บทที่ 775 เจ้าป๋ายฮ่าวผู้นี้ช่างต่ำช้า
การลงมือของผู้เฒ่าที่เย็นชาน่าสะพรึงกลัวผู้นี้รวดเร็วปานประหนึ่งสายฟ้าแลบ การที่เขากระโจนพรวดเข้ามากะทันหันทำให้พวกสตรีธุลีแดงที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนตกอกตกใจ สตรีธุลีแดงกำลังจะตรงเข้าไปห้ามปรามตามจิตใต้สำนึก ทว่ากลับสายไปก้าวหนึ่ง
ตบะของผู้เฒ่าเย็นชาคนนั้นระเบิดออกมาเต็มกำลังแล้ว คลื่นคนฟ้าสะเทือนไปแปดทิศ พริบตาเดียวก็มาโผล่อยู่ด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ตลอดทั้งร่างของเขาเหมือนกลายมาเป็นอักขระขนาดใหญ่ยักษ์ที่แผ่คลื่นฟ้าคนรวมเป็นหนึ่งเยื้องกรายเข้ามาใกล้พร้อมเสียงดังเอ็ดอึง
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี รีบถอยหลังว่องไว ในความรู้สึกของเขา ผู้เฒ่าคนนี้เหมือนจะน่ากลัวยิ่งกว่าเฉินฮ่าวซงเสียอีก หากการโจมตีนี้ร่วงลงมาโดนเมื่อไหร่ เกรงว่าตนก็คง…ยากจะพ้นภัยครั้งนี้ไปได้!
“แค่พูดไม่ถูกหูคำเดียวก็ฆ่าคนเสียแล้ว!!” ลึกๆ ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหวาดกลัวจนจะบ้าตายอยู่แล้ว เขารีบเบี่ยงหลบเต็มกำลังทั้งๆ ที่ยังตัวสั่น ทว่าชั่วขณะที่เขาก้าวถอยหลัง ในเสี้ยวนาทีที่ผู้เฒ่าหมายปลิดชีพเขานั้นเอง มุมปากของต้าเทียนซือที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สีดำสุดปลายโถงของตำหนักใหญ่พลันยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแฝงความหมายลึกล้ำ จุดลึกในดวงตามีแววชื่นชมวาบผ่าน ก่อนจะยกมือขวาขึ้นชี้มายังป๋ายเสี่ยวฉุน
การชี้ครั้งนี้ทำให้นอกร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนมีแสงสีดำเส้นหนึ่งลอยพรวดออกมา ก่อนที่มันจะกลายมาเป็นฟองอากาศซึ่งห้อหุ้มร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ภายใน
ทุกอย่างนี้พูดแล้วยาว ทว่าในความเป็นจริงกลับเกิดขึ้นเพียงแค่เวลาชั่วสายฟ้าแลบ แทบจะวินาทีเดียวกับที่ฟองอากาศสีดำนี่ปรากฏ ร่างกายของผู้เฒ่าจอมเย็นชาก็กลายร่างอักขระที่โจมตีลงบนฟองอากาศเข้าอย่างจัง
เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว ฟ้าดินสั่นสะเทือน ตลอดทั้งวังหลวงโยกไหว
ฟองอากาศแตกทลาย ผู้เฒ่าเย็นชากระอักเลือด สีหน้าขาวซีดในชั่วพริบตา ทั้งยังถอยกรูดไปข้างหลังเหมือนถูกพลังโจมตีกลับ พอกระเด็นกลับเข้ามาในตำหนัก เขาก็กระอักเลือดอีกครั้ง หันขวับไปมองต้าเทียนซือ
“ต้าเทียนซือ ท่าน…” ผู้เฒ่ากล่าวอย่างเดือดดาล ทว่าคำพูดของเขายังไม่ทันเอ่ยจบ เพียงประสานสายตากับดวงตาของต้าเทียนซือ ร่างของเขาก็พลันสั่นเยือก จำต้องกลืนคำพูดที่ค้างอยู่ในลำคอกลับคืนไป
“เหตุใดต้องร้อนใจถึงเพียงนี้ ให้ป๋ายฮ่าวพูดให้จบก่อนสิ” ตอนที่ต้าเทียนซือเอ่ยเนิบช้า มือขวาที่วางไว้บนที่พักแขนของจักรพรรดิขุยซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้ากำเข้าหากันแน่นอย่างเห็นได้ชัด เส้นเอ็นบนหลังมือของเขาปูนโปดจนขึ้นให้เห็นเป็นเส้นๆ!
ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลายดังเอื้อก สีหน้าซีดขาวน้อยๆ เมื่อได้รับการปกป้องจากฟองอากาศสีดำนั้น เขาจึงไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ทว่าวิกฤตความเป็นความตายก่อนหน้านี้กลับทำให้ใจของเขาสั่นสะท้านไม่หยุด แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด ดวงตาฉายแววเหี้ยมเกรียม แล้วพลันเอ่ยเสียงดัง
“ตาแก่ ข้าป๋ายฮ่าวไม่ได้หลอกลวงเบื้องสูง นี่ก็คือวิญญาณคนฟ้าไงล่ะ เจ้าแก่แล้วตาพร่ามัวเลยมองไม่ออก ข้าก็ไม่ถามเจ้าแล้ว ต้าเทียนซือ ท่านผู้อาวุโสลองวิเคราะห์ดูหน่อยเถิดขอรับว่านี่คือวิญญาณอะไรกันแน่!” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังก้องไปสี่ทิศ
รอยยิ้มแฝงความหมายลึกล้ำตรงมุมปากของต้าเทียนซือยิ่งเด่นชัด ก่อนที่เขาจะเอ่ยรับเนิบช้า
“วิญญาณคนฟ้า!”
คำพูดของเขาดังออกมา เชื้อพระวงศ์ทั้งหมดต่างก็หอบหายใจด้วยความยากลำบาก สีหน้าแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมิอาจควบคุม
ทั้งยังมีบางส่วนที่เริ่มตัวสั่น ต่อให้เป็นองค์ชายรองเอง รวมไปถึงองค์ชายใหญ่ที่อยู่ข้างกายเขา เวลานี้คนทั้งสองต่างก็หน้าซีดเผือดในฉับพลัน
“ต้าเทียนซือคิดจะบีบให้เสด็จพ่อก้มหัวให้!! บีบให้เสด็จพ่อพูดว่านี่คือวิญญาณคนฟ้า!! เพื่อใช้สิ่งนี้มาป่าวประกาศอำนาจของเขาอีกครั้ง!!”
และตอนนี้ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักที่ต่อให้โง่แค่ไหนก็ยังมองออกถึงปัญหา พอรับรู้ถึงเจตจำนงของต้าเทียนซือ พริบตานั้น…สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง…สีหน้าของพวกเขาหลากหลาย ครบทุกรูปแบบ ตระการตาอย่างยิ่ง
หน้าอกของสตรีธุลีแดงกระเพื่อมขึ้นลง ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน สายตาของนางเผยความซับซ้อน นัยน์ตาของโจวหงที่อยู่ข้างกันก็ยิ่งแสดงความตะลึงลานหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ตระหนักได้ถึงปัญหานั้นเช่นกัน รู้ดีว่าต้าเทียนซือต้องการบีบจักรพรรดิขุย นั่นทำให้เขาที่ยิ่งคิดถึงวิธีการของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งขนลุกขนพอง
ราชาชัยน้อยเงียบงัน ซือจื่อนครเทพจุติก้มหน้า ส่วนสิบเจ้าพระยาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างเฉินฮ่าวซงต่างก็ลอบมองสีหน้ากันและกัน เห็นได้ชัดว่าไม่กล้าก้าวเข้าไปมีเอี่ยวกับน้ำวนลูกนี้
“ต้าเทียนซือบอกว่านี่คือวิญญาณคนฟ้า ฝ่าบาท ท่านว่า นี่คือวิญญาณอะไร…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเส้นเอ็นที่ปูดขึ้นมาบนหลังมือของจักรพรรดิขุย แล้วก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารในดวงตาของอีกฝ่าย แม้ว่าใจของเขาจะสั่นสะท้านอยู่ตลอดเวลา แต่พอนึกถึงจุดยืนของตัวเอง นึกถึงวันที่อยู่นอกร้านหลอมพลังจิตซึ่งมีเชื้อพระวงศ์เข้าร่วมการสังหารเขาอย่างลับๆ เขาก็กัดฟันกรอด เมื่อเปล่งคำพูดนั้นออกไป ความเย็นชาในดวงตาของจักรพรรดิขุยยิ่งมีมาก และทุกคนที่อยู่รอบด้าน รวมไปถึงเจ้าพระยาสวรรค์ พระยาสวรรค์ทั้งหมด บัดนี้ต่างก็ใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม หัวใจเต้นรัวแรงอีกไม่น้อย และคนที่ก้มหน้าก้มตาก็มีเพิ่มขึ้นมาอีก
ลมหายใจของจักรพรรดิขุยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรพลันถี่รัว เส้นเอ็นบนมือขวายิ่งเด่นชัด ประกายเย็นชาในดวงตาเหมือนต้องการจะฉีกทึ้งร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งเป็น
“เจ้าป๋ายฮ่าวสามหาว บังอาจเอ่ยวาจาเหลวไหล เห็นชัดๆ ว่านี่คือวิญญาณสร้างฐานราก จะเป็นวิญญาณคนฟ้าไปได้อย่างไร!” ผู้พูดคือผู้เฒ่าหลังค่อมที่บนร่างอบอวลไปด้วยปราณเย็นเยียบอีกคนหนึ่ง เขาร้องโอดครวญอยู่ในใจ ในฐานะที่เขาเป็นข้ารับใช้ของเชื้อพระวงศ์มาทุกยุคทุกสมัย ยามนี้ก็ได้แต่เอ่ยออกไปเช่นนั้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างเยือกเย็น ถลึงตามองผู้เฒ่าคนนั้นหนึ่งที ก่อนจะยกวิญญาณสร้างฐานรากในมือขึ้นสูง ครั้นจึงหันไปเผชิญหน้ากับชนชั้นสูงทั้งราชสำนัก กระแอมหนักๆ หนึ่งครั้งแล้วจึงเอ่ยว่า
“ถ้าเช่นนั้นก็ให้เหล่าเจ้าพระยาสวรรค์ พระยาสวรรค์ทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ช่วยข้าดูหน่อยเถิดว่านี่คือวิญญาณสร้างฐานราก หรือวิญญาณคนฟ้ากันแน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงฮึกเหิม อันที่จริงแล้วนี่ต่างหากถึงจะเป็นแผนการขั้นสูงสุดของเขา ทุกอย่างที่ทำลงไปก่อนหน้านี้ก็เพื่อทำให้ทุกคนเข้าใจผิดคิดว่าเขาต้องการบีบให้องค์จักรพรรดิสละราชบัลลังก์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว…คนที่เขาต้องการบีบบังคับไม่ใช่จักรพรรดิขุย แต่เป็น…ชนชั้นสูงและขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักนี่ต่างหาก!
ก็เหมือนอย่างที่เขาพูดไว้คราวก่อน เขาจะสร้างโอกาสครั้งหนึ่งให้กับต้าเทียนซือ และเขาเองก็มองการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของคนพวกนี้ไม่ออก วิเคราะห์ไม่ได้ว่าในใจพวกเขาคิดกันอย่างไร ทว่าอาศัยโอกาสนี้ ต้าเทียนซืออาจจะมองอะไรออกก็เป็นได้
เมื่อประโยคที่ไม่คาดคิดนี้ดังออกมาก็ทำให้เส้นเอ็นตรงหน้าผากของจักรพรรดิขุยเต้นตุบๆ ขึ้นมาทันที บัดนี้ความรู้สึกของเขาย่ำแย่ยิ่งกว่าก่อนหน้านั้นเสียอีก และผู้เฒ่าเย็นชาสองคนนั้นก็พากันหน้าเผือดสีไปในพริบตา สีหน้าของพวกเขาซีดขาวไม่ต่างจากกระดาษ
เชื้อพระวงศ์ทั้งหมดล้วนตัวสั่นเทิ้ม บางคนแอบผ่อนลมหายใจ ส่วนพวกขุนนางทั้งราชสำนักที่อยู่บนลานกว้างต่างก็พากันกลั้นลมหายใจ ก่อนหน้านี้พวกเขานึกว่าขอแค่ไม่เข้าร่วมกับปัญหาข้อนี้ก็สามารถหลบพ้นการต่อสู้ระหว่างต้าเทียนซือและจักรพรรดิขุยได้แล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าอยู่ดีๆ เจ้าป๋ายฮ่าวสมควรตายผู้นี้จะหันปลายหอกเข้ามาแทงใส่พวกเขาเสียนี่!
สตรีธุลีแดงเบิกตากว้าง มองป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนเพิ่งได้รู้จักเขาเป็นครั้งแรก โจวหง ราชาชัยน้อยและซื่อจื่อของนครเทพจุติต่างก็สูดลมหายใจดังเฮือกๆ ทั้งกริ่งเกรงทั้งหวาดกลัว
เพราะทักษะการแสดงและการควบคุมจังหวะของป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้สมจริงเกินไป พวกเขาคิดไม่ถึง ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่ทันได้เตรียมตัวรับมือ ไม่รู้เลยว่าเป้าหมายที่แท้จริงของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับจะเป็นพวกเขา!
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่คิดไม่ถึงข้อนี้ พวกเจ้าพระยาสวรรค์ทั้งสิบอย่างเฉินฮ่าวซงที่แม้สีหน้าของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไป แต่กลับปกปิดอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยม เพราะอันที่จริงชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดถึงวิญญาณคนฟ้าก่อนหน้านี้ พวกเฉินฮ่าวซงก็ตระหนักได้ว่าสุดท้ายเรื่องนี้จะต้องกลายมาเป็นอย่างในตอนนี้
ไม่เพียงแต่พวกเขา ยังมีพระยาสวรรค์อีกส่วนหนึ่งที่ก็พอจะตระหนักได้ตั้งแต่ต้นแล้ว ทว่าเข้าใจก็ส่วนของเข้าใจ เพราะพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ได้แค่เพียงพยายามปกปิดอารมณ์ของตัวเองเอาไว้สุดกำลัง กระนั้นความเกลียดแค้นและเสียงก่นด่าในใจที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรุนแรงอย่างถึงที่สุด
ส่วนพวกคนที่ก่อนหน้านี้ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนหลอกล่อให้เข้าใจผิด ตอนนี้กลับเหมือนถูกทวนแทงเข้ามากะทันหัน พากันหน้าเปลี่ยนสี ความเคียดแค้นที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนพวยพุ่งเทียมฟ้า
เวลานี้พวกเขาก็มองออกแล้วว่านี่ไม่ใช่การวิเคราะห์วิญญาณอะไรทั้งนั้น แต่เห็นชัดๆ ว่าต้าเทียนซืออาศัยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้วิญญาณมาบีบให้ทุกคนแสดงท่าที!
การแสดงท่าทีเช่นนี้คือสิ่งที่ทุกคนต้องการหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด ทว่าตอนนี้กลับบีบให้เจอกับทางตัน แต่ละคนจึงเกลียดป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ากระดูกดำ เพราะก่อนหน้านี้พวกเขายังพอทำตัวกลมกลืนไหลตามน้ำไปได้ แต่ตอนนี้กลับจำต้องแสดงจุดยืนออกมา และจุดยืนนี้ก็ช่างเลือกได้ยากยิ่งนัก หากบอกว่านี่คือวิญญาณสร้างฐานราก ต้าเทียนซือไม่มีทางปล่อยพวกเขาเอาไว้แน่ แต่หากบอกว่านี่คือวิญญาณคนฟ้า ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับเอาตัวไปผูกติดกับต้าเทียนซือ หากวันหนึ่งจักรพรรดิขุยเป็นฝ่ายพลิกกลับมากุมอำนาจ พวกเขาก็ต้องตายอย่างมิต้องสงสัย อีกทั้งยังอาจถูกประหารเก้าชั่วโคตรด้วย
ส่วนจะให้ปิดบังประมาณว่าทั้งๆ ที่มีใจเอนเอียงเข้าหาจักรพรรดิขุย แต่กลับวางท่าว่าตัวเองเป็นคนของต้าเทียนซือ เรื่องนี้ก็ตบตาได้ไม่ง่าย หากเปิดปากไปแล้วก็เท่ากับว่าเลือกข้างต่อพยานนับหมื่นคน ยังไม่พูดถึงว่าต้าเทียนซือจะเชื่อหรือไม่ ต่อให้จักรพรรดิขุยจะเข้าใจได้ ทว่าพวกเขาจะตกอยู่ในสภาพการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก วันหลังหากไม่ระวังและมีคนจับจุดอ่อนนี้ได้ ย่อมต้องถูกคนโจมตี สภาพก็อาจจะเนจอนาถเข้าไปใหญ่
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือเห็นได้ชัดว่าเรื่องในวันนี้ต่อให้เป็นตัวต้าเทียนซือเองก็ไม่มีทางเชื่อการเลือกของทุกคน และสิ่งที่เขาต้องการก็ไม่ใช่ความเชื่อ แต่เป็น…ท่าทีของคนส่วนใหญ่ ต่อให้จะเป็นเพียงการเสแสร้ง แต่นี่ก็มากพอจะชี้ชัดให้เห็นถึงปัญหา
ภายใต้สถานการณ์โดยภาพรวมนี้ กองกำลังที่จักรพรรดิขุยแอบสะสมมาอย่างยากลำบากจะต้องพังพินาศออกเป็นเสี่ยงๆ
ทำให้ทุกคนต่างมองออกว่าเขาถูกต้าเทียนซือกำราบอีกครั้ง ขณะเดียวกันต้าเทียนซือก็อาศัยเรื่องนี้มาสยบขวัญชนสูงศักดิ์ทั้งหมด ให้พวกคนที่มีใจเอนเอียงต่อจักรพรรดิขุยพากันใจสั่นคลอน
นี่ก็คือการตีภูเขาข่มขวัญพยัคฆ์!
“เจ้าป๋ายฮ่าวผู้นี้ช่างต่ำช้ายิ่งนัก!! ไร้ยางอาย!!”
“โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว สมควรตายนัก!!”
“นี่มันต้องการบีบให้พวกเราแสดงท่าทีชัดๆ!” ในใจของทุกคนมีคลื่นลูกยักษ์ถาโถม ความอึดอัดคับแค้นไร้คำบรรยาย รู้สึกชิงชังป๋ายเสี่ยวฉุน ขณะเดียวกันก็เกิดความยำเกรงในตัวเขาอย่างลึกล้ำ