บทที่ 770 ข้าน้อยมีแผนการอย่างหนึ่ง
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนจ้องนิ่งไม่กะพริบ รับฟังคำถามจากต้าเทียนซือ มองดวงตาของต้าเทียนซือ แล้วเขาก็เอ่ยขึ้นเสียงดังอย่างไม่มีลังเล
“ต้าเทียนซือ หากข้าบอกว่าคนกลุ่มเมื่อครู่นี้มีถึงแปดเก้าส่วนที่ต่างก็มีใจฝักใฝ่หาเชื้อพระวงศ์ ยิ่งเฉินฮ่าวซงผู้นั้น ไอ้หมอนี่ต้องเป็นคนของจักรพรรดิขุยแน่นอน!” พอป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงเรื่องที่เฉินฮ่าวซงอยากจะสังหารตน ในใจก็ให้เดือดดาลจึงคว้าโอกาสนี้แสดงความคิดเห็น
“อ้อ? เจ้ามีหลักฐานอะไร?” ต้าเทียนซือกระแอมเบาๆ ก่อนจะเอ่ยเนิบช้า
“มีหลักฐานสิ เมื่อครู่ตอนที่อยู่ข้างนอก เฉินฮ่าวซงผู้นั้นคิดจะข้าฆ่าไง ต้าเทียนซือ ข้าคือผู้ตรวจการที่ท่านแต่งตั้งเองเลยนะ ข้าซื่อสัตย์ภักดีต่อท่าน แต่เขากลับคิดจะสังหารข้า เห็นได้ชัดว่าร้อนตัว”
“ต้าเทียนซือ จะให้ข้าไปจัดการพวกเขาเลยไหมขอรับ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยยั่วยุ ทำท่าคันไม้คันมือพร้อมลงมือเต็มที่
ต้าเทียนซือเหล่ตามองป๋ายเสี่ยวฉุน สำหรับความขัดแย้งระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนและเฉินฮ่าวซง เขารู้ชัดเจนดี แล้วก็รู้นิสัยของคนที่อยู่เบื้องหน้านี้ด้วย ดังนั้นจึงมองเมินคำยั่วยุของอีกฝ่าย เพียงเงยหน้ามองไปยังจุดลึกของวังหลวงด้วยดวงตาที่ฉายแววครุ่นคิดลึกล้ำ
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าต้าเทียนซือไม่สนใจตนก็ถอนหายใจอยู่ในใจ รู้สึกเสียดายไม่น้อย ครุ่นคิดว่าต้าเทียนซือผู้นี้ ตัดสินใจไม่เด็ดขาดมากพอ
“นี่หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ข้าจะต้องดับชีวิตเฉินฮ่าวซงผู้นั้นแน่นอน จะต้องคาดเดาไปมาให้เสียเวลาทำไม” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่ในใจตัวเอง รออยู่อีกครู่หนึ่งก็พบว่าต้าเทียนซือยังคงไม่สนใจตน และความเงียบงันของต้าเทียนซือก็ทำให้นอกตำหนักแห่งนี้เหมือนถูกกดทับไปด้วยความกดดัน
เมื่อความกดดันนี้เกิดขึ้น สมองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หมุนเร็วรี่ ไพล่นึกไปถึงทรัพย์สมบัติที่ตัวเองยึดมาจากบ้านตระกูลหลี่และตระกูลเฉินก่อนหน้านี้ แอบพูดกับตัวเองว่าที่ต้าเทียนซือไม่พูดถึงเป็นเพราะรอให้ตนเป็นคนนำมามอบให้อย่างราชาผียักษ์หรือเปล่า?
“ต้าเทียนซือ ตระกูลหลี่และตระกูลเฉินนั่นร่ำรวยอู้ฟู่ยิ่งนัก ความมากมายของทรัพย์สินพวกนั้นทำให้คนเห็นตะลึงพรึงเพริด เป็นแค่พระยาสวรรค์แต่กลับมีสมบัติมากมายขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่ามีความเกี่ยวข้องที่ลึกล้ำกับจักรพรรดิขุย” ป๋ายเสี่ยวฉุนลองหยั่งเชิง แล้วก็ไม่สนด้วยว่าความร่ำรวยเกี่ยวข้องอะไรกับการสมคบคิดกันหรือไม่ ทว่าพอเขาพูดจบ ต้าเทียนซือกลับยังคงเงียบงัน นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มไม่แน่ใจในความคิดของอีกฝ่าย
“ต้าเทียนซือ สมบัติของสองตระกูลนี่ ข้าสั่งความไปเรียบร้อยแล้ว อีกเดี๋ยวจะมีคนเอามาส่งให้ที่ตำหนักของท่าน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลไปครู่ก็ลองเอ่ยหยั่งเชิงดูอีกครั้ง
ทว่าต้าเทียนซือกลับยังคงไม่เอ่ยคำใด บรรยากาศรอบด้านยิ่งกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มหวั่นวิตก พูดกับตัวเองว่าหรือว่าต้าเทียนซือรู้เรื่องที่ตนฮุบเอาของบางส่วนมาตอนที่ค้นทรัพย์ผู้อื่น…
“คือว่า…ต้าเทียนซือ เมื่อครู่นี้ข้าลืมไปเลย ตระกูลหลี่นั่นยังมีภูเขาวิเศษอยู่อีกลูกหนึ่ง…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งที รีบพูดเสริม แต่ยังไม่ทันเอ่ยจบก็พบว่าต้าเทียนซือยังคงไม่สนใจตนเอง คราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงกับตะลึงอยู่ในใจ
“ต้าเทียนซือ ข้านึกออกแล้ว ตระกูลเฉินยังมีหยกวิเศษอยู่อีกชิ้นหนึ่ง…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวด เอ่ยออกมาอีกครั้ง
และพอป๋ายเสี่ยวฉุนพูดประโยคนี้จบก็ทำให้ต้าเทียนซือดึงสายตากลับมาจากทิศไกลและหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนได้เสียที ความลึกล้ำในดวงตานั้นเหมือนไม่มีจุดรวมสายตา ทว่าทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองเห็นรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังมองท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยหมู่ดาว
ราวกับว่าความลับทั้งหมดของตนล้วนฉายชัดเจนอยู่ในดวงตาของต้าเทียนซือ ทำเอาใจของป๋ายเสี่ยวฉุนตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ร้อนรนรีบเปิดปาก
“ต้าเทียนซือ ข้านึกออกแล้ว ดูเหมือนว่าตระกูลหลี่ยังมียาวิญญาณอีกชุดใหญ่…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งพูดจบ น้ำเสียงแหบพร่าของต้าเทียนซือก็ดังขึ้นเนิบช้า
“ป๋ายฮ่าว เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรที่ลึกเกินหยั่งมากที่สุด…” ตอนที่พูดประโยคนี้ สายตาของต้าเทียนซือเหลือบขึ้นมองไปยังทิศไกล
พอป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้ก็ยิ่งตื่นตระหนก
แอบรู้สึกว่าประโยคนี้ของต้าเทียนซือตั้งใจจะชี้นำตน นี่เป็นเพราะอีกฝ่ายไม่เชื่อว่าตนฮุบเอาแค่ของบางอย่างไปงั้นหรือ ถึงได้ถามว่าอะไรลึกเกินหยั่งมากที่สุด
ในใจเริ่มคิดไม่ตก พูดกับตัวเองว่าควรจะมอบหญ้าวิเศษต้นนั้นของตระกูลหลี่ให้อีกฝ่ายดีหรือไม่ แล้วก็คิดว่าต้าเทียนซือผู้นี้ขี้เหนียวจริงๆ ตนแค่ฮุบเอาไปไม่มาก เหตุใดต้องคอยแซะตนอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ด้วย
ขณะที่เขากำลังคิดไม่ตก เสียงของต้าเทียนซือก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“คือใจคน!”
“ใจคนนั้นลึกล้ำเกินจะหยั่งมากที่สุด ป๋ายฮ่าว เจ้าว่าใช่ไหมล่ะ” ประโยคนี้คล้ายแฝงเร้นไว้ด้วยพลังที่แปลกประหลาดบางอย่าง ชั่วขณะที่ดังเข้าหูป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนเกือบจะหลั่งน้ำตา
เขารู้สึกว่าต้าเทียนซือผู้นี้ขี้ตืดยิ่งกว่าราชาผียักษ์เสียอีก ตนทำงานให้ก็ถือว่าสร้างคุณความชอบ แต่อีกฝ่ายกลับขูดรีดตนจนแทบแห้งขอด
แต่มาถึงขั้นนี้เขาก็ไม่กล้าปิดบังต่ออีกแล้ว จึงพูดรัวเร็ว
“ต้าเทียนซือ ความจำของข้าไม่ดี เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งนึกออกว่าในตระกูลหลี่ยังมีต้น…”
ทว่ายังไม่ทันรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดจบ น้ำเสียงแหบพร่าของต้าเทียนซือกลับดังขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับความลึกล้ำในดวงตาที่กลายมาเป็นลูกตาดำมืดมิด
“ใจคนยากแท้หยั่งถึง ไม่เพียงแต่ใจของชนชั้นสูงในราชวงศ์ขุย จักรพรรดิขุย หรือแม้แต่ใจของข้าผู้อาวุโสเอง ทว่าหากไม่มีข้าผู้อาวุโส เกรงว่าเมื่อจักรพรรดิขุยเลื่อนสู่ครึ่งเทพล้มเหลว ราชวงศ์ขุยรุ่นนี้…ก็คงแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว…ข้าผู้อาวุโสสยบสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ รักษาความมีระเบียบของราชวงศ์ขุยแทนจักรพรรดิขุย ขณะเดียวกันก็ยังต้องคอยต้านทานการรุกรานจากฝั่งแม่น้ำทงเทียน…บางครั้งข้าผู้อาวุโสก็อยากเลียนแบบเทียนจุนแห่งเกาะทงเทียนผู้นั้นที่ฆ่าทิ้งไม่มีเหลือ แลกมาด้วยฟ้าครามที่สดใสดูบ้างจริงๆ!” ชั่วขณะที่ประโยคนี้หลุดออกมาจากปากของต้าเทียนซือ เขาก็เงยหน้าขึ้น หลังยืดตรงไม่ค่อมงออีกต่อไป พลังอำนาจเกินบรรยายระลอกหนึ่งพลันระเบิดออกมาจากร่างของเขา พริบตาเดียวก็เหมือนเปลี่ยนฟ้าเปลี่ยนดิน โลกทั้งใบพลันอึกทึกครืนครั่น แสงดาวและแสงจันทร์ถูกกลบทับให้มืดมิด
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเพียงว่าต้าเทียนซือที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ไม่มีท่าทางของคนแก่อีกต่อไปแล้ว ราวกับว่าบัดนี้เขากลายร่างมาเป็นยักษ์ค้ำฟ้า เสมือนว่าแค่เจตจำนงของเขาก็ทำให้ดาวเดือนมอดดับ ฟ้าดินไร้แสงสี!
พลังอำนาจนั้นแกร่งกล้าเกินไปจนป๋ายเสี่ยวฉุนแบกรับไม่ไหว เขาก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นตึกๆ รัวแรง
ทว่าเพียงแค่ชั่วครู่เดียวทุกอย่างนี้ก็สิ้นสุดลง หลังของต้าเทียนซือค้อมต่ำลงไปอีกครั้ง ศีรษะของเขาก็ก้มลงด้วย ก่อนที่เสียงหายใจเบาๆ หนึ่งครั้งจะดังขึ้น
ท้องฟ้าและหมู่เมฆกลับคืนสู่ความปกติ ดาวเดือนเผยกายอีกครั้ง ฟ้าดินนิ่งสงบราวกับว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะท้าน แต่สติกลับแจ่มชัด ขณะที่ลมหายใจของเขาถี่กระชั้น ต้าเทียนซือกลับหันหน้ากลับมาช้าๆ สายตามาตกอยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง
“เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ? ตระกูลหลี่มีต้นอะไร?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนงุนงงเล็กน้อย ลึกๆ ในใจอยากจะร้องไห้แต่ก็ไร้น้ำตา ในที่สุดก็รู้แล้วว่าตนเข้าใจผิดไปเอง ต้าเทียนซือไม่ได้สนใจทรัพย์สมบัติที่ตนเองไปยึดทรัพย์มาได้เลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายเพียงแค่ปลงอนิจจังอยู่กับตัวเอง ทุกประโยคของเขาไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับสมบัติ เป็นเพราะตนร้อนตัว ถึงได้เข้าใจผิด
เมื่อได้ยินคำถามจากต้าเทียนซือ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ความคิดในสมองหมุนวนเร็วจี๋ ครุ่นคิดว่าตัวเองควรทำอย่างไรถึงจะรักษาผลประโยชน์ที่ตนได้มาจากการยึดทรัพย์ไว้ให้ได้มากที่สุด ความกดดันในใจมากมหาศาล ยิ่งเห็นสายตาของต้าเทียนซือก็ยิ่งทำให้หน้าผากของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเหงื่อผุดพราย พอร้อนใจความคิดมากมายก็เพิ่มขึ้นตามมาด้วย จึงรีบเอ่ยทันใดว่า
“คือว่า…ตระกูลหลี่มีอะไรงั้นหรือ…นี่คือเรื่องเล็ก ต้าเทียนซือ ข้ารู้สึกว่าแม้ใจคนจะยากแท้หยั่งถึง แต่เรื่องนี้ก็ไม่สำคัญหรอก! คนพวกนี้จะมีใจฝักใฝ่ต่อจักรพรรดิขุย หรือฝักใฝ่ต่อท่านก็ไม่สำคัญเช่นกัน!”
“ที่สำคัญคือท่าทีของพวกเขาในยามที่ต้าเทียนซือและจักรพรรดิขุยปรากฏตัวพร้อมกันต่างหาก!” ตอนเริ่มพูด ประโยคของป๋ายเสี่ยวฉุนยังสะเปะสะปะจับใจความสำคัญไม่ได้ แต่พูดไปพูดมาแนวทางความคิดในสมองของเขากลับชัดเจนมากขึ้น คำพูดก็คล่องปากขึ้นอีกไม่น้อย
“ต่อให้ใจของพวกเฉินฮ่าวซงฝักใฝ่หาจักรพรรดิขุย แล้วจะอย่างไร! พวกเขาคนใดบ้างที่กล้าเปิดปากยอมรับ?”
“ต่อให้ชนชั้นสูงทุกคนในราชวงศ์ขุยต่างก็มีใจใฝ่หาจักรพรรดิขุย แล้วจะทำอะไรได้! เมื่ออยู่ต่อหน้าต้าเทียนซือ พวกเขาก็ไม่มีใครกล้าแสดงความรู้สึกที่แท้จริงในใจออกมา เดิมทีนี่ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าต้าเทียนซือมีอำนาจมากพอจะสยบทุกอย่างได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งพูดยิ่งรื่นไหล ดวงตาทั้งคู่ก็เต็มไปด้วยประกายชีวิตชีวา
“ต้าเทียนซือ บางทีท่านอาจจะไม่สามารถทำให้ทุกคนภักดีต่อท่านได้ แล้วก็เดาไม่ออกว่าใครบ้างที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อท่าน ทว่าสิ่งที่ท่านทำได้ก็คือทำให้ทุกคนกริ่งเกรง ทำให้ทุกคนหวาดกลัว!”
“ดังนั้นต้าเทียนซือ ข้าน้อยคิดว่าท่านไม่จำเป็นต้องไปสนใจว่าใจของพวกเขาเอนเอียงเข้าหาผู้ใด สิ่งที่ท่านต้องสนใจมีเพียงว่าพวกเขากลัวใคร แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ มาถึงท้ายที่สุดก็แทบจะเรียกได้ว่าดังกังวานมีพลัง จนกระทั่งพูดจบ ดวงตาของต้าเทียนซือก็พลันแน่วนิ่งคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ทั้งหมดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกนับถือในตัวเองอย่างมาก ประโยคนี้เขารู้สึกว่าตัวเองพูดได้อย่างงดงามและมีเหตุผลมากเป็นพิเศษ
เมื่อเห็นว่าต้าเทียนซือกำลังครุ่นคิด ลึกๆ ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้ลำพองใจ ปลงอนิจจังไปกับความฉลาดเฉลียวที่เป็นหนึ่งไม่เป็นรองใคร ไร้ผู้ใดทัดเทียมของตัวเองอีกครั้ง
“เพื่อปกป้องสมุนไพรต้นนั้นของตระกูลหลี่และเชวียเอ๋อร์ ข้าก็ทุ่มสุดตัวเหมือนกันนะเนี่ย” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ ในใจลึกๆ รู้สึกว่าตนช่างเป็นคนที่ยอดเยี่ยม และยิ่งมากด้วยความมีคุณธรรม แล้วก็คิดว่าควรจะฉวยโอกาสตีเหล็กตอนที่ยังร้อน ดังนั้นขณะที่ฉุกคิดขึ้นมาได้ก็พลันเอ่ยไปว่า “ต้าเทียนซือ ข้าน้อยมีแผนการหนึ่ง”