Skip to content

A Will Eternal 772

บทที่ 772 แน่จริงก็มาสู้กันเลยสิ

เมื่อเสียงระฆังดังกังวาน ในนครจักรพรรดิขุยก็เต็มไปด้วยฝูงมหาชน บนท้องฟ้าก็เป็นเช่นเดียวกัน สายรุ้งหลายเส้นแหวกอากาศบินตรงไปยังวังหลวง

ทั้งยังมีองค์รักษ์ผู้ฝึกวิญญาณจำนวนมากที่กระจายกันออกไปสี่ทิศเพื่อรักษาความมีระเบียบ ขณะเดียวกันก็คอยระแวดระวังความปลอดภัยให้กับพิธีเซ่นไหว้บรรพชน เพราะบางทีอาจมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น

แม้ว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดอุบัติเหตุนั้นมีไม่ค่อยมาก ทว่าองค์รักษ์ผู้ฝึกวิญญาณเหล่านี้ก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่กันอย่างสุดความสามารถ ยิ่งพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับจวนตรวจการก็ยิ่งเป็นจุดที่พวกเขาให้การจับตามองเป็นพิเศษ

นั่นเพราะเรื่องพระยาสวรรค์สองท่านของเมื่อหนึ่งเดือนก่อนสร้างผลกระทบมากเกินไป และผู้ตรวจการคนใหม่ก็ยิ่งเป็นที่เพ่งเล็งของคนมากมายดั่งบุคคลที่ยืนอยู่บนปลายยอดคลื่น สามารถพูดได้ว่าเขาคือคนที่มีข้อพิพาทกับคนทั้งราชสำนัก หากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นแล้วส่งผลกระทบต่อพิธีเซ่นไหว้บรรพชน ความรับผิดชอบนั้นยิ่งใหญ่เกินไป พวกเขาแบกรับไม่ไหว

แทบจะขณะเดียวกันกับที่เหล่าองค์รักษ์ให้การจับตามองจวนตรวจการ ในจวนตรวจการ เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนทะยานขึ้นมาพร้อมศพหุ่นเชิดนับพันที่ตามมาด้านหลัง คนทั้งกลุ่มบินตรงไปข้างหน้าด้วยพลังอำนาจกร้าวแกร่ง

ชั่วขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัว ชนชั้นสูงทั้งหมดบนท้องฟ้าซึ่งผ่านทางมาต่างก็ย้ายสายตามารวมไว้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุน สายตาเหล่านั้นแฝงเร้นไว้ด้วยอารมณ์หลากหลายทั้งซับซ้อน รังเกียจ ยำเกรง ฯลฯ ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลายมาเป็นที่จับตามองของคนนับหมื่นไปโดยปริยาย

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาเหล่านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เอามือไพล่หลัง เชิดคางขึ้นด้วยความลำพองใจ บางครั้งก็คอยถลึงตากลับไป ใครก็ตามที่มองเขาด้วยสายตารังเกียจ เขาก็จะรีบขึงตาดุดันกลับคืนไปให้ทันที ท่าทางประหนึ่งคนที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน

“แน่จริงก็เข้ามาสิ” บนใบหน้าที่กร้าวกระด้างของป๋ายเสี่ยวฉุนเขียนประโยคนี้เอาไว้อย่างชัดเจน…เพราะเขาไม่มีอะไรที่ต้องกลัวจริงๆ

เขาไม่เพียงแต่มีต้าเทียนซือคอยหนุนหลัง ข้างกายยังมีศพหุ่นเชิดอีกหนึ่งพันตน อย่าว่าแต่พวกพระยาสวรรค์ที่อยู่บนท้องฟ้าเลย ต่อให้เป็นเจ้าพระยาสวรรค์มาเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กล้าถลึงตามองกลับไป

เมื่อเห็นสีหน้าเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน พวกชนชั้นสูงที่ทะยานผ่านท้องฟ้าต่างก็พากันขมวดคิ้วมุ่น หลังจากกวาดตามองศพหุ่นเชิดที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความกริ่งเกรงแล้วก็ถอนสายตากลับมา ไม่ให้ความสนใจอีก เพียงบินไปยังพระราชวัง

“ไอ้พวกขี้ขลาด เห็นข้าผู้ตรวจการ พวกเจ้าก็กลัวกันแล้วล่ะสิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งได้ใจ บินวางท่าอาดๆ ไปข้างหน้าอย่างไม่ช้าไม่เร็ว อันที่จริงแล้วไม่เพียงแต่พวกชนชั้นสูงซึ่งบินผ่านท้องฟ้าเท่านั้นที่สังเกตเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน แม้แต่ผู้ฝึกวิญญาณหรือประชาชนในนครจักรพรรดิขุยก็ยังมองเห็นเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนไปพร้อมๆ กันด้วย

“ผู้ตรวจการ ป๋ายฮ่าว!”

“เป็นเขานั่นแหละที่…เมื่อหนึ่งเดือนก่อน พาคนไปค้นบ้านยึดทรัพย์พระยาสวรรค์สองท่าน…”

“เมื่อหนึ่งเดือนก่อนเขาไม่ได้ปรากฏตัว แต่กลับมาปรากฏตัวเอาวันนี้ พิธีเซ่นไหว้บรรพชนคราวนี้ต้องเกิดมรสุมลูกใหญ่แน่นอน…”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเอ็ดอึงไม่ขาดสาย พวกองค์รักษ์รอบด้านที่จับตามองมายังจุดนี้ต่างก็พากันตื่นตัวระวังภัย ไม่ถึงกับห้อมล้อมเข้ามา แต่ก็ป้องกันแปดทิศอย่างแน่นหนา หากมีเรื่องการลอบฆ่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ พวกเขาก็พร้อมจะตรงเข้าไปขัดขวางทันที

ภายใต้การคุ้มกันหลายชั้นนี้ ความรอคอยในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งดุเดือดมากขึ้น พอนึกถึงแผนการที่ตัวเองเตรียมไว้ใช้ในวันพิธีเซ่นไหว้บรรพชน หัวใจเขาก็ร้อนเร่าจนเกือบจะข่มกลั้นความฮึกเหิมเอาไว้ไม่อยู่

“การปิดด่านหนึ่งเดือนมานี้ ข้าหลอมไฟสิบเจ็ดสีได้สำเร็จเสียที…การอนุมานไฟสิบแปดสีของฮ่าวเอ๋อร์ก็สำเร็จไปแล้วเกินครึ่ง คาดว่าอีกไม่นานเท่าไหร่ก็สามารถสร้างตำรับหลอมไฟสิบแปดสีออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว”

“หากตำรับไฟสิบแปดสีสมบูรณ์แบบและข้าหลอมมันออกมาได้อีกครั้งเมื่อไหร่…ถ้าเช่นนั้นข้าก็คือ…อาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดิน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ในใจก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง รู้สึกเพียงว่าท้องฟ้าเป็นสีครามกระจ่างสดใส ทุกอย่างช่างสวยงาม ยิ่งพอรู้สึกว่าขอบเขตของอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินคล้ายมารออยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นเข้าไปใหญ่

“ตลอดทั้งแดนทุรกันดาร อาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินมีเพียงสามคน หากข้าทำสำเร็จ ข้าก็จะกลายเป็นคนที่สี่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งฮึกเหิม เพราะเมื่ออยู่ในแดนทุรกันดารแห่งนี้ อาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินนี้มีตำแหน่งสูงส่งเทียบเคียงได้กับเจ้าพระยาสวรรค์!

และหากว่ากันในบางระดับ อาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินยังถือว่าศักดิ์สูงกว่าเจ้าพระยาสวรรค์อยู่ขั้นหนึ่งด้วยซ้ำ สามารถพูดได้ว่า ขอแค่ไม่เลือกทรยศต่อแดนทุรกันดาร ตำแหน่งอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินนี้ก็มากพอจะให้เขาวางอำนาจบาตรใหญ่ไปทั่วทุกหนแห่งในแดนทุรกันดาร ต่อให้ทำความผิดใหญ่หลวงแค่ไหน ด้วยฐานะที่สูงส่งก็ยังเลี่ยงพ้นโทษตายได้!

เพราะอย่างไรซะ…ตำแหน่งเจ้าพระยาสวรรค์ในแดนทุรกันดารมีหลายสิบคน แต่อาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินนั้น…ตอนนี้มีเพียงแค่สามคนเท่านั้น!

“นี่ยังเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดก็คือหากข้าหลอมไฟสิบแปดสีออกมาได้ ถ้าเช่นนั้นข้าก็สามารถหลอมพลังจิตให้กับทารกก่อกำเนิดได้รวดเดียว ทำให้ตบะของตัวเองระเบิดจากก่อกำเนิดช่วงกลาง เลื่อนขึ้นไปยังก่อกำเนิดช่วงท้าย!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ยิ่งรอคอย เขารู้สึกว่าตนเป็นก่อกำเนิดช่วงกลางก็สามารถต่อสู้กับผู้ที่เกือบเป็นคนฟ้าและยังเป็นฝ่ายที่คว้าชัยชนะมาได้ ถ้าเช่นนั้นหากตนเป็นก่อกำเนิดช่วงท้าย…ไม่แน่ว่าอาจจะเอาชนะคนฟ้าได้จริงๆ เลยก็เป็นได้!

“ต่อให้เอาชนะไม่ได้ รอข้าเป็นก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบเมื่อไหร่ คาดว่าก็สามารถเปิดฉากสู้กับคนฟ้าได้อย่างจริงจังแล้ว!” ความห้าวเหิมของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่มขึ้นมาอีกร้อยเท่า ความเร็วตอนบินไปยังพระราชวังจึงเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย เขาพาศพหุ่นเชิดหนึ่งพันศพกลายร่างเป็นรุ้งยาวพันเส้นที่ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ประตูตะวันออกของวังหลวง

ขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึง ห่างออกไปไกลก็มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สีหน้ามีบารมีแม้ไม่แสดงความโกรธยืนอยู่ เขาสวมอาภรณ์ยาวสีทอง บนชุดคลุมยาวนั้นปักรูปท้องฟ้าสดใสที่มีเดือนและดาว บวกกับสีหน้าน่าเกรงขามของคนผู้นี้จึงส่งให้มีพลังอำนาจไร้รูปลักษณ์ขุมหนึ่งแผ่ออกมาจากร่างของเขา

ไม่ว่าใครก็ตามที่ผ่านทางมาแล้วเห็นชายวัยกลางคนผู้นี้ก็จะต้องกุมมือคารวะเขาทุกคน

คนผู้นี้…ก็คือเฉินฮ่าวซงหนึ่งในสิบเจ้าพระยาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่!

เขาไม่ได้อยู่คนเดียว ข้างกายยังมีชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่ง ชายฉกรรจ์ผู้นี้สวมชุดคลุมปักลายงูเหลือม เรือนกายของเขาสูงใหญ่ พละกำลังกล้ามเนื้อแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ยืนเยื้องไปด้านหลังเฉินฮ่าวซงก้าวหนึ่ง ท่าทางพินอบพิเทาอย่างยิ่ง

พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเฉินฮ่าวซงก็ร้องหึอยู่ในใจ เฉินฮ่าวซงเองก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน นัยน์ตาของเขามีประกายเย็นเยียบวาบผ่าน ไม่อำพรางความรังเกียจเอาไว้แม้แต่น้อย

ส่วนชายฉกรรจ์ที่อยู่ข้างกายเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เคยเห็นมาก่อน

หน้าตาคนผู้นี้มีส่วนคล้ายจ้าวตงซานอยู่หลายส่วน ซึ่งเขาก็คือผู้อาวุโสของจ้าวตงซาน เขาไม่ใช่พระยาสวรรค์ธรรมดา แต่เป็นหนึ่งในเก้าพระยาสวรรค์ผู้แข็งแกร่งที่ล้อมสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนในวันนั้น!

“พิธีเซ่นไหว้บรรพชนที่ยิ่งใหญ่ เจ้าพวกคนที่ไม่ใช่ทั้งเจ้าพระยาสวรรค์ และทั้งไม่ใช่พระยาสวรรค์ มีคุณสมบัติมาร่วมงานด้วยได้อย่างไร” หลังจากที่ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ ผู้อาวุโสของจ้าวตงซานกวาดตามาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็เอ่ยขึ้นเสียงหยัน เสียงของเขาดังมากจนพวกชนสูงศักดิ์จำนวนไม่น้อยที่มารวมตัวกันอยู่นอกประตูตะวันออกของวังหลวงต่างก็ได้ยินกันอย่างชัดเจน

ชนชั้นสูงพวกนี้ไม่มีความรู้สึกดีๆ อันใดต่อป๋ายเสี่ยวฉุน

พอได้ยินประโยคนี้เสียงหัวเราะเยาะเย้ยก็ดังออกมาทันควัน สายตาของแต่ละคนต่างก็มาอยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเดือดปรี๊ดทันที เขาถลึงตากว้าง อาศัยที่ตัวเองมีต้าเทียนซือหนุนหลัง สามารถพูดได้ว่าไร้ความหวาดกลัวใดๆ จึงยกมือขึ้นชี้หน้าชายฉกรรจ์ร่างใหญ่คนนั้นทันควัน

“คนผู้นี้ไม่เคารพต้าเทียนซือ จับตัวเขาซะ!” ขาดคำของเขา กองทัพศพโลหิตหนึ่งพันตนที่อยู่ข้างกายเขาก็พากันเงยหน้าพรึ่บ ก่อนที่จะมีเกราะดำหนึ่งร้อยคนบินเข้าหาชายฉกรรจ์ผู้นั้น

ผู้อาวุโสของจ้าวตงซานตะลึงงัน

เห็นได้ชัดว่านึกไม่ถึงว่าในวันพิธีเซ่นไหว้บรรพชน อยู่นอกประตูตะวันออกของวังหลวง ป๋ายเสี่ยวฉุนจะลงมืออย่างไม่พูดพร่ำทำเพลงเช่นนี้ หน้าเขาจึงเปลี่ยนสีอย่างห้ามไม่ได้ กำลังจะก้าวถอยหลัง ทว่าเฉินฮ่าวซงที่อยู่ข้างกายเขากลับแค่นเสียงเย็นขึ้นมาเสียก่อน

“เหลวไหล!” เสียงยังคงดังสะท้อน เท้าขวาของเฉินฮ่าวซงก็ยกขึ้นแล้วเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

เสียงแค่นเย็นชานั้นประหนึ่งอสนีบาตที่ระเบิดไปสี่ทิศ ท่ามกลางเสียงอึกทึกสนั่นหวั่นไหว ศพหุ่นเชิดเกราะดำหนึ่งร้อยตนพากันร่างสั่นสะท้าน แล้วก็เหมือนถูกปิดผนึกอยู่กลางอากาศ มิอาจเคลื่อนหน้าไปได้อีก

ขณะเดียวกัน เมื่อเท้านั้นของเฉินฮ่าวซงเหยียบลง พลังอำนาจขุมหนึ่งที่บ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิมก็ระเบิดออกมาจากร่างของเขา ก่อนจะกลายมาเป็นพายุหมุนคว้างที่กระแทกลงบนร่างเกราะดำ ทำให้ศพหุ่นเชิดเกราะดำหนึ่งร้อยตนถอยกรูดอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงตูมตามดังไปตลอดทาง จนกระทั่งถอยกลับมาอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตา กำลังจะอ้าปากพูด ทว่าเสียงตวาดของเฉินฮ่าวซ่งกลับดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

“จ้าวสงหลินเป็นถึงพระยาสวรรค์ แค่สั่งสอนเจ้าไม่กี่คำ เจ้าไม่ก้มหน้ายอมรับก็ยังพอว่า แต่นี่กลับยังกล้าใส่ร้ายเขา…”

“ต้าเทียนซือแต่งตั้งข้าผู้แซ่ป๋ายเป็นผู้ตรวจการ ทั้งยังออกคำสั่งให้ข้ามาร่วมงานพิธีเซ่นไหว้บรรพชนครั้งนี้ เจ้าจ้าวสงหลินผู้นี้ปากเปราะมาสั่งสอนข้าก็เท่ากับว่าสงสัยในคำสั่งของต้าเทียนซือ ข้าบอกว่าเขาไม่เคารพต้าเทียนซือ นี่นับว่ายังเป็นโทษเบา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคาง ตะคอกกลับเสียงดัง

“เจ้า!!” จ้าวสงหลินเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ

ก่อนหน้านี้เขาก็เคยได้ยินมาว่าคนผู้นี้ปากคอเราะร้าย แต่กลับนึกไม่ถึงว่าแค่ประโยคเดียวของตนจะทำให้อีกฝ่ายลากต้าเทียนซือเข้ามาเกี่ยวด้วยได้

“เจ้าอะไรเจ้า แน่จริงก็ออกมาสู้กับทหารกล้าหนึ่งพันตนของจวนตรวจการข้าดูสิ หนึ่งพันตนอาจรังแกเจ้าเกินไป งั้นก็เอาหนึ่งร้อยตน เจ้าเลือกได้ตามใจชอบ ดูสิว่าร้อยคนนี้จะเล่นงานเจ้าให้ตายได้ไหม!” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังยิ่งกว่า โบกมือหนึ่งครั้งศพหุ่นเชิดเกราะดำทั้งหนึ่งพันตนก็ระเบิดปราณดุร้ายออกมาทันที

“ไร้ยางอาย!” จ้าวสงหลินกัดฟันกรอด ต่อให้เขาจะเป็นหนึ่งในพระยาสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุด ทว่าอย่าว่าแต่ศพหุ่นเชิดหนึ่งพันตนเลย ต่อให้แค่หนึ่งร้อยตน เขาก็ยังสู้ไม่ได้ ศพหุ่นเชิดพวกนี้ต่างก็ไม่กลัวตาย ทั้งร่างยังแข็งแกร่งประดุจเหล็กกล้า หากอีกฝ่ายลงมือเมื่อไหร่ก็ราวกับว่าหากมือไม่เปื้อนเลือดจะไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ เด็ดขาด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!