็หมดสติไปทันที!
เพราะหลังจากที่ค่ายกลพังทลายลง นอกจากเขาต้องต้านทานพลังกายของตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเองแล้ว ยังเจอกับพลังโจมตีกลับของค่ายกลที่แตกสลายอีกด้วย เมื่อการโจมตีอันรุนแรงสองอย่างทับซ้อนเข้าด้วยกัน คนผู้นี้จึงมิอาจแบกรับได้ไหว
ตามมาด้วยคนที่สอง คนที่สาม คนที่สี่ เวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา ยี่สิบคน ห้าสิบคน แปดสิบคน คนนับร้อยที่ร่วมกันสร้างค่ายกลล้วนร้องโหยหวน ร่างทยอยกันกระเด็นลิ่วออกไป ไม่เพียงแต่เลือดลมพลุ่งพล่านซัดตลบ อวัยวะภายในใกล้จะแหลกสลายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ยิ่งตบะก็แทบจะพังทลาย ร่างร่วงกระแทกไปทั่วพื้นดินรอบด้านหรือไม่ก็สิ่งปลูกสร้างในบริเวณใกล้เคียง เมื่อเจอกับการโจมตีสองเท่าตัว แต่ละคนจึงมีแต่ลมหายใจออก ไม่มีลมหายใจเข้า นอนพังพาบหายใจรวยรินเต็มที
โจวหงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้จะยืนหยัดได้จนถึงท้ายที่สุด ทว่าก็ยังกระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง ร่างทั้งร่างเหมือนจะแหลกสลาย ถอยกรูดไปข้างหลัง พริบตานั้นค่ายกลก็แตกละเอียดในที่สุด!!
เมื่อมันแตกออก เข็มทิศที่อยู่ในมือชายหนุ่มก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ และตัวเขาเองก็ถูกพลังตอกกลับอย่างรุนแรง ร่างพลันแก่ชรา ผมกลายเป็นสีดอกเลา เลือดที่พุ่งออกจากปากมีเศษเล็กเศษน้อยของเครื่องในปะปนมาด้วย แต่อย่างไรซะเขาก็คือคนควบคุมค่ายกล พลังโจมตีที่ได้รับย่อมมากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว ต่อให้เขาจะใช้เวทลับ ใช้อายุขัยมาคลี่คลาย แต่ก็ยังไม่มากพอ ยามนี้จึงได้แต่หัวเราะขื่นด้วยความสิ้นหวัง ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะระเบิดตูม กายดับจิตมลาย!
ลมพายุบ้าคลั่งขุมหนึ่งพัดตะลุยม้วนฟ้าตลบดินออกมาจากในค่ายกลที่พังลง เสียงครืนๆๆ ดังกึกก้อง กวาดเอาฝุ่นคลีจำนวนนับไม่ถ้วนรอบด้านพวยพุ่งขึ้นเป็นลูกๆ ตามกัน ครั้นร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงก้าวเดินออกมาจากในค่ายกล!
เส้นผมของเขายุ่งเหยิง บนร่างก็ไม่มีเจตจำนงแห่งความเผด็จการที่น่าตกตะลึงอีกแล้ว และก็ไม่มีความน่ากลัวที่ทำให้คนรู้สึกถึงวิกฤตอันตรายด้วย ทว่าในสายตาทุกคน เขาในเวลานี้กลับปานประหนึ่งเทพมาร!
วินาทีที่เขาเดินออกมา จ้าวตงซานหวีดร้องเสียงแหลมเหมือนคนที่สะดุ้งตื่นจากฝัน รีบถอยหนีเร็วรี่ ไม่กล้าอยู่ต่ออีกแม้แต่เสี้ยวนาที ส่วนคนอื่นๆ ที่ถอยหนีไปไกลนานแล้วก็ยิ่งสูดลมหายใจดังเฮือกๆ พร้อมโกยแน่บไม่เหลียวหลัง เวลานี้ในใจพวกเขาบีบรัดตัวด้วยความตะลึงพรึงเพริด เพราะความสะท้านสะเทือนและความน่าหวาดกลัวที่มาจากป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นช่างรุนแรงยิ่ง
ไม่ได้สนใจจ้าวตงซานที่หนีไป ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่มั่นคงเหมือนกัน หมัดนั้นต่อยออกมาเหมือนควักร่างของเขาให้กลวงโบ๋ พลังกล้ามเนื้อถูกใช้หมดเกลี้ยง หากไม่เพราะยังมีตบะเหลืออยู่ ใช้ตบะมาควบคุมเรือนกาย เกรงว่าตอนนี้แม้แต่แรงจะขยับนิ้วเขาก็คงไม่มี
ชั่วขณะที่เดินออกมานั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็โคจรตบะไล่บินเข้าหาพวกคนที่ถูกเขาโจมตีจนกระเด็นไปทีละคน คนนับร้อยนี้ต่างก็บาดเจ็บสาหัส ทั้งยังถูกป๋ายเสี่ยวฉุนเขย่าขวัญ และถึงแม้พลังเรือนกายของป๋ายเสี่ยวฉุนจะหมดลง ทว่าตบะของเขายังคงอยู่ ไม่นานเขาก็จับคนนับร้อยรวมไปถึงโจวหงกลับมาแล้วโยนลงไปบนพื้นพร้อมกันรวดเดียว
ทำทุกอย่างนี้เสร็จ ความเหนื่อยล้าลึกล้ำก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่หยุดโคจรตบะชั่วคราวเพื่อรอรับมือการเปลี่ยนแปลงพลันตาพร่าลาย เขากัดปลายลิ้นของตัวเองอย่างแรง หมายให้ตัวเองมีสติมากขึ้น แม้จะหายใจหอบถี่ ทว่าก็ยังถลึงตามองคนนับร้อยบนพื้นด้วยสายตาเดือดดาล
“มารังแกข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เลิกไม่รา พวกเจ้าทำกันเกินไปแล้ว!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงแหบเครือ ทว่ากลับทำให้คนนับร้อยหน้าซีดขาว ยิ่งโจวหงก็ยิ่งมองป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนคนเห็นผี
เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่า เหตุใดคนที่อยู่เบื้องหน้านี้ถึงได้แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ทำให้คนคาดไม่ถึง ทำให้คนเหลือเชื่อได้ขนาดนี้!
“นั่นมันคือวิชาอภินิหารอะไรกัน เขตก่อกำเนิด แต่เหตุใดถึงมีเวทลับเช่นนี้ นี่มันคือหมัดอะไรกันแน่!!” โจวหงร้องคำรามอยู่ในใจ ทว่าใบหน้าที่ซีดเซียวนั้นก็ทำให้เขาเข้าใจด้วยความขมขื่นว่า ป๋ายฮ่าวแข็งแกร่งมากขึ้นในทุกขณะ ทว่าเขากลับถดถอยลงไปมากมายโดยไม่รู้ตัว
เดิมทีหมัดนั้นก็เป็นฝันร้ายของเขาอยู่แล้ว มาตอนนี้ ฝันร้ายไม่เพียงแต่ไม่หายไป กลับยิ่งกลายมาเป็นมารร้ายที่ปกคลุมทุกพื้นที่ในสมองและหัวใจของเขาอีกด้วย
ไม่เพียงเขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ คนอื่นๆ ที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกชาไปทั้งหนังหัว ตะลึงลานถึงขีดสุด พวกเขาหลายคนเคยได้ยินคนอื่นพูดว่าป๋ายฮ่าวผู้นี้แข็งแกร่ง แต่มาถึงตอนนี้ พวกเขาถึงเพิ่งตระหนักได้อย่างแท้จริงว่าคำเล่าลือนั้นไม่ถูกต้อง ป๋ายฮ่าวไม่ได้แข็งแกร่ง แต่เป็นตัวประหลาด!! เขามันไม่ใช่คน!!
ป๋ายเสี่ยวฉุนปรับลมหายใจ ลมหายใจที่เริ่มจะสงบนิ่งของเขาฟังดูคล้ายเสียงครวญของเทพมาร ดวงตาทั้งคู่ที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยของเขาจ้องเขม็งไปยังเหล่าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของแดนทุรกันดาร ก่อนจะหยิบยาวาสนาทลายฟ้าออกมากลืนลงท้องไปหนึ่งเม็ด ร่างทั้งร่างพลันสั่นเยือก ยาวาสนาทลายฟ้านี้มหัศจรรย์อย่างแท้จริง มันทำให้ตบะของเขาฟื้นคืนมาในพริบตา แม้พลังกายจะยังไม่กลับคืนมาหมด แต่ก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
ยามนี้สูดลมหายใจเข้าลึก ครั้นจึงหยิบเอาร่มราตรีนิรันดร์ออกมา เดินไปหยุดอยู่หน้าผู้ฝึกวิญญาณคนหนึ่ง แล้วทิ่มร่มลงไปท่ามกลางความหวาดกลัวของผู้ฝึกวิญญาณคนนั้น
พริบตาเดียวพลังแห่งชีวิตก็ไหลบ่าเข้ามาหา ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้มไปทั้งกาย พลังกล้ามเนื้อฟื้นคืนมาเล็กน้อย ส่วนผู้ฝึกวิญญาณคนนั้นที่ร้องหวีดโหยกลับร่างซูบเหี่ยว ยังดีที่หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนต่อยหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญออกไป จิตสังหารของเขาจึงลดน้อยลงไปมากแล้ว ไม่คิดจะเอาอีกฝ่ายถึงตาย ถึงได้ดึงร่มราตรีนิรันดร์ออกมาแล้วเดินไปหาคนถัดไป
ทันใดนั้นฝูงชนก็พากันพรั่นพรึง ไม่ว่าจะเป็นคนที่เคยมีประสบการณ์ในกาหลอมวิญญาณ หรือคนที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ยามนี้แต่ละคนก็ล้วนเอ่ยปากไม่ขาดเสียง
“ป๋ายฮ่าว พวกเรามีอะไรก็พูดกันดีๆ นะ เจ้าอย่านะ อะ อ๊าาาาา”
“ป๋ายฮ่าว เจ้าจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ ในกาหลอมวิญญาณเจ้าดูดข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง อย่านะ อย่าทำข้าาาา”
“ป๋ายฮ่าว เจ้าแน่จริงก็ฆ่าข้าซะสิ!!”
“เจ้ากล้ารึ บุรพาจารย์ตระกูลข้าคือเจ้าพระยาสวรรค์ ป๋ายฮ่าว ที่นี่ไม่ใช่กาหลอมวิญญาณ ที่นี่คือนครจักพรรดิขุย!!”
เสียงมากมาย บ้างก็วิงวอน บ้างก็คำรามเดือดดาล บ้างก็เอ่ยข่มขู่ล้วนดังก้องไม่หยุด ทำให้คนในร้านรวงรอบด้านที่แอบมองพากันสำลักลมหายใจ อันที่จริงพวกเขาก็จับตามองศึกนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว จะไม่ดูก็ไม่ได้ เพราะศึกนี้เกิดขึ้นที่หน้าร้านของพวกเขาพอดี
เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเหี้ยมหาญถึงขนาดที่คนคนเดียวเล่นงานทุกคนซะอ่วมจนถึงระดับนี้ พวกเขาก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ ยิ่งรู้สึกว่าป๋ายฮ่าวผู้นี้เป็นคนลึกลับเกินคาดเดา อำมหิตอย่างที่หาได้ยากยิ่ง!
อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าเพราะว่าป๋ายเสี่ยวฉุนแข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น หากคนหลายร้อยคนนี้ร่วมมือกันเล่นงานเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส แต่เพราะพวกเขาแบ่งกันเป็นสามกลุ่ม อีกทั้งยังมีคนส่วนหนึ่งอย่างจ้าวตงซานที่หนีไปก่อนแล้ว นั่นถึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมองดูเหมือนใช้กำลังของคนคนเดียว โจมตีทุกคนจนแตกพ่ายได้อย่างแข็งแกร่ง